ฟุตบอลทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์
Shirt badge/Association crest
ฉายาNati (ทีมชาติ)
สมาคมสมาคมฟุตบอลสวิส
สมาพันธ์ยูฟ่า (ยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนมูรัท ยาคิน
กัปตันกรานิต จากา
ติดทีมชาติสูงสุดกรานิต จากา (135)[1]
ทำประตูสูงสุดอเล็กซานเดอร์ ฟราย (42)
รหัสฟีฟ่าSUI
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 19 Steady (20 มิถุนายน 2024)[2]
อันดับสูงสุด3 (สิงหาคม ค.ศ. 1993)
อันดับต่ำสุด83 (ธันวาคม ค.ศ. 1998)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 1–0 สวิตเซอร์แลนด์ ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์
(ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส; 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1905)
ชนะสูงสุด
ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ 9–0 ลิทัวเนีย ธงชาติลิทัวเนีย
(ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส; 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1924)
แพ้สูงสุด
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 9–0 สวิตเซอร์แลนด์ ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์
(บาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์; 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1909)
ธงชาติฮังการี ฮังการี 9–0 สวิตเซอร์แลนด์ ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์
(บูดาเปสต์, ประเทศฮังการี; 29 ตุลาคม ค.ศ. 1911)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม12 (ครั้งแรกใน 1934)
ผลงานดีที่สุด8 ทีมสุดท้าย (1934, 1938, 1954)
ยูฟ่ายูโรปาลีก
เข้าร่วม5 (ครั้งแรกใน 1996)
ผลงานดีที่สุดรอบก่อนรองชนะเลิศ (2020, 2024)
ยูฟ่าเนชันส์ลีก รอบสุดท้าย
เข้าร่วม1 (ครั้งแรกใน 2019)
ผลงานดีที่สุดอันดับที่สี่ (2019)
เกียรติยศ

ฟุตบอลทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Switzerland national football team, เยอรมัน: Schweizer Fußballnationalmannschaft, ฝรั่งเศส: Équipe de Suisse de football, อิตาลี: Nazionale di calcio della Svizzera, รูมันช์: Squadra naziunala da ballape da la Svizra) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลสวิส

ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์มีผลงานที่ดีที่สุดคือ สามารถเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย 3 ครั้งในฟุตบอลโลก คือในปี 1934, 1938 และ 1954 โดยใน 1954 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพนั้น พวกเขาแพ้ให้กับออสเตรียในรอบก่อนรองชนะเลิศ 7–5 ซึ่งถือเป็นนัดที่มีการทำประตูกันมากที่สุดในฟุตบอลโลก[3] ต่อมาในฟุตบอลโลก 2006 สวิตเซอร์แลนด์ทำสถิติใหม่ในรายการนี้ด้วยการตกรอบทั้งที่ไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว โดยพวกเขาแพ้การยิงลูกโทษต่อยูเครนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาเสียประตูอีกครั้งหนึ่งในนัดที่พบกับชิลีในฟุตบอลโลก 2010 ทำให้สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นทีมชาติที่ไม่เสียประตูติดต่อกันนานที่สุดในฟุตบอลโลก[4]

สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียเป็นเจ้าภาพร่วมในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 โดยสวิตเซอร์แลนด์ได้ลงเล่นเป็นครั้งที่สามในรายการนี้ แต่ก็ตกรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งที่สามด้วยเช่นกัน[5][6]

ผลงานที่ดีที่สุดของทีมชาติในการแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการคือรางวัลเหรียญเงินในปี 1924 ที่พวกเขาได้มาหลังจากที่แพ้อุรุกวัย 3–0 ในรอบชิงชนะเลิศของโอลิมปิกฤดูร้อน 1924[7]

ประวัติ

1924–1966: ยุคแรกและการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก

ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์มีส่วนร่วมในการแข่งขันระดับนานาชาติในฟุตบอลโอลิมปิกฤดูร้อน 1924 มีผลงานคือคว้าเหรียญเงิน โดยแพ้อุรุกวัยในรอบชิงชนะเลิศ 3–0[8] ต่อมา พวกเขามีส่วนร่วมในฟุตบอลโลก 1934 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (8 ทีมสุดท้าย) จากการชนะเนเธอร์แลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3–2 แต่แพ้เชโกสโลวาเกีย[9][10] และผ่านเข้าถึงรอบเดียวกันนี้ในฟุตบอลโลก 1938 เอาชนะเยอรมนีในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 4–2 ในนัดแข่งใหม่ แต่แพ้ฮังการี 2–0[11][12][13] ต่อมาในฟุตบอลโลก 1950 สวิตเซอร์แลนด์อยู่กลุ่มเดียวกับบราซิล, ยูโกสลาเวีย และเม็กซิโก ในนัดแรกนั้นพวกเขาแพ้ยูโกสลาเวียขาดลอย 4–0 ตามด้วยการเสมอบราซิล 2–2 และชนะเม็กซิโก 2–1 จบอันดับ 3 ของกลุ่ม[14] สวิตเซอร์แลนด์ได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1954 จากการคัดเลือกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1946 ณ นครลักเซมเบิร์ก และในการแข่งขันรอบสุดท้าย พวกเขาจบอันดับ 2 ของกลุ่มตามหลังอังกฤษ โดยชนะอิตาลีและแพ้อังกฤษ[15] เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายจากการแข่งเพลย์ออฟชนะอิตาลี[16] พวกเขาแพ้ให้กับออสเตรียในรอบก่อนรองชนะเลิศ 7–5 ซึ่งถือเป็นนัดที่มีการทำประตูกันมากที่สุดในฟุตบอลโลก สวิตเซอร์แลนด์ตกรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลก 1962 แพ้รวดทั้ง 3 นัดที่พบกับชิลี (3–1), เยอรมนีตะวันตก (2–1) และอิตาลี (3–0)[17] ซึ่งเป็นผลงานที่เท่ากับฟุตบอลโลก 1966 แพ้เยอรมนีตะวันตก (5–0), สเปน (2–1 และอาร์เจนตินา (2–0)[18]

