น้ำพุเตรวี
น้ำพุเตรวียามค่ำ
น้ำพุเตรวี (อิตาลี : Fontana di Trevi ) เป็นน้ำพุที่ตั้งอยู่ที่เขตเตรวี ในกรุงโรม ในประเทศอิตาลี เป็นน้ำพุที่มีความสูง 25.9 เมตร (85 ฟุต) และกว้าง 19.8 เมตร (65 ฟุต) และน้ำพุแบบบาโรก ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม
ประวัติก่อน ค.ศ. 1629 ของสะพานส่งน้ำและที่ตั้งของน้ำพุ
น้ำพุเตรวีตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง (tre vie )[ 1] ที่เป็นจุดจบ[ 2] ของสะพานส่งน้ำแวร์จิเน (Acqua Vergine) “สมัยใหม่”, สะพานส่งน้ำเวอร์โก (Aqua Virgo) และสะพานส่งน้ำของโรมันโบราณ ในปี 19 ก่อนคริสต์ศักราชมีตำนานที่ว่าเจ้าหน้าที่โรมันพบแหล่งน้ำสะอาดราว 13 กิโลเมตรจากตัวเมืองด้วยความช่วยเหลือของสาวพรหมจารี (ภาพนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าของน้ำพุปัจจุบัน) แต่เมื่อสร้างสะพานส่งน้ำขึ้นสะพานก็ยาวถึง 22 กิโลเมตร สะพานส่งน้ำ “สะพานส่งน้ำเวอร์โก” นี้ส่งน้ำมายังโรงอาบน้ำของมาร์คัส วิพซานิอัส อกริพพา และใช้เป็นสะพานส่งน้ำสำหรับเมืองโรมเป็นเวลากว่าสี่ร้อยปี[ 3] การเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวเมืองโรมเกิดขึ้นเมื่อชนกอธที่ล้อมกรุงโรม ระหว่างปี ค.ศ. 537 ถึงปี ค.ศ. 538 ทำลายสะพานส่งน้ำ โรมันยุคกลางจึงต้องหันมาใช้น้ำจากบ่อและจากแม่น้ำไทเบอร์ ซึ่งใช้เป็นท่อระบายน้ำโสโครกไปด้วย
ประเพณีโรมันคือการสร้างน้ำพุอันสง่างามตรงปลายสุดของสะพานส่งน้ำมารื้อฟื้นกันอีกครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ในปี ค.ศ. 1453 สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 ก็ทรงซ่อมสะพานส่งน้ำแวร์จิเน เสร็จและทรงสร้างอ่างน้ำพุง่ายๆ ที่ออกแบบโดยสถาปนิกมนุษย์นิยมลีออน บาตติสตา อัลเบอร์ติ เพื่อเป็นการฉลองน้ำที่มาถึง[ 4]
น้ำพุปัจจุบัน
การว่าจ้าง, การก่อสร้าง และ การออกแบบ
“น้ำพุเตรวี” จากด้านซ้าย
ในปี ค.ศ. 1629 สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8 ก็ทรงพบว่าน้ำพุเดิมไม่ใหญ่โตพอ พระองค์จึงทรงให้จานโลเรนโซ แบร์นินี ออกแบบน้ำพุใหม่ แต่เมื่อเออร์บันสิ้นพระชนม์โครงการก็ระงับไป สิ่งที่แบร์นินีทำคือย้ายที่ตั้งของน้ำพุไปทางอีกด้านหนึ่งของจตุรัสให้หันไปทางวังคิรินาล (Quirinal Palace) แม้ว่าโครงการของแบร์นินีจะเป็นการรื้อทิ้งสำหรับน้ำพุซาลวิ แต่ก็ยังมีร่องรอยของแบร์นินีในน้ำพุที่สร้างใหม่ ร่างที่ออกแบบโดยเปียโตร ดา คอร์โทนา ก็ยังคงรักษาไว้ที่อัลแบร์ตินา ในเวียนนาและอีกหลายแบบที่เขียนกันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่ไม่ได้ลงชื่อ และโครงการที่เชื่อกันว่าเป็นของนิโคลา มิเคตติ[ 5] อีกแบบหนึ่งเชื่อว่าออกโดยเฟอร์ดินานโด ฟูกา [ 6] and a French design by Edme Bouchardon .[ 7]
ระหว่างสมัยบาโรก ก็มีการแข่งขันออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ กันขนานใหญ่ที่รวมทั้งน้ำพุและแม้แต่บันไดสเปน ในปี ค.ศ.1730 สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 12 ก็ทรงจัดการแข่งขันออกแบบที่นิโคลา ซาลวิ เดิมแพ้แก่อเลสซานโดร กาลิเลอิ — แต่ประชาชนโรมก็ประท้วงเพราะกาลิเลอิเป็นชาวฟลอเรนซ ซาลวิจึงกลับมาได้รับสัญญาจ้างแทนที่[ 8] การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1732 และเสร็จในปี ค.ศ. 1762 นานหลังจากพระสันตะปาปาคลีเมนต์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เมื่อประติมากรรมโอเชียนัส (เทพเจ้าแห่งน้ำ) โดยปิเอโตร บรัคชิ (Pietro Bracci) ได้รับการติดตั้งในช่องกลางน้ำพุ
ซาลวิเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1751 เมื่อน้ำพุสร้างไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตซาลวิก็จงใจที่จะซ่อนป้ายช่างตัดผมที่ไม่ต้องตาโดยการซ่อนอยู่ข้างหลังแจกันใหญ่ที่เรียกว่า “asso di coppe”
น้ำพุเตรวีสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1762 โดยโจวานนิ เปาโล ปานนินิ (Giovanni Paolo Pannini) ผู้สร้าง “ทริเวีย” สาวพรหมจารีแทนที่อุปมานิทัศน์ของอกริพพาที่วางไว้แต่เดิม
การบูรณปฏิสังขรณ์
น้ำพุเตรวีได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในปี ค.ศ. 1998 โดยการทำความสะอาดงานหินและสร้างระบบปั๊มน้ำใหม่
ในแต่ละวัน มีผู้โยนเหรียญลงไปในน้ำพุเตรวีราว 3,000 ยูโร โดยการยืนหันหลังแล้วโยนเหรียญข้ามศีรษะตนเองลงไป ซึ่งเงินจำนวนนี้นำไปใช้ในการบำรุงซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับผู้ยากจนในกรุงโรม แต่ก็ยังมีผู้พยายามขโมยเงินในอ่างน้ำพุอยู่เสมอ[ 9] การโยนเหรียญลงในน้ำพุนี้เป็นความเชื่อตั้งแต่ยุคโรมันโบราณที่ว่าหากใครทำเช่นนี้แล้วจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีก[ 10]
ในกลางปี ค.ศ. 2014 ได้มีการบูรณะน้ำพุเตรวีอีกครั้ง โดยเป็นการระดมเงินบริจาคเพื่อการนี้จากบริษัทเอกชนและบุคคลทั่วไป เนื่องจากทางการไม่มีงบประมาณเพียงพอ กำหนดเสร็จในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2015[ 10]
อ้างอิง
↑ Though other etymologies have been suggested, this is the straightforward modern etymology adopted by Pinto 1986 and others.
↑ The technical Italian term for such a "terminal fountain" is a mostra ("display"): Peter J. Aicher, "Terminal Display Fountains ("Mostre") and the Aqueducts of Ancient Rome" Phoenix 47 .4 (Winter 1993:339-352).
↑ Pintochs. I and II.
↑ Hanns Gross, Rome in the Age of Enlightenment: the Post-Tridentine syndrome and the ancien régime. (Cambridge University Press) 1990:28.
↑ John A. Pinto, "An Early Project by Nicola Michetti for the Trevi Fountain" The Burlington Magazine 119 No. 897 (December 1977:853-857).
↑ Pinto, John (December 1983). "An Early Project by Ferdinando Fuga for the Trevi Fountain in Rome". The Burlington Magazine . 125 : 746–749, 751.
↑ Pinto 1986. Bouchardon's drawing is conserved in the Musée Vivènal, Compiègne.
↑ Gross, Hanns (1990). Rome in the Age of Enlightenment: the Post-Tridentine syndrome and the ancien regime . New York: Cambridge University Press. pp. 28 . ISBN 0521372119 .
↑ http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/6188052.stm BBC News. Trevi coins to fund food for poor.
↑ 10.0 10.1 "ทันโลก" . ไทยพีบีเอส. 30 August 2014. สืบค้นเมื่อ 3 September 2014 .[ลิงก์เสีย ]
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ น้ำพุเตรวี
คริสต์ศาสนสถานและอื่น ๆ สวน อุทยาน และธรรมชาติ เทวสถานโบราณ อนุสาวรีย์ และสนามกีฬา สะพานส่งน้ำ จัตุรัส น้ำพุ หอ และกำแพง ประติมากรรม เนินเจ็ดยอด