ที่ปรึกษาของขุนศึกจีนเล่าปี่ (ค.ศ. 179-214)
บังทอง (ค.ศ. 179 – 214)[a] หรือชื่อในภาษาจีนกลางว่า ผาง ถ่ง (การออกเสียงⓘ; จีนตัวย่อ: 庞统; จีนตัวเต็ม: 龐統; พินอิน: Páng Tǒng) มีชื่อรองว่า ชื่อ-ยฺเหวียน (จีน: 士元; พินอิน: Shìyuán) เป็นนักการเมืองชาวจีน เป็นที่ปรึกษาของขุนศึกเล่าปี่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของจีน บังทองในวัยเยาว์มักถูกผู้อื่นมองข้ามเพราะมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่สุมาเต๊กโชนับถือบังทองอย่างมากเรียกบังทองว่าเป็น "มงกุฎของบัณฑิตแห่งแดนใต้" บังทองเรียนตำรากับสุมาเต๊กโชพร้อมกับจูกัดเหลียง ชีซีและเอี่ยงลอง แล้วได้รับฉายาว่า "ฮองซู" (鳯雛 เฟิ่งฉู) แปลว่า "หงส์ดรุณ" ด้วยความที่บังทองมีท่าทีเป็นมิตรจึงได้รับราชการเป็นนักประเมินบุคคลในเมืองลำกุ๋น เมื่อพิจารณาบุคคลใด ๆ จะความสำคัญกับคุณธรรมมากกว่าความสามารถและส่งเสริมให้พวกเขาช่วยเหลือผู้อื่น
บังทองรับราชการกับจิวยี่เป็นเวลาสั้น ๆ ได้ผูกมิตรเป็นเพื่อนกับลกเจ๊ก, กู้ เช่า และจวนจ๋อง ก่อนจะเข้าร่วมกับเล่าปี่ในปี ค.ศ. 209 หลังจากที่เล่าปี่ได้ขึ้นเป็นเจ้ามณฑลเกงจิ๋ว เล่าปี่ตั้งให้บังทองมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยตามคำแนะนำของโลซกและจูกัดเหลียง และเลื่อนขึ้นเป็นที่ปรึกษาการทหารขุนพลองครักษ์ บังทองแนะนำเล่าปี่ให้ยึดมณฑลเอ๊กจิ๋ว แล้วได้ติดตามเล่าปี่ไปร่วมการศึกที่เอ๊กจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งในปัจจุบัน) รบกับขุนศึกเล่าเจี้ยง แต่บังทองถูกสังหารโดยเกาทัณฑ์ลูกหลงระหว่างการรบที่อำเภอลกเสีย (ปัจจุบันอยู่ทางเหนือของนครกว่างฮั่น มณฑลเสฉวน) ในปี ค.ศ. 214
ชีวประวัติช่วงต้น
บังทองเป็นชาวเมืองซงหยง (襄陽 เซียงหยาง) มณฑลเกงจิ๋ว ในวัยเยาว์บังทองเป็นคนที่ดูธรรมดาและเรียบง่าย ไม่เป็นที่สนใจมากนัก เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (เมื่ออายุราว 19 ปี) ได้ไปเยี่ยมสุมาเต๊กโช (ซือหม่า ฮุย ชื่อรอง เต๋อเชา) ผู้มีชื่อเสียงในการแนะนำผู้มีความสามารถ ทั้งคู่มาที่ต้นหม่อน สุมาเต๊กโชปีนขึ้นไปเก็บผลหม่อน ส่วนบังทองนั่งอยู่ด้านล่าง ทั้งคู่สนทนากันตลอดทั้งวันจนย่ำค่ำ สุมาเต๊กโชเห็นว่าบังทองเป็นบุคคลไม่ธรรมดาจึงเรียกบังทองว่าเป็น "มงกุฎของบัณฑิตแห่งแดนใต้" (南州士之冠冕 หนานโจวชื่อจือกวันเหมี่ยน) ตั้งแต่นั้นมาบังทองก็เริ่มมีชื่อเสียงในหมู่บัณฑิต[สามก๊กจี่ 2] บังทองได้รับการตั้งฉายานามว่า "ฮองซู" (鳳雛 เฟิ่งฉู; มีความหมายว่า "หงส์ดรุณ") จากบังเต๊กก๋ง (龐德公 ผาง เต๋อกง) ผู้เป็นอา เช่นเดียวกับจูกัดเหลียงที่มีฉายานามว่า "ฮกหลง" (臥龍 วั่วหลง; มีความหมายว่า "มังกรหลับ") และสุมาเต๊กโชที่มีฉายานามว่า "ฉุ่ยจิ้ง" (水鏡; มีความหมายว่า "กระจกน้ำ")[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 1]
บังเต๊กก๋งอาของบังทองเป็นชาวเมืองซงหยงเช่นกัน บังเต๊กก๋งรู้จักกันกับจูกัดเหลียง จูกัดเหลียงมักคำนับบังเต๊กก๋งด้วยความเคารพอย่างสูงเมื่อไปเยี่ยมที่บ้าน ครั้งหนึ่งบังเต๊กก๋งข้ามแม่น้ำไกซุย (沔水 เหมียนสุ่ย) เพื่อไปไหว้สักการะสุสานบรรพบุรุษ สุมาเต๊กโชไปเยี่ยมที่บ้านของบังเต๊กก๋ง จึงเรียกภรรยาและลูก ๆ ของบังเต๊กก๋งและบอกให้เตรียมอาหารสำหรับแขกคนสำคัญที่มีเพียงชีซีที่รู้จัก ซึ่งจะมาพบเขาและบังเต๊กก๋ง ภรรยาและลูก ๆ ของบังเต๊กก๋งทำตามคำของสุมาเต๊กโชด้วยความเคารพ ต่อมาไม่นานบังเต๊กก๋งกลับมาและยืนต้อนรับแขกแม้ไม่รู้ว่าแขกที่มานี้เป็นใคร ให้ความสนิทใกล้ชิดเหมือนเป็นครอบครัวและไม่มีการแบ่งแยกระหว่างแขกและเจ้าบ้าน สุมาเต๊กโชมีอายุน้อยกว่าบังเต๊กก๋งสิบปี จึงปฏิบัติต่อบังเต๊กก๋งเหมือนเป็นพี่ชาย เรียกบังเต๊กก๋งด้วยความนับถือว่าบังก๋ง (龐公 ผางกง) จนทำให้ผู้คนคิดว่าชื่อ "บังก๋ง" เป็นชื่อรองของบังเต๊กก๋ง แต่ความจริงไม่ใช่[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 2]
บุตรชายของบังเต๊กก๋งชื่อว่า ผาง ชานหมิน (龐山民) ก็เป็นผู้มีชื่อเสียงเช่นกัน และได้แต่งงานกับพี่สาวคนรองของจูกัดเหลียง ภายหลังได้รับราชการในตำแหน่งหฺวังเหมินลี่ (黃門吏) แต่เสียชีวิตขณะยังหนุ่ม บุตรชายของผาง ชานหมินชื่อผาง ฮฺว่าน (龐渙) ชื่อรอง ชื่อเหวิน (世文) มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองจังเกอ (牂牁太守 จังเกอไท่โฉฺ่ว) ระหว่างปี ค.ศ. 280 ถึง 289
