Windows Aero - ระบบวินโดวส์แอโร่ ระบบการแสดงผลกราฟิกใหม่ โดยจะมีลักษณะเป็นแบบโปร่งแสง สามารถมองเห็นหน้าต่างอื่นในฉากหลังได้
Windows Desktop Manager - Windows Desktop Manager หรือเรียกสั้น ๆ ว่า WDM เดิมถูกเรียกว่า Desktop Compositing Engine หรือ DCE โดยถูกเพิ่มเติมมาพร้อมกับวินโดวสวิสตา ซึ่งทำให้วินโดวส์ แอโร สามารถใช้งานได้ โดยผู้ใช้ต้องติดตั้ง DirectX 9 โดย WDM จะคล้ายกับ Quartz Compositor ใน Mac OS X ซึ่งไม่สามารถจัดการผ่านทางหน้าจอได้โดยตรง
Windows Media Center, Windows Movie Maker ที่ให้ความละเอียดสูง และ Windows DVD Maker และยังมีคุณลักษณะทั้งหมดของ Windows Vista Business ด้วย ซึ่งได้แก่ ระบบเครือข่ายของสำนักงาน เครื่องมือการจัดการแบบรวมศูนย์ และคุณลักษณะขั้นสูงของการสำรองข้อมูลของระบบ และ Windows Vista Ultimate มีคุณลักษณะการรักษาความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูลแบบใหม่ทั้งหมดซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพการทำงานที่วางใจได้ของ Windows Vista ให้สูงขึ้นกว่าเดิมทั้งระบบ
นอกจากนี้ Windows Vista Ultimate ยังสนับสนุนคุณลักษณะของระบบเคลื่อนที่ใหม่ใน Windows Vista ซึ่งได้แก่ Windows Tablet และ Touch Technology, Windows SideShow, Windows Mobility Center
วินโดวส์วิสตามีสายผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกัน โดยได้ออกแบบมาให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและในทุกรุ่นยกเว้น Windows Vista Starter จะสามารถรองรับหน่วยประมวลผลกลางทั้งชนิด 32 บิต และ 64 บิต เพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานมากขึ้น
รุ่นของวินโดวส์วิสตา
รายละเอียด
Windows Vista Starter
Microsoft Windows Vista Starter เป็นวินโดวส์วิสตาเวอร์ชันต่ำสุดและมีราคาถูกที่สุด โดยจะวางขายในกลุ่มประเทศที่ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและจะไม่วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศที่จัดว่าพัฒนาแล้วทางเทคโนโลยี[7] เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มตลาดผู้ใช้ที่เพิ่งเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ มีงบประมาณที่จำกัด หรือทำงานไม่มาก
ข้อจำกัดของ Microsoft Windows Vista Starter ประการหนึ่งคือสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมได้ไม่เกินสูงสุด 3 โปรแกรมในครั้งเดียว (แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดในการเปิดหน้าจอของโปรแกรมที่ทำงาน) [8] นอกจากนั้น Microsoft Windows Vista Starter จะอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้สูงสุดไม่เกิน 1GB เท่านั้น[9] ตลอดจนไปถึงในรุ่นนี้รองรับเฉพาะหน่วยประมวลผลกลางที่เป็น 32 บิตเท่านั้น
Microsoft Windows Vista Home Basic เป็นวินโดวส์วิสตารุ่นที่มีความสามารถที่ต่ำสุดในบรรดาวินโดวส์วิสตารุ่นปกติที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก (ไม่นับ Windows Vista Starter) สามารถรองรับหน่วยประมวลผลกลางทั้ง 32 บิต และ 64 บิต โดยถ้าใช้แบบ 64 บิต จะสามารถรองรับหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้สูงสุด 8 GB[11]
สำหรับ Windows Vista Home Basic จะมีข้อจำกัดทางด้านการแสดงผลที่จะไม่มีการแสดงผลแบบ Aero ซึ่งเป็นคุณสมบัติในการทำงานแบบใหม่ของ Microsoft Windows Vista [12] ตลอดจน Mobility Center, Windows Media Center และคุณสมบัติอื่น ๆ
Microsoft Windows Vista Home Premium เป็นรุ่นที่มีความสามารถสูงกว่า Microsoft Windows Vista Home Basic โดยมีคุณสมบัติทางด้านการแสดงผลแบบ Aero ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในวินโดวส์วิสตา นอกจากนั้นแล้วยังเพิ่มคุณสมับติทางด้านการจัดการสื่อต่าง ๆ โดยผ่านโปรแกรมและคุณสมบัติเฉพาะ เช่น Windows Media Center, Windows Media Extender, Windows DVD Maker, เกมต่าง ๆ และ Windows Movie Maker in HD[12]
