ภูเขาไฟเอเรบัส (อังกฤษ : Mount Erebus ) เป็นภูเขาไฟมีพลัง ที่อยู่ใต้สุดของโลกและเป็นสูงเป็นอันดับ 2 ในทวีปแอนตาร์กติการองจากภูเขาไฟซีย์เล ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาบนเกาะที่สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก [ 1] สูง 3,794 เมตรตั้งอยู่บนเกาะรอสส์ ที่เป็นที่ตั้งของภูเขาดับสนิทอย่างภูเขาเทเรอะ และภูเขาเบิรด์
ภูเขาลูกนี้เริ่มปะทุเมื่อประมาณ 1.3 ล้านปีที่แล้ว[ 4] และภูเขาลูกนี้ยังเป็นที่ตั้งของที่สังเกตการณ์ที่ดูแลโดยสถาบันเหมืองแร่และเทคโนโลยีแห่งรัฐนิวเม็กซิโก [ 5]
ธรณีวิทยาและวิทยาภูเขาไฟ
ภูเขาไฟเอเรบัสเป็นภูเขาไฟที่มีกิจกรรมทางภูเขาไฟมากที่สุดในแอนตาร์กติกา และยังเป็นจุดปะทุของจุดร้อนเอเรบัส ในปัจจุบัน ยอดปล่องภูเขาไฟมีทะเลสาบหินโฟโนไลต์หลอมเหลวซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของทะเลสาบลาวา ที่อยู่ถาวรบนโลก เอเรบัสเป็นภูเขาไฟที่ประทุแบบสตรอมโบเลียน ตามทะเลสาบลาวาหรือตามรอยแตกทั้งหมดของปล่องภูเขาไฟ[ 6] [ 7] ภูเขาไฟลูกนี้มีความโดดเด่นทางวิทยาศาสตร์เนื่องจากกิจกรรมการปะทุต่อเนื่องอยู่ในระดับต่ำและผิดปกติทำให้ช่วยให้ศึกษาการประทุแบบสตรอมโบเลียน ได้อย่างใกล้ชิด ภูเขาลูกนี้มีลักษณะเฉพาะร่วมกับภูเขาไฟบนโลกเพียงไม่กี่แห่ง เช่นภูเขาไฟสตรอมโบลี ในประเทศอิตาลี การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของภูเขาไฟลูกนี้ค่อนข้างสะดวกเนื่องจากอยู่ห่างจากที่ตั้งของฐานสกอต ของนิวซีแลนด์และสถานีแม็คเมอร์โด ของสหรัฐเพียง 35 กม.
ภูเขาไฟเอเรบัสจัดเป็นกรวยภูเขาไฟสลับชั้น โดยครึ่งล่างเป็นรูปโล่ด้านบนเป็นกรวยภูเขาไฟสลับชั้น ส่วนประกอบที่ปะทุออกมาจากเอเรบัสจะเป็นพวกผลึกดอก อะนอร์โทเคลส เทไฟร์ท และหินโฟโนไลต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของลาวาในภูเขาไฟ ส่วนประกอบของการระเบิดที่เก่าแก่ที่สุดมีส่วนประกอบไม่ต่างกันแต่จะมีหินบาซาไนต์ หลอมเหลวที่หนืด ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เป็นรูปโล่บริเวณตีนเขา หินบาซาไนต์และหินโฟโนไลต์หลอมเหลวจำนวนเล็กน้อยทำให้เกิดสันเขาแฟรง และสถานที่อื่น ๆ รอบภูเขาไฟเอเรบัส ภูเขาไฟเอเรบัสเป็นภูเขาไฟที่ปะทุโฟโนไลต์เพียงแห่งเดียวในโลกในปัจจุบัน[ 8]
ประวัติ
ชื่อและการค้นพบ
เจมส์ คลาร์ก รอสส์ ค้นพบภูเขาลูกนี้ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2384[ 9] (เห็นระหว่างการปะทุ) อีกทั้งยังตั้งชื่อให้ภูเขาลูกนี้และภูเขาเทเรอะ ตามชื่อเรือหลวงเอเรบัสและเรือหลวงเทเรอะ
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 1.2 "Mount Erebus" . Global Volcanism Program . Smithsonian Institution . สืบค้นเมื่อ 2008-12-29 .
↑ "Mount Erebus" . Geographic Names Information System , U.S. Geological Survey . สืบค้นเมื่อ 2011-07-30 .
↑ "Antarctic explorers" . Australian Antarctic Division. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-05-22. สืบค้นเมื่อ 2008-12-29 .
↑ "Mt. Erebus" . Mt. Erebus Volcano Observatory (MEVO). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ March 12, 2012. สืบค้นเมื่อ January 11, 2015 .
↑ "Mount Erebus Volcano Observatory" . New Mexico Tech . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-07-02. สืบค้นเมื่อ 2008-12-29 .
↑ Kyle, P. R., บ.ก. (1994). Volcanological and Environmental Studies of Mount Erebus, Antarctica . Antarctic Research Series. Washington DC: American Geophysical Union. ISBN 0-87590-875-6 .
↑ Aster, R.; Mah, S.; Kyle, P.; McIntosh, W.; Dunbar, N.; Johnson, J. (2003). "Very long period oscillations of Mount Erebus volcano". J. Geophys. Res. 108 : 2522. doi :10.1029/2002JB002101 .
↑ Burgisser, Alain; Oppenheimer, Clive, Alletti, Marina; Kyle, Phillip R.; Scaillet, Bruno; Carroll, Michael R. (November 2012). "Backward Tracking of gas chemistry measurements at Erebus volcano" . Geochemistry Geophysics Geosystems . 13 (11): 24. doi :10.1029/2012GC004243 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )[ลิงก์เสีย ]
↑ Ross, Voyage to the Southern Seas , vol. i, pp. 216–8.