1992–1996: รอย ฮอดจ์สัน

รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษเข้ามารับตำแหน่งในปี 1992 ในช่วงที่เขารับตำแหน่งนั้น สวิตเซอร์แลนด์ไม่ผ่านเข้าสู่การแข่งขันรายการเมเจอร์นับตั้งแต่ปี 1966[19] ในช่วงการคุมทีมของเขา สวิตเซอร์แลนด์ขึ้นถึงอันดับ 3 ของโลกในเดือนสิงหาคม 1993 นับเป็นอันดับที่ดีที่สุดถึงปัจจุบัน[20] พาทีมผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 1994 โดยแพ้ไปเพียงนัดเดียวในรอบคัดเลือก ซึ่งในกลุ่มนั้นมีทีมแกร่งอย่างอิตาลี, โปรตุเกส และสกอตแลนด์ พวกเขาชนะอิตาลีในบ้าน ตามด้วยการบุกไปเสมอ 2–2 โดยออกนำก่อน 2–0 และพวกเขาเก็บได้ 4 คะแนนจากสกอตแลนด์จากการชนะในบ้าน 3–1 และบุกไปเสมอ 1–1[21][22][23] พวกเขาเก็บได้ 2 คะแนนจากโปรตุเกสด้วยการเสมอในบ้าน 1–1 และบุกไปแพ้ 1–0 ที่โปร์ตู[24] ในการแข่งขันรอบสุดท้าย สวิตเซอร์แลนด์เสมอเจ้าภาพอย่างสหรัฐในนัดเปิดสนาม 1–1 ตามด้วยการชนะโรมาเนีย 4–1 และแพ้โคลอมเบียในนัดสุดท้าย 2–0 เข้ารอบในฐานะทีมรองแชมป์กลุ่ม แต่แพ้สเปนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3–0[25][26]

2000–2008

สวิตเซอร์แลนด์ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 อย่างง่ายดายด้วยการแพ้ในรอบคัดเลือกเพียงนัดเดียวต่อตุรกี 2–1[27] แต่ในรอบแบ่งกลุ่มนั้น พวกเขาจบอันดับสุดท้าย โดยเสมออังกฤษในนัดแรก 1–1 จากจุดโทษท้ายเกมของคูบิเลย์ เทือร์คยิลมาซ และแพ้เนเธอร์แลนด์ในนัดต่อมา 2–0 ปิดท้ายด้วยการแพ้สกอตแลนด์ 1–0 ยุติเส้นทางไว้แค่รอบแรก[28] ต่อมา พวกเขาไม่ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส โดยจบในอันดับ 4 ในรอบคัดเลือก เอาชนะได้ 3 นัดจากการชนะฟินแลนด์ 3–2, ชนะฮังการี 1–0 และชนะคาซัคสถาน 5–0 รวมถึงเสมอฮังการี 1–1 และแพ้อีก 3 เกม รวมถึงแพ้นอร์เวย์ทั้งเหย้าและเยือน[29]

สวิตเซอร์แลนด์จบอันดับ 1 ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก โดยเอาชนะได้ 4 จาก 8 นัด และแพ้เพียงนัดเดียวเมื่อบุกไปแพ้รัสเซีย 4–1 ในช่วงเวลานี้ทีมมีผลงานโดดเด่นจากผลงานของกองหน้าอย่างอเล็กซานเดอร์ ฟราย ในการแข่งขันรอบสุดท้าย สวิตเซอร์แลนด์อยู่กลุ่มเดียวกับแชมป์เก่าอย่างฝรั่งเศส, อังกฤษ และโครเอเชีย พวกเขาเริ่มต้นการแข่งขันด้วยการเสมอโครเอเชีย 0–0 และแพ้อังกฤษ 3–0 และแพ้ฝรั่งเศสในนัดสุดท้าย 3–1 จบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม และทำได่เพียง 1 ประตูตลอดการแข่งขันจากโยฮัน วอนแลนเธน ซึ่งกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ทำสถิติแซงหน้าเวย์น รูนีย์ซึ่งเพิ่งทำสถิติไป 4 วันก่อนหน้านี้[30]

สวิตเซอร์แลนด์ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2006 จากการเอาชนะตุรกีในรอบเพลย์ออฟตามกฏการยิงประตูทีมเยือน นับเป็นการกลับไปแข่งขันรายการนี้ครั้งแรกตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1994[31] พวกเขาลงสนามนัดแรกเสมอฝรั่งเศส 0–0 และชนะโตโก 2–0 และเอาชนะเกาหลีใต้ 2–0 สวิตเซอร์แลนด์ต้องยุติเส้นทางในรอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างน่าเสียดายจากการแพ้การยิงจุดโทษยูเครน 3–0 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 0–0 พวกเขายังเป็นทีมเดียวในการแข่งขันที่ตกรอบโดยไม่เสียประตูเลย[32] สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008[33] ทว่าพวกเขามีงานผลงานน่าผิดหวัง โดยแพ้เช็กเกียในนัดเปิดสนาม 1–0 และแพ้ตุรกี 2–1 และพวกเขาอำลาการแข่งขันด้วยการชนะโปรตุเกส 2–1[34]