เมื่อบังทองอยู่ในวัยเยาว์ยังไม่มีใครให้ความสนใจบังทอง มีเพียงบังเต๊กก๋งที่ประเมินบังทองไว้สูง เมื่อบังทองอายุสิบแปดปี บังทองถูกส่งมาพบสุมาเต๊กโช หลังจากสุมาเต๊กโชสนทนากับบังทองก็ถอนใจพูดว่า “บังเต๊กก๋งมองคนออกจริง ๆ เด็กผู้นี้คือผู้มีคุณธรรมสูงส่งอย่างแท้จริง”[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 3]
รับราชการเป็นนักประเมินบุคคล
ภายหลังบังทองเข้ารับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ปกครอง (功曹 กงเฉา) ในเมืองลำกุ๋น (南郡 หนานจฺวิ้น; ปัจจุบันอยู่บริเวณอำเภอเจียงหลิง มณฑลหูเป่ย์) บังทองเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบช่วยเหลือและให้คำปรึกษา จึงได้รับการเสนอชื่อให้มาทำหน้าที่เป็นนักประเมินบุคคล เมื่อบังทองประเมินผู้คน จะให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมประจำตนมากกว่าเรื่องความสามารถ บังทองชอบบทเรียนด้านจริยธรรมและพยายามรักษามาตรฐานทางศีลธรรมให้สูงอยู่เสมอ เมื่อถูกขอให้ประเมินบุคคลก็มักจะยกย่องเกินจริง[สามก๊กจี่ 3]
เวลานั้นผู้คนไม่เข้าใจจึงถามบังทองว่าทำไมจึงยกย่องผู้คนเกินจริง บังทองตอบว่า:
“บัดนี้แผ่นดินกำลังโกลาหล ธรรมเนียมและหลักการมักถูกลืม คนดีถูกคนชั่วครอบงำ ข้าอยากจะเปลี่ยนบรรทัดฐานทางสังคมและรื้อฟื้นธรรมเนียมดีงามเพื่อส่งเสริมคนดี และทำให้มีชื่อเสียงที่ดียิ่งกว่า (ยกย่องเกินจริง) เพื่อให้คนหมู่มากชื่นชมและถือแบบอย่างที่ดีให้ผู้อื่น สมมติว่าข้ายกย่องเกินจริงสิบส่วน แม้จะผิดไปห้าส่วน แต่ก็ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นแบบอย่างอันสูงส่งเพื่อสอนใจคนในยุคนี้ ทำให้ผู้คนมุ่งมั่นจะทำความดี เรื่องนี้จะยอมรับไม่ได้เลยหรือ”[สามก๊กจี่ 4]
รับใช้จิวยี่
ในปี ค.ศ. 209 จิวยี่ ขุนพลของขุนศึกซุนกวน เข้ายึดเมืองลำกุ๋นหลังชนะในยุทธการที่กังเหลง หลังจิวยี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองลำกุ๋น บังทองได้เข้ารับราชการกับจิวยี่ เมื่อจิวยี่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 210 บังทองร่วมในขบวนคุ้มกันโลงศพกลับไปกังตั๋งและเข้าร่วมในพิธีศพ ขุนนางหลายคนของกังตั๋งได้ยินชื่อเสียงของบังทอง เมื่อบังทองกำลังจะออกเดินทางกลับเกงจิ๋ว เหล่าขุนนางจึงมารวมตัวพบบังทองที่ประตูตะวันตก (昌門 ชางเหมิน) ในขุนนางเหล่านั้น บังทองได้พบและเป็นเพื่อนกับลกเจ๊ก กู้ เช่า (บุตรชายของโกะหยง) และจวนจ๋อง บังทองยังประเมินแต่ละคนแยกกัน โดยประเมินลกเจ๊กไว้ว่าเป็น "ม้าที่วิ่งไม่เร็วแต่มีขวัญกำลังใจแข็งแกร่ง" ประเมินกู้ เช่าว่าเป็น "โคที่ร่างกายอ่อนแอ แต่แบกสัมภาระไปได้ไกล"[สามก๊กจี่ 5] จากนั้นจึงเปรียบจวนจ๋องว่าเป็นดั่งฟ่าน จื่อเจา (樊子昭) แห่งเมืองยีหลำ (หรู่หนัน) กล่าวว่าเป็นคนใจกว้างผู้ชื่นชมบุรุษที่น่านับถือ[สามก๊กจี่ 6] พวกเขาต่างพึงพอใจต่อการประเมินของบังทอง
มีบางคนถามบังทองว่า "นั่นหมายความว่าลกเจ๊กดีกว่ากู้ เช่าหรือ" บังทองตอบว่า "แม้ว่าม้าจะวิ่งเร็ว แต่รับน้ำหนักได้เพียงคนหนึ่งคน โคสามารถเดินทางได้ 300 ลี้ต่อวัน สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าคนหนึ่งคน!" ภายหลังกู้ เช่าถามบังทองว่า "ท่านมีชื่อเสียงในฐานะผู้เก่งในการประเมินบุคคล ระหว่างเราสองคนท่านคิดว่าใครดีกว่ากัน" บังทองตอบว่า "ข้าไม่ดีเท่าท่านในเรื่องการคบหาสมาคมกับผู้คนและการประเมินคนเหล่านั้น แต่เมื่อเป็นเรื่องการเมืองและกลยุทธ์ ดูเหมือนข้าจะนำหน้าท่านไปหนึ่งวัน" กู้ เช่าเห็นด้วยกับบังทองก็ยิ่งสนิทกับบังทองมากขึ้น[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 4] ก่อนที่บังทองจะจากไป ลกเจ๊กและกู้ เช่าบอกเขาว่า "เมื่อแผ่นดินกลับมาสงบสุข เราอยากจะสนทนากับท่านเกี่ยวกับผู้มีชื่อเสียง" ทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับบังทอง[สามก๊กจี่ 7]
รับใช้เล่าปี่ที่เกงจิ๋ว
บังทองกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเล่าปี่ หลังจากเล่าปี่ได้ขึ้นเป็นเจ้ามณฑลของมณฑลเกงจิ๋วในปี ค.ศ. 210 เริ่มแรกบังทองรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วย (從事 ฉงชื่อ) และนายอำเภอ (縣令 เซี่ยนลิ่ง) ของอำเภอลอยเอี๋ยง (耒陽 เหล่ยหยาง) แต่ภายหลังถูกปลดจากตำแหน่งเพราะทำงานได้ไม่ดี โลซกขุนพลของซุนกวนเขียนหนังสือถึงเล่าปี่ แนะนำว่าบังทองเป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยม ควรช่วงใช้ในภารกิจที่สำคัญ ไม่ควรให้มาจัดการพื้นที่เล็ก ๆ จูกัดเหลียง นักยุทธศาสตร์ของเล่าปี่ก็แนะนำบังทองเช่นกัน เล่าปี่จึงไปพบกับบังทอง ก็รู้สึกประทับใจในความสามารถและวางใจมอบหมายในเรื่องสำคัญ เล่าปี่รับบังทองมาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยสำนักส่วนกลาง (治中從事 จื้อจงฉงชื่อ) เล่าปี่ปฏิบัติต่อบังทองอย่างให้เกียรติรองลงมาจากจูกัดเหลียง ภายหลังแต่งตั้งทั้งบังทองและจูกัดเหลียงเป็นขุนพลราชองครักษ์ที่ปรึกษาทัพ (軍師中郎將 จวินชือจงหลางเจี้ยง)[สามก๊กจี่ 8]
