ยูเทรกต์ Utrecht
เมือง
หอมหาวิหารแห่งยูเทรกต์
ธง
ตราอาร์ม
ประเทศ เนเธอร์แลนด์ จังหวัด ยูเทรกต์ การปกครอง • นายกเทศมนตรี ยัน ฟันซาเนิน พื้นที่(2006) • ทั้งหมด 99.32 ตร.กม. (38.35 ตร.ไมล์) • พื้นดิน 95.67 ตร.กม. (36.94 ตร.ไมล์) • พื้นน้ำ 3.64 ตร.กม. (1.41 ตร.ไมล์) ประชากร • ทั้งหมด 300,030 คน • ความหนาแน่น 3,068 คน/ตร.กม. (7,950 คน/ตร.ไมล์) Source: Gemeente Utrecht[ 1] เขตเวลา UTC+1 (CET ) • ฤดูร้อน (เวลาออมแสง ) UTC+2 (CEST )
ยูเทรกต์ หรือ อือเตร็คต์ (ดัตช์ : Utrecht , ออกเสียง: [ˈytrɛxt] ( ฟังเสียง ) ) เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่สี่ของประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดยูเทรกต์ บริเวณใจกลางของประเทศ มีประชากร 357,179 คนในปี ค.ศ. 2019[ 2]
ยูเทรกต์เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีอาคารเก่าแก่สมัยกลางตั้งอยู่เรียงราย เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของเนเธอร์แลนด์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 แม้จะเคยสูญเสียสถานะเจ้าชายมุขนายก ยูเทรกต์เคยเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของเนเธอร์แลนด์จนก่อนถึงช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์ ที่อัมสเตอร์ดัม เติบโตและทวีความสำคัญมากกว่า รวมถึงมีประชากรมากกว่า
ยูเทรกต์เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยยูเทรกต์ อันเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางถนนและทางรถไฟของประเทศเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางประเทศพอดี มีสถานีรถไฟที่มีผู้โดยสารมากที่สุดในประเทศตั้งอยู่กลางเมือง และเป็นเมืองที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมบ่อยที่สุดเป็นอันดับสองของเนเธอร์แลนด์รองจากอัมสเตอร์ดัม[ 3]
ประวัติศาสตร์
สมัยโรมัน
ประวัติที่ชัดเจนของยูเทรกต์ เริ่มต้นในสมัยโรมัน เมื่อจักรพรรดิเกลาดิอุส นำกองทัพเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปมาจนถึงดินแดนเนเธอร์แลนด์ จักรพรรดิตัดสินใจว่าจะไม่รุกรานขึ้นเหนือไปอีก จึงเริ่มวางแนวเขตแดนเลียบแม่น้ำไรน์ และสร้างป้อมปราการและสร้างป้อมปราการแบบหลวมๆขึ้นเมื่อราว ค.ศ. 50[ 4] มีกองกำลังประจำได้ราว 500 คน ในครั้งนั้น ป้อมปราการยูเทรกต์เป็นเพียงแนวไม้ที่เรียกว่า เตร็คตุม (Traiectum ) ในภาษาโรมันซึ่งหมายถึงบริเวณที่จะข้ามแม่น้ำไรน์ได้ คำนี้ออกเสียงในภาษาดัตช์ว่า เตร็คต์ (Trecht ) และได้มีการเติมคำว่า อือ (U ) ที่มาจากภาษาดัตช์โบราณคำว่า อืต (uut ) หมายถึง เก่าแก่ เพื่อให้ไม่ให้สับสนกับเมืองมาสทริชท์ จุดข้ามแม่น้ำเมิซ ที่ตกเป็นของโรมันเช่นกันทางตอนใต้[ 5] [ 6]
ชุมชนรอบแนวป้อมปราการได้เติบโตขึ้น มีช่างฝีมือ พ่อค้า ทหารและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ ต่อมาราว ค.ศ. 200 มีการเสริมความแข็งแรงของป้อมปราการด้วยการเปลี่ยนจากวัสดุไม้เป็นหินจากภูเขาไฟ[ 7] (ยังคงหลงเหลือแถวดอมสแควร์ในทุกวันนี้)
หลังจากนั้น ชาวเยอรมัน ได้รุกรานดินแดนของอาณาจักรโรมัน และยูเทรกต์ก็ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมตั้งแต่ ค.ศ. 275 กลายเป็นดินแดนของชาวแฟรงก์ ที่เรืองอำนาจหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก และในช่วงนี้ไม่ค่อยมีบันทึกเกี่ยวกับยูเทรกต์เท่าใดนัก
ศูนย์กลางทางคริสต์ศาสนาของเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 650 ถึง 1579)
เมื่อปี ค.ศ. 695 สมเด็จพระสันตะปาปาเซอร์จิอุสที่ 1 แต่งตั้งนักบุญวิลลิบรอร์ด ขึ้นเป็นบาทหลวงแห่งดินแดนฟรีเชีย จึงได้มีการสถาปนามุขมณฑลยูเทรกต์ (Bishopric of Utrecht) ขึ้น ต่อมาใน ค.ศ. 723 ชาร์ล มาร์แตล ผู้ปกครองราชอาณาจักรแฟรงก์ ยกป้อมปราการและดินแดนโดยรอบให้มุขมณฑล ยูเทรกต์จึงค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ในเนเธอร์แลนด์นับตั้งแต่นั้น ยูเทรกต์แข่งขันเรื่องอำนาจกับเมืองโดเรอสตัด ศูนย์กลางการค้าในสมัยนั้น แต่พอโดเรอสตัดเสื่อมลงในปี ค.ศ. 850 ยูเทรกต์กลายเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในเนเธอร์แลนด์[ 8] บาทหลวงประจำถิ่นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชาย มุขมณฑลจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นมุขนายก (Prince-Bishopric) ใน ค.ศ. 1024