2008–2014: ยุคของอ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์

ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ก่อนลงแข่งกระชับมิตรกับอาร์เจนตินา วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ผลการแข่งขันคือ สวิตเซอร์แลนด์เป็นฝ่ายแพ้ 3–1[35]

ในฟุตบอลโลก 2010 สวิตเซอร์แลนด์เอาชนะทีมแชมป์ในครั้งนี้ซึ่งก็คือสเปน 1–0 จากประตูของแฌลซัน ฟือร์นังดึช แต่พวกเขาตกรอบ ก่อนหน้านี้พวกเขาทำสถิติไม่เสียประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายนานที่สุด 559 นาที ทำลายสถิติเดิมของอิตาลีจำนวน 9 นาที[36][37] ก่อนจะเสียประตูให้กับชิลีในนัดต่อมาโดยมาร์ก กอนซาเลซ และปิดท้ายด้วยการเสมอฮอนดูรัส 0–0[38] สวิตเซอร์แลนด์ไม่ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่ไม่ผ่านเข้าแข่งขันรายการนี้ โดยในรอบคัดเลือกพวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับอังกฤษ, มอนเตเนโกร, เวลส์ และบัลแกเรีย ในนัดแรกพวกเขาแพ้ต่ออังกฤษ 3–1 ซึ่งเป็นนัดที่แจร์ดัน ชาชีรี ทำประตูแรกในนามทีมชาติ ตามด้วยการแพ้มอนเตเนโกร 1–0[39][40] พวกเขาทำผลงานได้ดีในนัดต่อมา เอาชนะเวลส์ 4–1 แต่ก็เสมออีกสองนัดที่พบกับบัลแกเรีย (0–0) และอังกฤษ (2–2)[41][42][43] แต่นับว่าพวกเขายังมีความหวังอยู่บ้าง เมื่อเอาชนะบัลแกเรียได้ 3–1 จากแฮตทริกของชาชีรี[44] อย่างไรก็ตาม ในนัดต่อมาพวกเขาแพ้เวลส์ 2–0 ซึ่งผู้เล่นแนวรับอย่างเรโต ซีกเลอร์ ได้รับใบแดง และความหวังในการเข้ารอบหมดลงอย่างเป็นทางการ เมื่อมอนเตเนโกรตีเสมออังกฤษเป็น 2–2[45][46] แม้พวกเขาจะล้างแค้นด้วยการเอาชนะมอนเตเนโกรในนัดสุดท้าย 2–0[47] ชาชีรีถือเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในรอบคัดเลือกครั้งนี้จำนวน 4 ประตู[48]

ในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2014 สวิตเซอร์แลนด์ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออก จากการชนะฮอนดูรัสขาดลอย 3–0 จากแฮตทริกของชาชีรี พวกเขายุติเส้นทางในรอบต่อมา แม้จะสู้กับอาร์เจนตินาได้สูสีตลอดทั้งเกม และเสียประตูให้แก่อังเฆล ดิ มาริอา ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 118

2016–2021: ยุคของวลาดิมีร์ เป็ตกอวิช

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 สวิตเซอร์แลนด์อยู่ในกลุ่มเอร่วมกับเจ้าภาพอย่างฝรั่งเศส, แอลเบเนีย และโรมาเนีย โดยในนัดแรก สวิตเซอร์แลนด์ชนะแอลเบเนีย 1–0 จากการทำประตูชัยของฟาบีอาน แชร์ในนาทีที่ 5 ของเกม[49] นัดถัดมา พวกเขาเสมอกับโรมาเนีย 1–1 โดยถูกขึ้นนำจากการเสียลูกโทษ แต่ก็ตามตีเสมอได้จากการทำประตูของอัดมีร์ เมห์เมดีในช่วงครึ่งหลัง[50] และในนัดสุดท้ายของกลุ่ม พวกเขาเสมอกับฝรั่งเศส 0–0 อย่างไรก็ตาม เกมนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีที่เสื้อของผู้เล่นสวิสฉีกขาดในตอนที่กำลังเบียดแย่งกับผู้เล่นฝรั่งเศส และลูกบอลแตกในตอนที่อ็องตวน กรีแยซมานและวาลอน เบห์รามีกำลังแย่งบอลกัน นอกจากนี้ เกมยังแข่งขันบนสนามที่พื้นผิวแย่ จนผู้จัดการและผู้เล่นของทั้งสองทีมออกมาวิจารณ์ หลังจากเกมนั้น ผู้ผลิตชุดแข่งของสวิตเซอร์แลนด์ออกมากล่าวว่าชุดแข่งผลิตจากวัสดุที่บกพร่องจนฉีดขาดในระหว่างการเล่น[51][52][53] สวิตเซอร์แลนด์จบเป็นอันดับที่สองกลุ่มและผ่านเข้ารอบไปเจอกับโปแลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาเสียประตูก่อนแต่ก็ตีเสมอได้จากลูกยิงจักรยานอากาศของแจร์ดัน ชาชีรี เกมยังคงเสมอเมื่อจบช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ ผู้เล่นคนอื่นยิงลูกโทษเข้ากันหมด ยกเว้นเสียแต่กรานิต จากาซึ่งเป็นคนยิงคนที่สอง ยิงลูกโทษไม่เข้า ทำให้โปแลนด์เอาชนะการยิงลูกโทษไปได้ 5–4[54][55][56]

ในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 2018 สวิตเซอร์แลนด์อยู่กลุ่มเดียวกันกับโปรตุเกส, ฮังการี, หมู่เกาะแฟโร, ลัตเวีย และอันดอร์รา[57] สวิสเริ่มต้นรอบคัดเลือกด้วยการเอาชนะแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอย่างโปรตุเกส 2–0 ทั้งที่โปรตุเกสเพิ่งชนะเลิศรายการนั้นมาได้ไม่ถึงสองเดือน ณ วันที่แข่งขัน (6 กันยายน)[58] หลังจากนั้น พวกเขาเอาชนะฮังการี 3–2, อันดอร์รา 2–1, หมู่เกาะแฟโร 2–0 และลัตเวีย 1–0 ทำให้พวกเขาชนะห้านัดแรก ขึ้นเป็นอันดันที่หนึ่งของกลุ่มด้วยคะแนน 15 แต้มเต็ม[59][60][61][62] ต่อมาในห้าเกมที่เหลือ พวกเขาชนะหมู่เกาะแฟโร 2–0, อันดอร์รา 3–0, ลัตเวีย 3–0 และฮังการี 5–2[63][64][65][66] อย่างไรก็ตาม พวกเขาพ่ายแพ้ต่อโปรตุเกส 2–0 ในนัดสุดท้ายของกลุ่ม[67] ทำให้พวกเขาจบอันดับที่ 2 ของกลุ่ม ต้องไปแข่งขันในรอบเพลย์ออฟ[57][68] ซึ่งพวกเขาจับสลากพบกับนอร์เทิร์นไอร์แลนด์ ในเลกแรกซึ่งแข่งขันวันที่ 9 พฤศจิกายน พวกเขาชนะ 1–0 จากการยิงลูกโทษที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ของรีการ์โด โรดรีเกซ และในเลกที่สองซึ่งแข่งในอีกสามวันถัดมา ทั้งสองทีมเสมอกัน 0–0 ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซียด้วยผลประตูรวม 1–0[69][70][71] ก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น สวิตเซอร์แลนด์อยู่อันดับที่ 6 จากการจัดอันดับโลกฟีฟ่า นับเป็นอันดับที่สูงกว่าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยนั้นอย่างฝรั่งเศสเสียอีก[72]

ผู้เล่นทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ก่อนที่จะแข่งขันกับสวีเดนเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2018 ที่สนามกีฬาเครสตอฟสกีในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก[73]

ในฟุตบอลโลก สวิตเซอร์แลนด์อยู่ในกลุ่มอีร่วมกับบราซิล, เซอร์เบีย และคอสตาริกา[74] พวกเขาแข่งขันนัดเปิดสนามด้วยการเสมอกับบราซิล 1–1[75] ก่อนที่นัดถัดมาจะเอาชนะเซอร์เบียด้วยการทำประตูชัยของแจร์ดัน ชาชีรี[76] ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทางเซอร์เบียเนื่องจากเขา, กรานิต จากา และชเต็ฟฟัน ลิชท์ชไตเนอร์ (ซึ่งมีเชื้อสายแอลเบเนีย) ทำท่าดีใจด้วยการไขว้มือเป็นรูปนกอินทรีสองหัวซึ่งเป็นตราแผ่นดินของแอลเบเนีย เพื่อแสดงถึงความเป็นชาตินิยมแอลเบเนีย อย่างไรก็ตาม ฟีฟ่าไม่ได้สั่งแบนพวกเขาทั้งสามคน[77][78][79][80] นัดสุดท้ายของกลุ่ม พวกเขาเสมอกับคอสตาริกา 2–2 จากการทำประตูของเบลริม เจไมลีและยอซิป เดอร์มิช ทำให้พวกเขาจบอันดับที่สองของกลุ่ม[81] ต่อมาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาพ่ายแพ้ต่อสวีเดน 1–0 ทำให้พวกเขายุติเส้นทางในฟุตบอลโลกแต่เพียงเท่านี้[82]

วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2018 สวิตเซอร์แลนด์ได้รับเลือกให้เข้าร่วมแข่งขันในฤดูกาลเปิดตัวของยูฟ่าเนชันส์ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันโดยทีมชาติสมาชิกของยูฟ่า พวกเขาถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มที่ 2 ของลีกเอ ร่วมกับเบลเยียมและไอซ์แลนด์[83][84]

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 สวิตเซอร์แลนด์จบอันดับที่สามของกลุ่มเอซึ่งมีทีมร่วมกลุ่มของอิตาลี, เวลส์ และตุรกี อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้ด้วยการเป็นอันดับสามที่ดีที่สุด ต่อมาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาเอาชนะฝรั่งเศสด้วยการยิงลูกโทษหลังจากที่เสมอกันในเวลา 120 นาที 3–3 ทั้ง ๆ ที่ถูกนำถึง 1-3 ในช่วงครึ่งหลัง ทำให้พวกเขาชนะในรอบแพ้คัดออกของรายการใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1938[85][86]

2021–ปัจจุบัน: ยุคมูรัท ยาคิน

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2021 มูรัท ยาคิน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่[87] โดยในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป สวิตเซอร์แลนด์จบอันดับ 1 ในกลุ่มซีเหนือทีมอย่างอิตาลี ส่งผลให้พวกเขาได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์[88] ซึ่งต่อมาสวิตเซอร์แลนด์จบอันดับ 2 ของกลุ่มจี ก่อนจะเข้าไปแพ้โปรตุเกส 6–1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย[89] ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก ค.ศ. 2023 สวิตเซอร์แลนด์อยู่ร่วมกลุ่มกับโรมาเนีย, อิสราเอล, เบลารุส, คอซอวอ และอันดอร์รา และพวกเขาจบอันดับ 2 ตามหลังโรมาเนีย[90]