ขณะร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ เล่าปี่ถามบังทองว่า "ครั้งหนึ่งท่านทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองของโจฺว กงจิ่น[b] ก่อนหน้านี้เมื่อข้าไปยังแดนง่อ ข้าได้ยินว่าเขาลอบยุจ้งโหมว[c] ให้กักตัวข้า นี่เป็นเรื่องจริงหรือ ผู้ใดอยู่ด้วยนายย่อมต้องซื่อสัตย์ต่อนายอย่างถึงที่สุด" บังทองยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เล่าปี่จึงถอนใจพูดว่า "เวลานั้นข้าตกอยู่ในอันตรายและพวกเขาได้ช่วยข้าไว้ ข้าจึงไม่อาจปฏิเสธคำเชิญและเกือบหนีไม่พ้นเงื้อมมือของจิวยี่! ผู้มีสติปัญญาความสามารถในแผ่นดินนี้สามารถมองทะลุอุบายของอีกคนออก ก่อนที่ข้าจะไป ขงเบ้ง[d]มองอุบายนี้ออกจึงคัดค้านสุดใจ แต่ข้าไม่ฟังเพราะข้าเห็นว่าข้าเป็นแนวป้องกันทางทิศเหนือของจ้งโหมว เขาจึงต้องการความช่วยเหลือของข้า ข้าไม่ได้สงสัยเขาเลย นี่เป็นการเข้าถ้ำเสือโดยแท้ เป็นแผนที่เสี่ยงมาก"[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 5]
ช่วยเหลือเล่าปี่ในการยึดครองเอ๊กจิ๋ว
ราวปี ค.ศ. 210 บังทองโน้มน้าวเล่าปี่ให้เข้ายึดครองมณฑลเอ๊กจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งในปัจจุบัน) อาศัยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ของเอ๊กจิ๋วในการช่วงชิงอำนาจกับโจโฉ บังทองกล่าวว่า:
“เกงจิ๋วรกร้างและถูกทำลายด้วยความขัดแย้งต่อเนื่องยาวนาน ราษฎรเหนื่อยยาก มีซุนกวนอยู่ทางตะวันออกและโจโฉทางเหนือ ดังนั้นสมดุลแห่งอำนาจสามขั้วยากจะดำรง บัดนี้เอ๊กจิ๋วมั่งคั่งราษฎรแข็งแกร่ง ประชากรนับร้อยหมื่นพร้อมด้วยทหารและม้าจำนวนมากทั่วภูมิภาค ทั้งหมดนี้ท่านสามารถถือครองและจากนั้นไปจะกลายเป็นรากฐานของอนาคต บัดนี้ท่านสามารถเข้าคว้าเพื่อสำเร็จการใหญ่"[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 6]
เล่าปี่ตอบว่า:
“ยามนี้ศัตรูของข้าคือโจโฉ ทั้งข้าและเขาเป็นขั้วตรงข้ามดั่งน้ำกับไฟ เขาเข้มงวดส่วนข้าผ่อนปรน เขาโหดร้ายส่วนข้ามีเมตตา เขาคิดคดส่วนข้าสัตย์ซื่อ หากข้ายังคงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเขาเช่นนี้ แผนเราจะต้องสำเร็จ บัดนี้เพื่อผลประโยชน์เล็กน้อย จะทำให้ข้าเสียศรัทธาและความเชื่อมั่นของคนทั้งปวงในแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่อาจกระทำการเช่นนั้นได้”[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 7]
บังทองตอบว่า:
“ยามนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เราต้องมีความยืดหยุ่นและไม่อาจยึดมั่นหลักการเดียว สยบผู้อ่อนแอขณะโจมตีในทางลับเป็นหนทางของห้าอธิราช ยุติการกบฏขณะปกป้องผู้ภักดี ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพและซื่อตรงขณะที่ให้รางวัลอย่างยุติธรรมหลังความขัดแย้งสิ้นสุด จะไม่เป็นการกลับไปสู่ความชอบธรรมหรอกหรือ พึงตระหนักว่าหากไม่รับเอามาในวันนี้ ท้ายที่สุดมันจะตกไปเป็นของผู้อื่น”
เล่าปี่จึงปฏิบัติตามคำแนะนำของบังทอง[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 8]
ในปี ค.ศ. 211 เล่าปี่นำทัพจากเกงจิ๋วไปยังเอ๊กจิ๋ว อ้างว่าเพื่อช่วยเล่าเจี้ยงเจ้ามณฑลเอ๊กจิ๋วในการต้านกับบุกของขุนศึกเตียวฬ่อแห่งเมืองฮันต๋ง (漢中 ฮั่นจง) จูกัดเหลียงยังคงอยู่รักษาเกงจิ๋วด้านหลังในขณะที่บังทองติดตามเล่าปี่ไปเอ๊กจิ๋ว[สามก๊กจี่ 9] เล่าเจี้ยงต้อนรับเล่าปี่ที่อำเภอโปยเสีย (涪縣 ฝูเซี่ยน; ปัจจุบันคือเมืองเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน) บังทองโน้มน้าวเล่าปี่ให้ใช้โอกาสนี้จับตัวเล่าเจี้ยงและบังคับให้ยกมณฑลเอ๊กจิ๋วให้ แต่เล่าปี่ปฏิเสธเพราะตนเพิ่งเข้ามาเอ๊กจิ๋วใหม่ ๆ ยังไม่ได้สร้างรากฐานที่มั่นคง ภายหลังเล่าเจี้ยงเดินทางกลับไปยังเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) เมืองเอกของมณฑลเอ๊กจิ๋ว[สามก๊กจี่ 10]
แนะนำเล่าปี่รบกับเล่าเจี้ยง
บังทองเสนอแผนสามข้อให้เล่าปี่เลือก:
- แผนขั้นสูง: เลือกทหารชั้นดีเพื่อก่อตั้งกองกำลังชั้นยอดและรุกเข้าเซงโต๋อย่างรวดเร็ว บังคับให้เล่าเจี้ยงยอมจำนนและมอบมณฑลเอ๊กจิ๋ว บังทองยังเชื่อว่าเล่าเจี้ยงไม่มีความสามารถในด้านการทหารและย่อมไม่ได้เตรียมการรับมือ ดังนั้นโอกาสสำเร็จจึงมีสูง บังทองถือว่านี่เป็นแผนที่ดีที่สุด