ส่วนข้อจำกัดของ Windows Vista Home Premium อยู่ที่จะไม่มีคุณสมบัติทางด้านธุรกิจ เช่น Windows Fax and Scan และ Windows Complete PC Backup and Restore เป็นต้น
สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Home Premium สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 16GB[11]
Microsoft Windows Vista Business ออกแบบมาเพื่อสำหรับการใช้งานในเชิงธุรกิจ และมีความสามารถทางธุรกิจมากกว่ารุ่น Home Premium นอกจากการแสดงผลแบบ Aero แล้ว คุณสมบัติในการส่งโทรสารผ่าน Windows Fax and Scan ก็ยังมีอยู่ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงคุณสมบัติ Shadow Copy ซึ่งสามารถบันทึกความเปลี่ยนแปลงของไฟล์รุ่นต่าง ๆ ได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลสำคัญที่ถูกแก้ไขกลับคืนมาได้ [15]
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติทางด้านการจัดการสื่อและความบันเทิงที่มีอยู่ใน Windows Vista Home Premium นั้นจะไม่มีอยู่ใน Windows Vista Business[12] คุณสมบัติเหล่านั้นได้แก่ Windows Media Center, การรองรับ Windows Media Extender, Windows Movie Maker in HD เป็นต้น
สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Business สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[11]
Microsoft Windows Vista Enterprise ถูกออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนทางด้านระบบสารสนเทศ โดยมีคุณสมบัติที่มากกว่า Microsoft Windows Vista Business เช่น Windows Bitlocker Drive Encryption, คุณสมบัติการทำงานส่วนติดต่อผู้ใช้หลายภาษา (Multilingual User Interface) และคุณสมบัติที่สำคัญคือ Subsystem for Unix Application (SUA) ที่ออกแบบมาเพื่อให้โปรแกรมบนระบบปฏิบัติการ Unix สามารถทำงานบน Windows Vista Enterprise ได้อย่างไม่มีปัญหา [16]
สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Enterprise สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[11]
การจำหน่าย Microsoft Windows Vista Enterprise จะไม่มีการวางจำหน่ายเป็นการทั่วไป โดยจำหน่ายแก่องค์กรที่ซื้อลิขสิทธิ์เป็นจำนวนมาก (Volume Licensing) [17] ซึ่งได้ซื้อสิทธิพิเศษที่เรียกว่า "Microsoft Software Assurance" [18]
Windows Vista Ultimate
Microsoft Windows Vista Ultimate เป็นรุ่นของ Microsoft Windows Vista ทั่วไปที่มีความสามารถสูงมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่ากับ Windows Vista ทุกรุ่นมารวมกัน และเพิ่มความสามารถทางด้านความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการเพิ่มคุณสมบัติ Windows Bitlocker Drive Encryption หรือการเข้ารหัสทั้งดิกส์ไดรฟ์เพื่อความปลอดภัย[12] ตลอดไปถึงความสามารถอื่น ๆ อย่างเช่นการทำงานส่วนติดต่อผู้ใช้หลายภาษา (Multilingual User Interface) [19]
สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Ultimate สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[11]
- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Home Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Home Basic
- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Tablet PC Edition และ Microsoft Windows XP Media Center Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Home Premium
- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Professional, Professional x64 Edition และ Tablet PC Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Business