สวิตเซอร์แลนด์ทำผลงานได้ดีในการแข่งขันรอบสุดท้าย โดยจบอันดับ 2 ของกลุ่มจากการมี 5 คะแนน และเอาชนะอิตาลีในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ก็ต้องยุติเส้นทางเพียงเท่านี้หลังแพ้จุดโทษอังกฤษ 5–3 ภายหลังเสมอกัน 1–1

ภาพลักษณ์ทีม

ชุดแข่งขัน

ชุดเหย้าของทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์เป็นเสื้อสีแดง กางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าสีแดง ในขณะที่ชุดเยือนจะสลับสีเป็นเสื้อสีขาว กางเกงขาสั้นสีแดง และถุงเท้าสีขาว โดยสีกางเกงและถุงเท้าสามารถสลับสีกันได้ในบางกรณี นับตั้งแต่ที่ก่อตั้งทีมใน ค.ศ. 1895 ทีมชาติในชุดแข่งตามสีที่ปรากฏบนธงชาติ ผู้ผลิตชุดในปัจจุบันคือพูมาซึ่งผลิตชุดแข่งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1998

ผู้ผลิตชุดแข่ง

ผู้ผลิต ช่วงปี
เยอรมนี อาดิดาส 1976–1989
สวิตเซอร์แลนด์ แบล็กกี 1990–1992
อิตาลี ลอตโต 1992–1998
เยอรมนี พูมา 1998–

ทีมงานฝึกสอน

มูรัท ยาคิน เป็นผู้จัดการทีมมาตั้งแต่ ค.ศ. 2021
ตำแหน่ง ชื่อ
หัวหน้าผู้ฝึกสอน สวิตเซอร์แลนด์ มูรัท ยาคิน
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน สวิตเซอร์แลนด์ Hakan Yakin
สวิตเซอร์แลนด์ Vincent Cavin
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู สวิตเซอร์แลนด์ Patrick Foletti
ผู้ฝึกสอนกายภาพ สวิตเซอร์แลนด์ Oliver Riedwyl

ทำเนียบหัวหน้าผู้ฝึกสอน

รายชื่อผู้เล่น

รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022[91]

ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับ เช็กเกีย[92][93]

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK ยัน ซ็อมเมอร์ (1988-12-17) 17 ธันวาคม ค.ศ. 1988 (36 ปี) 76 0 เยอรมนี โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค
12 1GK โยนัส อ็อมลีน (1994-01-10) 10 มกราคม ค.ศ. 1994 (30 ปี) 4 0 ฝรั่งเศส มงเปอลีเย
21 1GK เกรกอร์ โคเบิล (1997-12-06) 6 ธันวาคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 3 0 เยอรมนี โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์
24 1GK Philipp Köhn (1998-04-02) 2 เมษายน ค.ศ. 1998 (26 ปี) 0 0 ออสเตรีย เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค
13 2DF ริการ์โด โรดริเกซ (1992-08-25) 25 สิงหาคม ค.ศ. 1992 (32 ปี) 100 9 อิตาลี โตรีโน
22 2DF ฟาบีอาน แชร์ (1991-12-20) 20 ธันวาคม ค.ศ. 1991 (33 ปี) 72 8 อังกฤษ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
5 2DF มานูเอ็ล อาคันจี (1995-07-19) 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1995 (29 ปี) 42 1 อังกฤษ แมนเชสเตอร์ซิตี
4 2DF นีโค เอ็ลเวดี (1996-09-30) 30 กันยายน ค.ศ. 1996 (28 ปี) 40 1 เยอรมนี โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค
3 2DF ซิลวาน วิทเมอร์ (1993-03-05) 5 มีนาคม ค.ศ. 1993 (31 ปี) 33 2 เยอรมนี ไมนทซ์ 05
18 2DF เอรัย เจอแมร์ท (1998-02-04) 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 (26 ปี) 9 0 สเปน บาเลนเซีย
23 3MF แจร์ดัน ชาชีรี (รองกัปตัน) (1991-10-10) 10 ตุลาคม ค.ศ. 1991 (33 ปี) 108 26 สหรัฐอเมริกา ชิคาโกไฟเออร์
10 3MF กรานิต จากา (กัปตัน) (1992-09-27) 27 กันยายน ค.ศ. 1992 (32 ปี) 106 12 อังกฤษ อาร์เซนอล
8 3MF เรโม ฟร็อยเลอร์ (1992-04-15) 15 เมษายน ค.ศ. 1992 (32 ปี) 48 5 อังกฤษ นอตทิงแฮมฟอเรสต์
6 3MF เดอนี ซาการียา (1996-11-20) 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 (28 ปี) 42 3 อังกฤษ เชลซี
15 3MF จีบรีล โซ (1997-02-06) 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (27 ปี) 32 0 เยอรมนี ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท
11 3MF Renato Steffen (1991-11-03) 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991 (33 ปี) 27 1 สวิตเซอร์แลนด์ ลูกาโน
2 3MF แอดีมิลซง ฟือร์นังดึช (1996-04-15) 15 เมษายน ค.ศ. 1996 (28 ปี) 22 2 เยอรมนี ไมนทซ์ 05
25 3MF Fabian Frei (1989-01-08) 8 มกราคม ค.ศ. 1989 (35 ปี) 22 3 สวิตเซอร์แลนด์ บาเซิล
14 3MF Michel Aebischer (1997-01-06) 6 มกราคม ค.ศ. 1997 (27 ปี) 11 0 อิตาลี โบโลญญา
26 3MF Ardon Jashari (2002-06-30) 30 มิถุนายน ค.ศ. 2002 (22 ปี) 1 0 สวิตเซอร์แลนด์ ลูเซิร์น
25 3MF Fabian Rieder (2002-02-16) 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 (22 ปี) 0 0 สวิตเซอร์แลนด์ ยังบอยส์
9 4FW ฮาริส เซเฟรอวิช (1992-02-22) 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 (32 ปี) 88 25 ตุรกี กาลาทาซาไร
7 4FW เบรล เอ็มโบโล (1997-02-14) 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (27 ปี) 58 11 ฝรั่งเศส มอนาโก
17 4FW รูเบน บาร์กัส (1998-08-05) 5 สิงหาคม ค.ศ. 1998 (26 ปี) 26 4 เยอรมนี เอาคส์บวร์ค
16 4FW คริสทีอัน ฟัสนัคท์ (1993-11-11) 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 (31 ปี) 15 4 สวิตเซอร์แลนด์ ยังบอยส์
19 4FW Noah Okafor (2000-05-24) 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 (24 ปี) 8 2 ออสเตรีย เร็ดบุลซัลทซ์บวร์ค