- แผนขั้นกลาง: เนื่องจากทราบว่าเอียวหวย (楊懷 หยาง ไหฺว) และโกภาย (高沛 เกา เพ่ย์) เป็นขุนพลมีชื่อเสียงผู้นำกองกำลังที่แข็งแกร่งในการป้องกันกวนโถวและก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยแนะนำเล่าเจี้ยงให้ส่งเล่าปี่กลับเกงจิ๋ว ดังนั้นก่อนจะนำทัพรุกคืบ ให้แพร่ข่าวลือว่าเล่าปี่กำลังจะกลับเกงจิ๋วโดยอ้างว่าเกงจิ๋วตกอยู่ในอันตราย เล่าปี่จึงต้องการไปช่วย ให้ทำทีว่าจะนำทหารถอยกลับไป ด้วยชื่อเสียงของเล่าปี่ประกอบกับเอียวหวยและโกภายก็อยากให้เล่าปี่กลับไปอยู่แล้ว ทั้งคู่จะต้องออกมาส่งเล่าปี่พร้อมทหารม้าจำนวนน้อยห่างจากด่านบนภูเขาที่พวกเขารักษาอยู่ ให้จัดการสังหารทั้งคู่และเข้าคุมตำแหน่งกับกองกำลังของพวกเขา สุดท้ายจึงรุกเข้าเซงโต๋
- แผนขั้นต่ำ: ถอยไปเป๊กเต้เสีย (ไป๋ตี้เฉิง) และรอโอกาสอื่นเข้าโจมตี บังทองถือว่านี่เป็นแผนที่แย่ที่สุด
บังทองบอกเล่าปี่ว่าถ้าใช้เวลาตัดสินใจนานเกินไปและไม่ทำอะไรสักอย่างจะตกอยู่ในอันตรายและไม่อาจรอดได้ [สามก๊กจี่ 11] เล่าปี่ตัดสินใจเลือกปฏิบัติตามแผนขั้นกลาง สังหารเอียวหวยและโกภาย นำกองกำลังมุ่งไปยังเซงโต๋ พิชิตได้ดินแดนหลายแห่งของเล่าเจี้ยงไปตลอดทาง[สามก๊กจี่ 12]
ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของเล่าปี่ระหว่างการศึก
เมื่อเล่าปี่แสดงออกซึ่งความยินดีระหว่างงานเลี้ยงที่อำเภอโปยเสียเพื่อฉลองความสำเร็จ ได้กล่าวว่าวันนี้ควรเป็นวันรื่นเริง บังทองตำหนิว่า "เฉลิมฉลองระหว่างการรุกรานดินแดนของคนอื่นไม่เป็นสิ่งที่ผู้ทรงคุณธรรมควรทำเลย" เล่าปี่กำลังเมาสุราก็โต้กลับด้วยความโกรธว่า "จิวบูอ๋อง (โจวอู่หวัง) ก็ชื่นชมยินดีหลังชัยชนะเหนือติวอ๋อง (โจ้วหวัง) นี่ไม่ใช่แบบอย่างของผู้ทรงคุณธรรมหรอกหรือ ท่านกล่าวผิดไปแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้!"[สามก๊กจี่ 13] หลังบังทองออกไป เล่าปี่กลับมารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไปจึงให้เชิญบังทองกลับมา บังทองกลับมายังที่นั่งและไม่พูดอะไร ทำตัวเหมือนปกติ เล่าปี่ถามว่า "ที่ทุ่มเถียงกันเมื่อครู่ ท่านคิดว่าใครเป็นฝ่ายผิด" บังทองตอบว่า "ทั้งท่านและข้าต่างก็ผิดกันทั้งคู่" เล่าปี่หัวเราะ แล้วงานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไป[สามก๊กจี่ 14]
สี จั้วฉื่อวิจารณ์เหตุการณ์นี้ว่า:
“ผู้ที่เป็นขุนศึกจะต้องดำรงไว้ซึ่งมนุษยธรรมและความชอบธรรมในแต่ละการกระทำของตน โดยถือเอาความซื่อสัตย์และความยุติธรรมเป็นแบบอย่าง หากขาดการยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป นั่นไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง บัดนี้เล่าปี่โจมตีและยึดดินแดนของเล่าเจี้ยง ใช้กำลังเพื่อการใหญ่ของตนและหันหลังให้การความซื่อสัตย์และความเชื่อถือของผู้อื่น ละเมิดคุณธรรมและความชอบธรรมระหว่างกระบวนการ แม้ว่าด้วยทางเลือกนี้จะทำให้ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ต้องรู้สึกผิดต่อข้าศึกที่พ่ายแพ้อย่างมาก เหมือนหักมือเพื่อรักษาร่างกาย จะรู้สึกเป็นสุขได้อย่างไร บังทองเกรงว่าบทสนทนานี้จะรั่วไหลและเจ้านายตนจะรู้ตนว่าเป็นผู้ผิด บังทองจึงแก้ไขข้อผิดพลาดของเล่าปี่ต่อหน้าทุกคน และไม่ได้ใช้ท่าทีสุภาพอ่อนน้อมตามปกติในการแก้ไขข้อผิดพลาดของเจ้านายแต่ยังคงความซื่อสัตย์จงรักภักดี ผู้นำใดที่ทำผิดแต่แก้ไขได้จะมีผู้ติดตาม ผู้ใดมีผู้ติดตามจำนวนมาก ผู้นั้นก็สามารถบรรลุการใหญ่ได้ ผู้ใดยอมรับเหตุผลผู้นั้นสามารถบรรลุเป้าหมาย ด้วยคำพูดเดียวคุณธรรมสามประการก็กระจ่าง ความชอบธรรมติดตามไปร้อยชั่วอายุคน เหล่านี้สามารถใช้เป็นแบบอย่างได้ หากยึดติดความผิดพลาดเล็กน้อยและละทิ้งประโยชน์ใหญ่ รู้สึกผิดจากคำเกินจริง ถูกตัดขาดจากคำแนะนำสัตย์ซื่อ บุคคลเช่นนี้ที่จะสำเร็จการใหญ่ได้นั้นไม่เคยมีมาก่อน”[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 9]
เผย์ ซงจือเสริมว่า :
“แม้ว่าแผนการโจมตีเล่าเจี้ยงจะมาจากบังทอง แต่ก็เป็นการละเมิดคุณธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เดิมทีจึงเป็นหนทางแห่งการฉ้อโกง ในใจของบังทองจึงรู้สึกผิดและยับยั้งตนเองไม่ให้รู้สึกเป็นสุข ดังนั้นเมื่อบังทองได้ยินเล่าปี่พูดว่าตนรู้สึกรื่นเริง บังทองจึงแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่รู้ตัวและตอบเช่นนั้นออกไป เล่าปี่ดื่มสุรามากเกินไปในงานเลี้ยงและรู้สึกมีความสุขบนความโชคร้ายของคนอื่นจึงเปรียบตัวเองกับจิวบูอ๋องโดยไม่ละอายใจ นี่เป็นความผิดของเล่าปี่ไม่ใช่ความผิดของบังทอง คำพูดของบังทองว่าผิดกันทั้งคู่นั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ในคำวิจารณ์ของท่านสีนี้แม้ประเด็นหลักจะไม่ผิด แต่ความหมายโดยนัยของคำกล่าวเหล่านี้นั้นผิดเพี้ยนไป”[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 10]
