ซัยยิดาฟาฏิมะฮ์ อัชชะรีฟ (อาหรับ: فاطمة الشريف) หรือ ฟาฏิมะฮ์ อัซซานูซี (อาหรับ: فاطمة السنوسي;[1] ค.ศ. 1911 – 3 ตุลาคม ค.ศ. 2009) เป็นพระราชินีในพระเจ้าอิดริสที่ 1 แห่งลิเบีย เป็นสมเด็จพระราชินีเพียงพระองค์เดียวของลิเบียก่อนการปฏิวัติโดยพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ในปี ค.ศ. 1969 พระองค์จึงเป็นสมเด็จพระราชินีองค์สุดท้ายในแอฟริกาเหนือ[2]
พระราชประวัติ
ฟาฏิมะฮ์ อัชชะรีฟพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1911 ที่โอเอซิสแห่งคูฟรา (ประเทศลิเบียในปัจจุบัน) เป็นพระธิดาเพียงคนเดียวในซัยยิดอะห์มัด ชะรีฟ อัซซานูซี อดีตผู้นำทางศาสนาของราชวงศ์ซานูซี กับเคาะดีญะฮ์ บินต์ อะห์มัด อัลริฟี ภรรยาคนที่สอง พระบิดาของพระองค์ได้ทำการต่อต้านกองกำลังของเหล่าอาณานิคม จนในปี ค.ศ. 1929 พระองค์ได้รับคำสั่งให้หนีออกจากลิเบียไปยังเขตแดนอียิปต์โดยใช้อูฐ
ในปี ค.ศ. 1931 ฟาฏิมะฮ์ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอิดริสที่ 1 แห่งลิเบีย ซึ่งเป็นพระประยูรญาติ[3] และผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำราชวงศ์ต่อจากบิดาของพระองค์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นที่เมืองซีวา พระองค์เคยประสูติกาลพระบุตรพระองค์แรกและพระองค์เดียวของพระองค์เมื่อ ค.ศ. 1953 ซึ่งสิ้นพระชนม์เสียขณะมีชันษาเพียงหนึ่งวัน
ในตำแหน่งพระราชินี
เมื่อพระเจ้าอีดริสเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งลิเบียในปี ค.ศ. 1951 กระทั่งปี ค.ศ. 1954 พระภาคิไนยคนหนึ่งของพระองค์ได้ลอบสังหารอิบราฮิม เชลฮี ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของพระราชสวามี เนื่องจากข่าวลือว่านายเชลฮีมั่นใจว่ากษัตริย์อิดริสจะทรงหย่ากับพระราชินี และกษัตริย์จะทรงสนพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับบุตรสาวของตนแทน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวกษัตริย์อิดริสจึงดำเนินการลงโทษต่อพระภาคิไนยของสมเด็จพระราชินี[4]
กษัตริย์อิดริสทรงตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสใหม่เพราะมีพระราชประสงค์ที่จะมีองค์รัชทายาทไว้สืบทอดราชบัลลังก์ สมเด็จพระราชินีเองก็ทรงหาสตรีให้กษัตริย์อิดริสเลือกไว้สองคนไปถวายสำหรับอภิเษกสมรส แต่กษัตริย์อิดริสกลับทรงอภิเษกสมรสกับสตรีชั้นสูงชาวอียิปต์ชื่อ อาลียา อับเดล กอดีร์ ลัมลุม (Alia Abdel Kader Lamloum)[5] แล้วอภิเษกสมรสกันในปี ค.ศ. 1955 กระนั้นสมเด็จพระราชินีฟาฏิมะฮ์ก็ยังรักษาสถานภาพของการเป็นสมเด็จพระราชินีและมิได้หย่าร้างหรือถูกขับออกจากพระราชวังโตบรุก พระเจ้าอิดริสและพระราชินีฟาฏิมะฮ์ทรงรับอุปการะเหล่าโอรส-ธิดาของพระประยูรญาติหลายพระองค์ รวมทั้งสุไลมา เด็กหญิงชาวแอลจีเรียที่บิดาของเธอเสียชีวิตจากการต่อสู้กับฝรั่งเศส[4]
สมเด็จพระราชินีมีพระอารมณ์ขัน ปฏิภาณไหวพริบ และพระปรีชาสามารถที่จะทำให้ผู้อื่นผ่อนคลาย โดยเฉพาะเด็กและกลุ่มผู้ที่สนับสนุนกษัตริย์อิดริส ด้วยวิธีการอันแลดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยความสง่างาม พระองค์จึงกลายเป็นแบบอย่างที่ดีของสตรียุคใหม่ชาวลิเบีย ด้วยบทบาทพระราชินีของพระองค์[4] ขณะที่ยังทรงดำรงตำแหน่งพระราชินี พระองค์ปราศจากเครื่องทรงฮิญาบ แต่ทรงมีบทบาทในการเข้าร่วมพระกรณียกิจกับสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ[4]
หลังการปฏิวัติ
ในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของลิเบียเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1969 พระองค์และพระสวามีประทับอยู่ในประเทศตุรกี ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้พำนักอยู่ในบ้านพักแห่งหนึ่งในไคโร ประเทศอียิปต์ ภายใต้การคุ้มครองของญะมาล อับดุนนาศิรผู้นำอียิปต์ในขณะนั้น[2] ซึ่งมาจากการที่เขายึดทรัพย์สินจากฝ่ายตรงข้าม[2] ซึ่งในพระตำหนักมีราชองครักษ์ และทั้งสองพระองค์จะมีรายได้ 10,000 ปอนด์อียิปต์ต่อปี[3]
หลังจากการปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์ในลิเบีย พระองค์ได้พยายามขึ้นฟ้องต่อศาลประชาชนของลิเบียในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1971 แต่กลับถูกพิพากษาให้ถูกจำคุก 5 ปี และทรัพย์สมบัติของพระองค์ก็ถูกยึดเป็นของรัฐ ต่อมาภายหลังได้มีการส่งมอบพระตำหนักส่วนพระองค์ในกรุงตรีโปลีคืนแก่พระองค์ในปี ค.ศ. 2007
อดีตสมเด็จพระราชินีฟาฏิมะฮ์ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ณ ไคโร ประเทศอียิปต์ สิริรวมพระชนมายุได้ 98 พรรษา[6] และพระศพถูกฝังไว้ที่สุสานฮัมซะฮ์ อัลมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
ก่อนหน้า
|
|
ฟาฏิมะฮ์ อัชชะรีฟ
|
|
ถัดไป
|
ตำแหน่งใหม่
|
|
สมเด็จพระราชินีแห่งลิเบีย (24 ธันวาคม ค.ศ. 1951 – 1 กันยายน ค.ศ. 1969)
|
|
ยกเลิกตำแหน่ง
|