สถิติผู้เล่น

ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2021[94]
ผู้เล่น ตัวหนา หมายถึง ผู้เล่นที่ยังคงลงเล่นให้กับทีมชาติในปัจจุบัน

สถิติการแข่งขัน

สวิตเซอร์แลนด์ยังไม่เคยชนะเลิศการแข่งขันระดับนานาชาติ ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกสามครั้งในปี 1934, 1938 และ 1954 และการเป็นรองแชมป์โอลิมปิกฤดูร้อน 1924 ที่พวกเข้าพ่ายแพ้ต่ออุรุกวัยในรอบชิงชนะเลิศที่ปารีส 3–0[95] อย่างไรก็ตาม ทีมชาติชุดเยาวชนมีความสำเร็จมากกว่า โดยทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีเคยชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2002 และ 2009 ในขณะที่ทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปีเคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2002 และเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2011[96][97][98][99]

ฟุตบอลโลก

สถิติในฟุตบอลโลก สถิติในรอบคัดเลือก
ปี รอบ อันดับ แข่ง ชนะ เสมอ* แพ้ ได้ เสีย ผู้เล่น แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย
อุรุกวัย 1930 ไม่ได้เข้าร่วม ถูกเชิญเข้าร่วม
อิตาลี 1934 รอบก่อนรองชนะเลิศ 7 2 1 0 1 5 5 ผู้เล่น 2 0 2 0 4 4
ฝรั่งเศส 1938 7 3 1 1 1 5 5 ผู้เล่น 1 1 0 0 2 1
บราซิล 1950 รอบแบ่งกลุ่ม 6 3 1 1 1 4 6 ผู้เล่น 2 2 0 0 8 4
สวิตเซอร์แลนด์ 1954 รอบก่อนรองชนะเลิศ 8 4 2 0 2 11 11 ผู้เล่น ผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นเจ้าภาพ
สวีเดน 1958 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก 4 0 1 3 6 11
ชิลี 1962 รอบแบ่งกลุ่ม 16 3 0 0 3 2 8 ผู้เล่น 5 4 0 1 11 10
อังกฤษ 1966 16 3 0 0 3 1 9 ผู้เล่น 6 4 1 1 7 3
เม็กซิโก 1970 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก 6 2 1 3 5 8
เยอรมนีตะวันตก 1974 6 2 2 2 2 4
อาร์เจนตินา 1978 4 1 0 3 3 5
สเปน 1982 8 2 3 3 9 12
เม็กซิโก 1986 8 2 4 2 5 10
อิตาลี 1990 8 2 1 5 10 14
สหรัฐอเมริกา 1994 รอบ 16 ทีมสุดท้าย 16 4 1 1 2 5 7 ผู้เล่น 10 6 3 1 23 6
ฝรั่งเศส 1998 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก 8 3 1 4 11 12
เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น 2002 10 4 2 4 18 12
เยอรมนี 2006 รอบ 16 ทีมสุดท้าย 10 4 2 2 0 4 0 ผู้เล่น 12 5 6 1 22 11
แอฟริกาใต้ 2010 รอบแบ่งกลุ่ม 19 3 1 1 1 1 1 ผู้เล่น 10 6 3 1 18 8
บราซิล 2014 รอบ 16 ทีมสุดท้าย 11 4 2 0 2 7 7 ผู้เล่น 10 7 3 0 17 6
รัสเซีย 2018 14 4 1 2 1 5 5 ผู้เล่น 12 10 1 1 24 7
ประเทศกาตาร์ 2022 12 4 2 0 2 5 9 ผู้เล่น 8 5 3 0 15 2
แคนาดา เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา 2026 ยังไม่ถึงกำหนดแข่งขัน ยังไม่ถึงกำหนดแข่งขัน
โมร็อกโก สเปน โปรตุเกส 2030
ซาอุดีอาระเบีย 2034
ทั้งหมด รอบก่อนรองชนะเลิศ 12/22 41 14 8 19 55 73 140 68 37 35 220 150
*การเสมอนับรวมถึงนัดที่ตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

สถิติในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป สถิติในรอบคัดเลือก
ปี รอบ อันดับ แข่ง ชนะ เสมอ* แพ้ ได้ เสีย ผู้เล่น แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย
ฝรั่งเศส 1960 ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขัน ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขัน
สเปน 1964 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก 2 0 1 1 2 4
อิตาลี 1968 6 2 1 3 17 13
เบลเยียม 1972 6 4 1 1 12 5
สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย 1976 6 1 1 4 5 10
อิตาลี 1980 8 2 0 6 7 18
ฝรั่งเศส 1984 6 2 2 2 7 9
เยอรมนีตะวันตก 1988 8 1 5 2 9 9
สวีเดน 1992 8 4 2 2 19 7
อังกฤษ 1996 รอบแบ่งกลุ่ม 13 3 0 1 2 1 4 ผู้เล่น 8 5 2 1 15 7
เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ 2000 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก 8 4 2 2 9 5
โปรตุเกส 2004 รอบแบ่งกลุ่ม 15 3 0 1 2 1 6 ผู้เล่น 8 4 3 1 15 11
ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ 2008 รอบแบ่งกลุ่ม 11 3 1 0 2 3 3 ผู้เล่น ผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นเจ้าภาพ
โปแลนด์ ยูเครน 2012 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก 8 3 2 3 12 10
ฝรั่งเศส 2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย 11 4 1 3 0 3 2 ผู้เล่น 10 7 0 3 24 8
ยุโรป 2020 รอบก่อนรองชนะเลิศ 7 5 2 2 1 8 9 ผู้เล่น 8 5 2 1 19 6
เยอรมนี 2024 กำลังแข่งขัน ผู้เล่น
สหราชอาณาจักร สาธารณรัฐไอร์แลนด์ 2028 ยังไม่ถึงกำหนดแข่งขัน ยังไม่ถึงกำหนดแข่งขัน
อิตาลี ตุรกี 2032
ทั้งหมด รอบก่อนรองชนะเลิศ 5/16 18 3 8 7 16 24 100 44 24 32 172 122
*การเสมอนับรวมถึงนัดที่ตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ
**กรอบสีแดงหมายถึงการแข่งขันที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพ

เกียรติประวัติ

อันดับ 4 (1): 2018–19

อ้างอิง

  1. "FIFA Century Club" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-24.
  2. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 20 มิถุนายน 2024. สืบค้นเมื่อ 20 มิถุนายน 2024.
  3. "World Cup 1954 finals". 3 January 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 January 2007. สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  4. Taylor, Daniel (21 June 2010). "Chile 1-0 Switzerland | World Cup Group H match report". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  5. uefa.com. "UEFA EURO 2008 - History - Standings – UEFA.com". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  6. "Switzerland 1-2 Turkey" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 11 June 2008. สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  7. "Olympic Football Tournament Paris 1924 - Switzerland 0:3 (0:1) Uruguay - Overview". FIFA. สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  8. "Olympic Football Tournament Paris 1924: Switzerland - Uruguay". www.fifa.com (ภาษาอังกฤษ).
  9. "1934 FIFA World Cup Italy ™ - Matches - FIFA.com". web.archive.org. 2015-07-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-01-24. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  10. "1934 FIFA World Cup Italy ™ - Matches - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-01-24. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  11. "1938 FIFA World Cup France ™ - Matches - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-03-11. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  12. "1938 FIFA World Cup France ™ - Matches - FIFA.com". web.archive.org. 2015-09-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  13. "1938 FIFA World Cup France ™ - Matches - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-05-01. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  14. "1950 FIFA World Cup Brazil ™ - Groups - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-02. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  15. "1954 FIFA World Cup Switzerland ™ - Groups - FIFA.com". web.archive.org. 2015-04-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-02. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  16. "1954 FIFA World Cup Switzerland ™ - Matches - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-23. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  17. "1962 FIFA World Cup Chile ™ - Groups - FIFA.com". web.archive.org. 2015-04-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-04. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  18. "1966 FIFA World Cup England ™ - Groups - FIFA.com". web.archive.org. 2015-04-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-23. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  19. "Switzerland - International Matches". www.rsssf.org.
  20. "The man that is Roy Hodgson". Fulhamweb.
  21. "World Cup 1994 QUALIFYING". allworldcup.narod.ru.
  22. "World Cup 1994 QUALIFYING". allworldcup.narod.ru.
  23. "World Cup 1994 QUALIFYING". allworldcup.narod.ru.
  24. "World Cup 1994 QUALIFYING". allworldcup.narod.ru.
  25. "1994 FIFA World Cup USA ™ - matches_T - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-28. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  26. "1994 FIFA World Cup USA ™ - matches_T - FIFA.com". web.archive.org. 2015-02-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-04. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  27. UEFA.com. "History: Switzerland 1-2 Türki̇ye | UEFA EURO 1996". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  28. UEFA.com. "History: Scotland 1-0 Switzerland | UEFA EURO 1996". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  29. "World Cup 1998 qualifications". www.rsssf.org.
  30. Doyle, Paul (2008-05-27). "Euro 2008 team preview No1: Switzerland". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  31. "Turkey 4-2 Switzerland" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2005-11-16. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  32. Lea, Greg (2018-06-01). "The dullest game in World Cup history: Switzerland v Ukraine in 2006". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  33. "Austria-Switzerland to host Euro 2008" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2002-12-12. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  34. "Switzerland 2-0 Portugal" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2008-06-15. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  35. "Switzerland v Argentina, 29 February 2012". 11v11.com. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  36. UEFA.com. "The official website for European football". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  37. "Chile 1-0 Switzerland". news.bbc.co.uk.
  38. "Switzerland 0-0 Honduras". news.bbc.co.uk.
  39. "Switzerland 1-3 England" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2010-09-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  40. "Montenegro 1 Switzerland 0: match report". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). 2010-10-08.
  41. "Switzerland 4-1 Wales" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2010-10-12. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  42. Staff (2011-03-26). "Bulgaria and Switzerland left adrift of England after stalemate". The Observer (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0029-7712. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  43. "England 2-2 Switzerland". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2011-05-25. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  44. "Shaqiri steals the show". Sky Sports (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  45. "Euro 2012: Wales 2-0 Switzerland". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2011-10-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  46. "Euro 2012: Montenegro 2-2 England". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2011-10-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  47. UEFA.com. "History: Switzerland 2-0 Montenegro | UEFA EURO 2012". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  48. UEFA.com. "The official website for European football". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  49. "Albania 0-1 Switzerland". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 11 June 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  50. "Romania 1-1 Switzerland". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 15 June 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  51. "Switzerland 0-0 France". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 19 June 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  52. "BBC Sport". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  53. "France, Swiss dish up Euros' strangest moment". NewsComAu. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  54. "Switzerland 1-1 Poland (pens 4-5)". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 25 June 2016. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  55. Sport, Telegraph (25 June 2016). "Switzerland 1 Poland 1, Euro 2016: Poles win 5-4 on penalties despite Xherdan Shaqiri wonder-goal". The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  56. "Poland beat Swiss after Xhaka penalty miss to reach Euro 2016 quarters". Evening Standard (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  57. 57.0 57.1 FIFA.com. "2018 FIFA World Cup Russia™ - Qualifiers - Europe". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-19. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  58. Gadd, Mick (6 September 2016). "Switzerland 2-0 Portugal: Euro 2016 champions come crashing back to earth". mirror. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  59. UEFA.com. "European Qualifiers - Hungary-Switzerland". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  60. UEFA.com. "European Qualifiers - Andorra-Switzerland". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  61. UEFA.com. "European Qualifiers - Switzerland-Faroe Islands". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  62. UEFA.com. "European Qualifiers - Switzerland-Latvia". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  63. UEFA.com. "European Qualifiers - Faroe Islands-Switzerland". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  64. UEFA.com. "European Qualifiers - Switzerland-Andorra". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  65. UEFA.com. "European Qualifiers - Latvia-Switzerland". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  66. UEFA.com. "European Qualifiers - Switzerland-Hungary". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  67. "Portugal 2-0 Switzerland". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 10 October 2017. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  68. UEFA.com. "European Qualifiers - Standings". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  69. "Northern Ireland 0-1 Switzerland". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 9 November 2017. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  70. Anderson, David (9 November 2017). "Northern Ireland vs Switzerland live score and goal updates". mirror. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  71. UEFA.com. "European Qualifiers - Switzerland-Northern Ireland". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  72. FIFA.com. "The FIFA/Coca-Cola Men's World Ranking". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  73. Сборная Швеции зрелищно вышла в четвертьфинал ЧМ-2018 (фото). Soccer.ru (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  74. FIFA.com. "2018 FIFA World Cup Russia™ - Groups". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-03. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  75. FIFA.com. "2018 FIFA World Cup Russia™ - Matches - Brazil - Switzerland". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-24. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  76. FIFA.com. "2018 FIFA World Cup Russia™ - Matches - Serbia - Switzerland". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-30. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  77. "Serbia 1-2 Switzerland: Xherdan Shaqiri steals vital win for Swiss". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  78. Doyle, Paul (22 June 2018). "World Cup 2018: Serbia 1-2 Switzerland – as it happened". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  79. "Serbia 1-2 Switzerland: Late Shaqiri break shatters Serbian hearts". ProSoccerTalk (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 22 June 2018. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  80. "World Cup 2018: Switzerland trio avoid bans for 'eagle gesture' goal celebrations". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 25 June 2018. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  81. Smyth, Rob (27 June 2018). "Switzerland 2-2 Costa Rica: World Cup 2018 – as it happened". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  82. Glendenning, Barry (3 July 2018). "Sweden 1-0 Switzerland: World Cup 2018 – as it happened". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 4 July 2018.
  83. UEFA.com. "UEFA Nations League 2018/19 League Phase draw". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  84. "UEFA Nations League draw: England get Spain, Germany face France | Goal.com" (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 25 July 2018.
  85. "France 3-3p Switzerland: Swiss stun world champions with penalty shootout win after thriller in Bucharest". Eurosport. 28 June 2021.
  86. "France 3 Switzerland 3 (4-5 on pens)". BBC Sport. 28 June 2021. สืบค้นเมื่อ 29 June 2021.
  87. swissinfo.ch/ug (2021-08-09). "New manager for Swiss national football team appointed". SWI swissinfo.ch (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  88. Harris, Daniel (2021-11-15). "World Cup clockwatch: Switzerland qualify, Italy in play-offs – as it happened". the Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  89. "Portugal 6-1 Switzerland: Ronaldo replacement Ramos scores hat-trick as Portugal advance". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2022-12-05. สืบค้นเมื่อ 2024-12-14.
  90. "Romania 1-0 Switzerland (Nov 21, 2023) Game Analysis". ESPN (ภาษาอังกฤษ).
  91. "Murat Yakin gibt Schweizer WM-Aufgebot bekannt". Swiss Football Association (ภาษาเยอรมัน). 9 November 2022. สืบค้นเมื่อ 9 November 2022.
  92. "Switzerland-Portugal | UEFA Nations League 2023 | UEFA.com". UEFA.
  93. "Most Switzerland Caps - EU-Football.info". eu-football.info.
  94. "Switzerland – Record International Players". RSSSF.
  95. FIFA.com. "Olympic Football Tournament Paris 1924 - Switzerland 0:3 (0:1) Uruguay - Overview - FIFA.com". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  96. "uefa.com - UEFA European U-17 C'ship". 9 January 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 January 2016. สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  97. FIFA.com (17 October 2009). "Swiss take their place in history". FIFA.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-05. สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  98. uefa.com (25 May 2002). "Under-21 2002 - History - France-Switzerland – UEFA.com". Uefa.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.
  99. uefa.com (25 June 2011). "Under-21 2011 - History - Switzerland-Spain – UEFA.com". Uefa.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 July 2018.

แหล่งข้อมูลอื่น

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!