เสียชีวิต
ภายหลังบังทองเข้าร่วมในศึกรบกับกองกำลังของเล่าเจี้ยงที่อำเภอลกเสีย (雒縣 ลั่วเซี่ยน; ปัจจุบันอยู่ทางเหนือของนครกว่างฮั่น มณฑลเสฉวน) บังทองเสียชีวิตหลังถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ลูกหลงในระหว่างการรบขณะอายุ 36 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) เล่าปี่เสียใจอย่างสุดซึ้งกับการเสียชีวิตของบังทองและจะร้องไห้ทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงบังทอง บังทองได้รับบรรดาศักดิ์ย้อนหลังระดับกวนไล่เหา (關內侯 กวานเน่ย์โหฺว) หลังเล่าปี่ขึ้นเป็นจักรพรรดิและสถาปนารัฐจ๊กก๊กในปี ค.ศ. 221[สามก๊กจี่ 15] ในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ค.ศ. 260 พระเจ้าเล่าเสี้ยนโอรสของพระเจ้าเล่าปี่ แต่งตั้งย้อนหลังให้บังทองเป็น "จิ้งโหว" (靖侯)[สามก๊กจี่ 16]
เล่าปี่ให้สร้างศาลและสุสานอุทิศแก่บังทองใกล้อำเภอลกเสีย ศาลและสุสานนี้ปัจจุบันตั้งอยู่เขตเมืองไป่หม่ากวัน (白馬關鎮) อำเภอหลัวเจียง มณฑลเสฉวน ในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ศาลและสุสานกลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ได้รับการคุ้มครองในระดับชาติ[3]
ถัง เกิงกล่าวถึงการเสียชีวิตของบังทอง
ในงานเขียนของถัง เกิง (唐庚) บัณฑิตในยุคราชวงศ์ซ่ง ที่ชื่อว่า "กรณีเบ็ดเตล็ดสามก๊ก" (三國雜事 ซานกั๋วจ๋าชื่อ) มีการเขียนแสดงความอาลัยต่อการเสียชีวิตของบังทองขณะอายุยังไม่มาก รำลึกว่าขณะที่จูกัดเหลียงและบังทองเป็นเพื่อนร่วมสำนัก จูกัดเหลียงเสียชีวิตขณะอายุค่อนข้างน้อยที่ 53 ปี ส่วนบังทองเสียชีวิตไปก่อนแล้วตั้งแต่ 20 ปีก่อน จากนั้นจึงให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าในปี ค.ศ. 219 เมื่อเล่าปี่ได้รับตำแหน่งเป็น "ฮันต๋งอ๋อง" นั้นยังเป็นปีเดียวกันกับที่กวนอูเสียชีวิต[e] ปีถัดมา ค.ศ. 220 ฮองตงและหวดเจ้งเสียชีวิต ปีถัดมาอีก ค.ศ. 221 เตียวหุยเสียชีวิต[f] ปีถัดมาอีก ค.ศ. 222 ม้าเฉียวและม้าเลี้ยงเสียชีวิต[g][4]
ก่อนที่รากฐานจะสมบูรณ์ ผู้กล้าก็หายไปทีละคนราวกับว่าพวกเขาถูกลักพาตัวไป ปีถัดมา ค.ศ. 223 เมื่อเล่าเสี้ยนขึ้นครองบัลลังก์ ในหมู่ผู้กล้าเหลือเพียงจูกัดเหลียงและจูล่งที่ยังอยู่ เจ็ดปีต่อมา ค.ศ. 229 จูล่งเสียชีวิต ส่วนจูกัดเหลียงชีวิตในอีก 5 ปีถัดมา ค.ศ. 234 ในเวลานี้ ผู้สร้างความสำเร็จในอดีต (勳舊 ซฺวินจิ้ว) ล้วนจากไปแล้ว[5]
หวดเจ้งเพิ่งจะอายุ 44 ปี ม้าเฉียว 46 ปี และม้าเลี้ยง 34 ปี เตียวหุยกล่าวกันว่าอายุน้อยกว่าทั้งเล่าปี่และกวนอู เนื่องจากกวนอูอายุมากกว่าเตียวหุยหลายปี น่าจะอายุราวห้าสิบปีขึ้นไปขณะเสียชีวิต ฮักจุ้นเสียชีวิตขณะอายุเพียง 39 ปี[6]
บุคคลที่โดดเด่นเหล่านี้ล้วนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแต่มีชีวิตที่สั้น ในขณะที่เจียวจิ๋ว[h] มีอายุมากว่าเจ็ดสิบปี ด้วยเหตุนี้เป็นที่กระจ่างว่าสวรรค์ไม่โปรดราชวงศ์ฮั่นอีกต่อไป[7]
ครอบครัวและทายาท
หลังการเสียชีวิตของบังทอง เล่าปี่ตั้งให้บิดาของบังทอง (ซึ่งไม่มีการบันทึกชื่อในประวัติศาสตร์) ให้เป็นขุนนางที่ปรึกษา (議郎 อี้หลาง) และภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาผู้เสนอคำค้าน (諫議大夫 เจี้ยนอี้ต้าฟู) จูกัดเหลียงปฏิบัติต่อบิดาของบังทองด้วยความเคารพอย่างสูง[สามก๊กจี่ 17]
บังทองมีน้องชายชื่อ ผาง หลิน (龐林) รับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยในที่ว่าการมณฑลเกงจิ๋ว (荊州治中從事 จิงโจฺวจื้อจงฉงชื่อ) เข้าร่วมในยุทธการที่อิเหลงในปี ค.ศ. 221–222 ร่วมกับขุนพลอุยก๋วนรับผิดชอบป้องกันฝั่งเหนือของแม่น้ำจากการโจมตีที่อาจจะมีโดยวุยก๊กรัฐศัตรูของจ๊กก๊ก หลังเล่าปี่พ่ายแพ้ต่อลกซุนขุนพลของซุนกวนในยุทธการที่อิเหลง ผาง หลินและอุยก๋วนถูกแยกโดดเดี่ยวจากทัพที่เหลือของเล่าปี่และไม่สามารถกลับจ๊กก๊กได้ จึงจำต้องนำกองกำลังของตนยอมสวามิภักดิ์ต่อวุยก๊ก ผาง หลินรับราชการเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉฺ่ว) ของเมืองกิลกกุ๋น (鉅鹿郡 จวี้ลู่จวิ้น) ในวุยก๊ก และได้รับบรรดาศักดิ์โหว[สามก๊กจี่ 18]