เมื่อ ค.ศ. 1527 พระสังฆราชได้ขายที่ดินให้กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ยูเทรกต์จึงสิ้นอำนาจทางสงฆ์และสถานะเจ้าชายมุขนายก ตกเป็นพื้นที่ขุนนางทางโลกภายใต้การบริหารของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ซึ่งในขณะนั้นได้ปกครองดินแดนเนเธอร์แลนด์ส่วนอื่นด้วย คณะสงฆ์ได้ส่งมอบอำนาจการเลือกสังฆราชให้กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 โดยได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 อย่างไรก็ตาม อำนาจทางสงฆ์ของยูเทรกต์ยังไม่เสื่อมไป ยังคงเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาอยู่เรื่อยมา
สาธารณรัฐดัตช์ (ค.ศ. 1579 ถึง 1806)
กองทัพฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ปิดล้อมยูเทรกต์ได้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1672
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คปกครองยูเทรกต์ได้เพียงไม่นาน ยูเทรกต์ได้เข้าร่วมกับจังหวัดอื่นๆในเนเธอร์แลนด์ทำการปฏิวัติต่อการปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐดัตช์ เมื่อปี ค.ศ. 1579 ในปีต่อมา มีการล้มเลิกมุขมณฑลและอัครมุขมณฑล และให้ยูเทรกต์ขึ้นตรงต่อการปกครองของสาธารณรัฐโดยตรง ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ฮอลแลนด์ ความรุ่งเรืองของยูเทรกต์จึงเริ่มซบเซาลง ประชาชนผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกลดลงเหลือแค่ 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อกลางศตวรรษที่ 17[ 9]
ต่อมา เนเธอร์แลนด์เกิดสงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1672 อันเป็นปีหายนะสิ้นสุดยุคทองของเนเธอร์แลนด์ แม้จะไม่เสียเอกราชแต่ฝรั่งเศสเคยยึดครองพื้นที่ได้ถึงทางตะวันตกของยูเทรกต์ อีกสองปีต่อมาเกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มใจกลางยูเทรกต์ บ้านเมืองได้รับความเสียหายอย่างหนักรวมถึงมหาวิหารสำคัญของเมือง จึงได้มีการสร้างหอคอยที่ดอมสแควร์ขึ้นมาแทน
ยูเทรกต์เป็นสถานที่ลงนามในสนธิสัญญายูเทรกต์ อันเป็นการตกลงระหว่างรัฐต่าง ๆ ในยุโรปและช่วยในการยุติสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน เมื่อ ค.ศ. 1713 ต่อมาเนเธอร์แลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1806 ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียน จนสิ้นสุดสงครามนโปเลียน เนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยรวมประเทศเบลเยียม เข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย ในปี ค.ศ. 1815
สมัยใหม่ (ค.ศ. 1815 ถึงปัจจุบัน)
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยูเทรกต์หมดความสำคัญในฐานะเมืองป้อมปราการ จึงมีการวางผังเมืองใหม่ เริ่มจากการทำลายกำแพงเมืองเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ทางรถไฟระหว่างยูเทรกต์กับอัมสเตอร์ดัมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1843 หลังจากนั้นยูเทรกต์จึงค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเครือข่ายรถไฟเนเธอร์แลนด์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับยูเทรกต์ที่ขยายตัวออกไปเกินขอบเขตในสมัยกลาง เมื่อปี ค.ศ. 1853 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้อำนาจของมุขมณฑลสงฆ์ของยูเทรกต์กลับมาอีกครั้ง ยูเทรกต์จึงกลายเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาในเนเธอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเทรกต์ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนี เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนอื่นของเนเธอร์แลนด์ จนกระทั่งได้เยอรมนียอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการพัฒนาเมืองออกสู่รอบนอก ส่วนพื้นที่ใจกลางเมืองถูกพัฒนาให้ทันสมัย เกิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มากมาย
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ยูเทรกต์
Maps