ภรรยาของผาง หลินเป็นน้องสาวของสี เจิน ในปี ค.ศ. 208 ภรรยาของผาง หลินถูกแยกจากผาง หลิน เมื่อขุนศึกโจโฉนำทัพรุกรานเกงจิ๋วและยึดซงหยง ก่อนจะกลับมาอยู่ร่วมกับผาง หลินอีกครั้งในปี ค.ศ. 222 เมื่อผาง หลินและอุยก๋วนเข้าด้วยวุยก๊กหลังยุทธการที่อิเหลง ในช่วงเวลา 14 ปีที่อยู่แยกกัน ภรรยาของผาง หลินยังค่อซื่อสัตย์ต่อสามีและเลี้ยงดูลูกสาวด้วยตนเอง จักรพรรดิวุยก๊กโจผียกย่องคุณธรรมของภรรยาผาง หลิน และพระราชทานของขวัญให้[อรรถาธิบายสามก๊กจี่ 11]
บังทองมีบุตรชายชื่อ ผาง หง (龐宏) ชื่อรอง จวี้ชื่อ (巨師) ผาง หงรับราชการในราชสำนักจ๊กก๊ก มีชื่อเสียงเรื่องความมัธยัสถ์และการพูดตรงไปตรงมา ผาง หงมีเรื่องขัดแย้งกับเฉิน ตี (陳袛) ขุนนางตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) เฉิน ตีวิพากย์วิจารณ์ผาง หง และขัดขวางผาง หงไม่ให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ผาง หงเสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉฺ่ว) ของเมืองฝูหลิง (涪陵郡 ฝูหลิงจวิ้น)[สามก๊กจี่ 19]
คำวิจารณ์
ตันซิ่ว (เฉิน โชฺ่ว) ผู้เขียนชีวประวัติบังทองในสามก๊กจี่ (ซานกั๋วจื้อ) วิจารณ์บังทองไว้ดังนี้: "บังทองเป็นผู้มีเสน่ห์และเก่งในการคบหากับผู้อื่น หมั่นศึกษาคัมภีร์ซึ่งทำให้เขาเชี่ยวชาญในการวางแผนการ ในช่วงเวลานั้นชาวมณฑลเกงจิ๋วและเอ๊กจิ๋วต่างเห็นว่าเขามีพรสวรรค์พิเศษ เมื่อเทียบกับขุนนางจากวุยก๊กแล้ว บังทองคล้ายคลึงกับซุนฮกและซุนฮิว ส่วนหวดเจ้งเทียบได้กับเทีย (หยก) และกุย (แก)[สามก๊กจี่ 20]
หยาง ซี่เขียนวิจารณ์บังทองไว้ดังนี้: "ที่ปรึกษาการทหารที่แสดงออกอย่างกระจ่างแจ้งทั้งความสง่าและคุณธรรม อุทิศชีวิตเพื่อถางเส้นทางให้เจ้านาย ในใจมีความภักดีและเสนอความคิดเห็นอยู่เสมอ แต่จากการกระทำอันชอบธรรมทั้งหมดนั้น กลับได้รับความตายสนองตอบคุณธรรม"[สามก๊กจี่ 21]
ในนิยายสามก๊ก
บังทองปรากฏในฐานะตัวละครในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เรื่องสามก๊ก ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ก่อนและระหว่างยุคสามก๊ก ในนิยาย บังทองมีบทบาทเป็นนักยุทธศาสตร์การทหารที่เก่งกาจเทียบเท่ากับจูกัดเหลียง สุมาเต๊กโชแนะนำบังทองและจูกัดเหลียงในฐานะผู้มีความสามารถในการช่วยเล่าปี่โดยพูดว่า "อันฮกหลง (มังกรหลับ) กับฮองซู (หงส์ดรุณ) สองคนนี้ถ้าได้มาเปนที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็อาจสามารถจะคิดอ่านปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้"[8][9]
ในตอนที่ 47[i] ก่อนยุทธการที่เซ็กเพ็ก เจียวก้านแนะนำบังทองให้โจโฉ บังทองเสนอ "กลห่วงโซ่" (連環計 เหลียนหฺวันจี้) ให้กับโจโฉ แผนนี้คือการเชื่อมโยงเรือรบของโจโฉเข้าด้วยกันด้วยโซ่เหล็กที่แข็งแรง เพื่อทำให้ลำเรือมั่นคงมากขึ้นเวลาแล่น รวมถึงลดการเมาเรือของทหารโจโฉเพราะเรือโคลงเคลง แผนนี้ทำให้โจโฉพ่ายแพ้ในยุทธนาวีเพราะไม่สามารถแยกเรือออกจากกันได้ทันกาลขณะถูกโจมตีด้วยไฟ เมื่อเรือลำหนึ่งถูกจุดไฟ เรือลำอื่น ๆ ที่เชื่องโยงกันก็จะไหม้ไฟเช่นกัน[11][10][12]
การเสียชีวิตของบังทองระหว่างการศึกระหว่างเล่าปี่และเล่าเจี้ยงถูกดัดแปลงเสริมแต่งอย่างมากในตอนที่ 63[j] ในช่วงเริ่มต้นของยุทธการที่อำเภอลกเสีย ก่อนที่เล่าปี่และบังทองจะแยกกองกำลังเข้าโจมตีแบบสองทาง ม้าของบังทองเกิดพยศและสะบัดบังทองตกจากหลัง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดูเป็นลางร้าย เล่าปี่จึงให้บังทองยืมม้ามีชื่อเสียงของตนที่ชื่อเต๊กเลา (的盧 ตี้หลู) แต่เต๊กเลานั้นเป็นม้าที่เชื่อกันว่านำโชคร้ายมาสู่ผู้ขี่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยช่วยชีวิตเล่าปี่มาก่อนก็ตาม เตียวหยิมขุนพลของเล่าเจี้ยงผู้วางแผนซุ่มโจมตีใกล้อำเภอลกเสียสังเกตเห็นม้าเต๊กเลาแล้วเข้าใจผิดว่าผู้ขี่คือเล่าปี่ จึงสั่งทหารเกาทัณฑ์ให้ยิงไปที่ผู้ขี่ม้าเต๊กเลา บังทองถูกเกาทัณฑ์หลายดอกยิงเสียบร่างและเสียชีวิตในที่นั้น สถานที่ที่บังทองเสียชีวิตเรียกว่า "ลกห้องโห" (落鳳坡 ลั่วเฟิ่งพัว) หรือ"เนินหงส์ร่วง"[14][13]
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
บังทองปรากฏเป็นตัวละครที่สามารถเล่นได้ในซีรีส์วิดีโอเกมของโคเอ ได้แก่ ไดนาสตีวอริเออส์, วอริเออส์โอโรจิ และ ไดนาสตีแทกติกส์
บังทองเป็นลูกศิษย์อัจฉริยะลำดับที่ 6 จากทั้งหมด 8 คนของอาจารย์คันฉ่องวารี (สุมาเต๊กโช) ในการ์ตูนจีน หงสาจอมราชันย์
หมายเหตุ
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
อ้างอิงจากสามก๊กจี่ (ซานกั๋วจื้อ)
- ↑ (為流矢所中,卒,時年三十六。) จดหมายเหตุวามก๊ก เล่มที่ 37.
- ↑ (...襄陽人也。少時樸鈍,未有識者。潁川司馬徽清雅有知人鑒,統弱冠往見徽,徽採桑於樹上,坐統在樹下,共語自晝至夜。徽甚異之,稱統當為南州士之冠冕,由是漸顯。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (性好人倫,勤於長養。每所稱述,多過其才,) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (時人怪而問之,統答曰:「當今天下大亂,雅道陵遲,善人少而惡人多。方欲興風俗,長道業,不美其譚即聲名不足慕企,不足慕企而為善者少矣。今拔十失五,猶得其半,而可以崇邁世教,使有志者自勵,不亦可乎?」) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (吳將周瑜助先主取荊州,因領南郡太守。瑜卒,統送喪至吳,吳人多聞其名。及當西還,並會昌門,陸勣、顧劭、全琮皆往。統曰:「陸子可謂駑馬有逸足之力,顧子可謂駑牛能負重致遠也。」) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (謂全琮曰:「卿好施慕名,有似汝南樊子昭。雖智力不多,亦一時之佳也。」) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (績、劭謂統曰:「使天下太平,當與卿共料四海之士。」深與統相結而還。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (先主領荊州,統以從事守耒陽令,在縣不治,免官。吳將魯肅遺先主書曰:「龐士元非百里才也,使處治中、別駕之任,始當展其驥足耳。」諸葛亮亦言之於先主,先主見與善譚,大器之,以為治中從事。親待亞於諸葛亮,遂與亮並為軍師中郎將。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (亮留鎮荊州。統隨從入蜀。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (益州牧劉璋與先主會涪,統進策曰:「今因此會,便可執之,則將軍無用兵之勞,而坐定一州也。」先主曰:「初入他國,恩信未著,此不可也。」璋旣還成都,先主當為璋北征漢中,...) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (璋既還成都,先主當為璋北征漢中,統復說曰:「陰選精兵,晝夜兼道,徑襲成都;璋既不武,又素無預備,大軍卒至,一舉便定,此上計也。楊懷、高沛,璋之名將,各仗彊兵,據守關頭,聞數有牋諫璋,使發遣將軍還荊州。將軍未至,遣與相聞,說荊州有急,欲還救之,並使裝束,外作歸形;此二子既服將軍英名,又喜將軍之去,計必乘輕騎來見,將軍因此執之,進取其兵,乃向成都,此中計也。退還白帝,連引荊州,徐還圖之,此下計也。若沈吟不去,將致大因,不可久矣。」) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (先主然其中計,即斬懷、沛,還向成都,所過輒克) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (先主然其中計,即斬懷、沛,還向成都,所過輒克。於涪大會,置酒作樂,謂統曰:「今日之會,可謂樂矣。」統曰:「伐人之國而以為歡,非仁者之兵也。」先主醉,怒曰:「武王伐紂,前歌後舞,非仁者邪?卿言不當,宜速起出!」於是統逡巡引退。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (先主尋悔,請還。統復故位,初不顧謝,飲食自若。先主謂曰:「向者之論,阿誰為失?」統對曰:「君臣俱失。」先主大笑,宴樂如初) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (進圍雒縣,統率衆攻城,為流矢所中,卒,時年三十六。先主痛惜,言則流涕。 ... 追賜統爵關內侯,謚曰靖侯。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ ([景耀]三年秋九月,追謚故將軍關羽、張飛、馬超、龐統、黃忠。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 33.
- ↑ (拜統父議郎,遷諫議大夫,諸葛亮親為之拜。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (統弟林,以荊州治中從事參鎮北將軍黃權征吳,值軍敗,隨權入魏,魏封列侯,至鉅鹿太守。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (統子宏,字巨師,剛簡有臧否,輕傲尚書令陳袛,為袛所抑,卒於涪陵太守。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (評曰:龐統雅好人流,經學思謀,于時荊﹑楚謂之高俊....儗之魏臣,統其荀彧之仲叔,正其程﹑郭之儔儷邪?) สามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (軍師美至,雅氣曄曄。致命明主,忠情發臆。惟此義宗,亡身報德。〈贊龐士元〉) สามก๊กจี่ เล่มที่ 45.
อ้างอิงจากอรรถาธิบายสามก๊กจี่ (ซานกั๋วจื้อจู้)
- ↑ (襄陽記曰:諸葛孔明為卧龍,龐士元為鳳雛,司馬德操為水鏡,皆龐德公語也。) อรรถาธิบายจากเซียยงหยางจี้ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (德公,襄陽人。孔明每至其家,獨拜床下,德公初不令止。德操嘗造德公,值其渡沔,上祀先人墓,德操徑入其室,呼德公妻子,使速作黍,「徐元直向云有客當來就我與龐公譚。」其妻子皆羅列拜於堂下,奔走供設。須臾,德公還,直入相就,不知何者是客也。德操年小德公十歲,兄事之,呼作龐公,故世人遂謂龐公是德公名,非也。) อรรถาธิบายจากเซียงหยางจี้ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (德公子山民,亦有令名,娶諸葛孔明小姊,為魏黃門吏部郎,早卒。子渙,字世文,晉太康中為牂牁太守。統,德公從子也,少未有識者,惟德公重之,年十八,使往見德操。德操與語,既而歎曰:「德公誠知人,此實盛德也。」) อรรถาธิบายจากเซียยงหยางจี้ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (張勃吳錄曰:或問統曰:「如所目,陸子為勝乎?」統曰:「駑馬雖精,所致一人耳。駑牛一日行三百里,所致豈一人之重哉!」劭就統宿,語,因問:「卿名知人,吾與卿孰愈?」統曰:「陶冶世俗,甄綜人物,吾不及卿;論帝王之秘策,攬倚伏之要最,吾似有一日之長。」劭安其言而親之。) อรรถาธิบายจากอู๋ลู่ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (江表傳曰:先主與統從容宴語,問曰:「卿為周公瑾功曹,孤到吳,聞此人密有白事,勸仲謀相留,有之乎?在君為君,卿其無隱。」統對曰:「有之。」備歎息曰:「孤時危急,當有所求,故不得不往,殆不免周瑜之手!天下智謀之士,所見略同耳。時孔明諫孤莫行,其意獨篤,亦慮此也。孤以仲謀所防在北,當賴孤為援,故決意不疑。此誠出於險塗,非萬全之計也。」) อรรถาธิบายจากเจียงเปี่ยวจวั้น ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (九州春秋曰:統說備曰:「荊州荒殘,人物殫盡,東有吳孫,北有曹氏,鼎足之計,難以得志。今益州國富民彊,戶口百萬,四部兵馬,所出必具,寶貨無求於外,今可權借以定大事。」) อรรถาธิบายจากจิ่วโจวชุนชิว ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (備曰:「今指與吾為水火者,曹操也,操以急,吾以寬;操以暴,吾以仁;操以譎,吾以忠;每與操反,事乃可成耳。今以小故而失信義於天下者,吾所不取也。」) อรรถาธิบายจากจิ่วโจวชุนชิว ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (統曰:「權變之時,固非一道所能定也。兼弱攻昧,五伯之事。逆取順守,報之以義,事定之後,封以大國,何負於信?今日不取,終為人利耳。」備遂行。) อรรถาธิบายจากจิ่วโจวชุนชิว ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (習鑿齒曰:夫霸王者,必體仁義以為本,仗信順以為宗,一物不具,則其道乖矣。今劉備襲奪璋土,權以濟業,負信違情,德義俱愆,雖功由是隆,宜大傷其敗,譬斷手全軀,何樂之有?龐統懼斯言之泄宣,知其君之必悟,故眾中匡其失,而不脩常謙之道,矯然太當,盡其蹇諤之風。夫上失而能正,是有臣也,納勝而無執,是從理也;有臣則陛隆堂高,從理則群策畢舉;一言而三善兼明,暫諫而義彰百代,可謂達乎大體矣。若惜其小失而廢其大益,矜此過言,自絕遠讜,能成業濟務者,未之有也。) อรรถาธิบายของสี จั้วฉื่อในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (臣松之以為謀襲劉璋,計雖出於統,然違義成功,本由詭道,心既內疚,則歡情自戢,故聞備稱樂之言,不覺率爾而對也。備宴酣失時,事同樂禍,自比武王,曾無愧色,此備有非而統無失,其云「君臣俱失」,蓋分謗之言耳。習氏所論,雖大旨無乖,然推演之辭,近為流宕也。) อรรถาธิบายของเผย์ ซงจือในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
- ↑ (襄陽記云:[龐]林婦,同郡習禎姉。禎事在楊戲輔臣贊。曹公之破荊州,林婦與林分隔,守養弱女十有餘年,後林隨黃權降魏,始復集聚。魏文帝聞而賢之,賜牀帳衣服,以顯其義節。) อรรถาธิบายจากเซียงหยางจี้ในสามก๊กจี่ เล่มที่ 37.
รายการอ้างอิงอื่น ๆ
- ↑ 昭化古城001 [Zhaohua Gucheng 001] (4 June 2014). "庞统祠墓 [Pang Tong Shrine and Tomb]". zhjmg.com (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ 1 January 2015.
- ↑ (龐德公以孔明為臥龍,以士元為鳳雛,則士元之齒當少於孔明。孔明卒時年五十四,而士元先卒二十有二年,則士元物故,尚未三十也,豈不惜哉!建安二十四年,先主始王漢中,是歲關羽卒,明年黃忠、法正卒,又明年張飛卒,又明年馬超、馬良卒。) กรณีเบ็ดเตล็ดสามก๊ก
- ↑ (基業未就,而一時功臣相繼淪謝,如有物奪之者。明年,後主踐祚,而舊人獨有孔明、趙雲。後七年,雲卒,又五年,孔明卒,而勳舊於是乎盡。) กรณีเบ็ดเตล็ดสามก๊ก
- ↑ (正卒時四十五,超四十七,良三十五,自餘不著其年。飛傳稱少與羽俱事先主,羽年長數歲,飛兄事之,則飛卒年才五十許。霍峻年四十。) กรณีเบ็ดเตล็ดสามก๊ก
- ↑ (此數傑者,皆以高才早世,而譙周至七十餘而終,天不祚漢,明矣。) กรณีเบ็ดเตล็ดสามก๊ก
- ↑ สามก๊ก (ซานกั๋วเหยี่ยนอี้) ตอนที่ 35.
- ↑ "สามก๊ก ตอนที่ ๓๒". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ May 27, 2023.
- ↑ 10.0 10.1 "สามก๊ก ตอนที่ ๔๑". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ May 27, 2023.
- ↑ สามก๊ก (ซานกั๋วเหยี่ยนอี้) ตอนที่ 47-50.
- ↑ "สามก๊ก ตอนที่ ๔๒". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ May 27, 2023.
- ↑ 13.0 13.1 "สามก๊ก ตอนที่ ๕๑". วัชรญาณ. สืบค้นเมื่อ May 27, 2023.
- ↑ สามก๊ก (ซานกั๋วเหยี่ยนอี้) ตอนที่ 63.
บรรณานุกรม
|
---|
จักรพรรดิ | |
---|
พระมเหสีและพระสนม | |
---|
ผู้สำเร็จราชการ | |
---|
ขุนศึก | |
---|
ขุนนางฝ่ายพลเรือน | |
---|
ขุนนางฝ่ายทหาร | |
---|
สตรีสำคัญ | |
---|
บุคคลสำคัญอื่น ๆ | |
---|