ภาพ MRI ของศีรษะ แสดงภาพตั้งแต่ยอดจนถึงฐานของกะโหลก
ภาพตามระนาบแบ่งซ้ายขวาของศีรษะคนไข้ที่มีหัวโตเกิน (macrocephaly) แบบไม่ร้ายที่สืบต่อในครอบครัว
การสร้างภาพประสาท หรือ การสร้างภาพสมอง (อังกฤษ : Neuroimaging, brain imaging ) เป็นการสร้างภาพทางการแพทย์ ชนิดหนึ่ง คือการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมของโครงสร้าง หน้าที่ หรือการทำงานทางเภสัชวิทยา ของระบบประสาท
เป็นศาสตร์ใหม่ที่ใช้ในการแพทย์ ประสาทวิทยา และจิตวิทยา [ 1]
แพทย์ที่ชำนาญเฉพาะในการสร้างและตีความภาพสมองในสถานพยาบาลเรียกตามภาษาอังกฤษว่า neuroradiologist (ประสาทรังสีแพทย์)
การสร้างภาพวิธีต่าง ๆ ตกอยู่ในหมวดกว้าง ๆ 2 หมวดคือ
ส่วนการใช้ศาสตร์นี้โดยสร้างความขัดแย้งมากที่สุดก็คืองานวิจัยในการกำหนดความคิดหรืออ่านใจคน
ประวัติ
ประวัติสร้างภาพสมองบทแรกสุดเริ่มที่นักประสาทวิทยาชาวอิตาลี ศ. แอนเจโล มอสโซ ผู้ประดิษฐ์ "ความสมดุลของการไหลเวียนในมนุษย์" (human circulation balance) ซึ่งสามารถวัดการปรับกระจายของเลือด เมื่อเกิดอารมณ์ หรือเมื่อกำลังคิด [ 2]
แม้ว่า นักจิตวิทยา ทรงอิทธิพลชาวอเมริกัน นพ. วิลเลียม เจมส์ จะกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์นี้อย่างสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2433 รายละเอียดเกี่ยวกับความสมดุลที่ว่าและการทดลองที่ ศ. มอสโซได้ทำ เป็นเรื่องไม่ปรากฏจนกระทั่งได้ค้นพบเครื่องมือดั้งเดิมและรายงานของ ศ. มอสโซเองในปี พ.ศ. 2556[ 3]
ในปี 2461 ประสาทศัลยแพทย์ ชาวอเมริกันวอลเตอร์ แดนดี้ ประดิษฐ์เทคนิคการถ่ายภาพรังสีโพรงสมอง (ventriculography)
การสร้างภาพระบบโพรงสมอง ด้วยเอกซ์เรย์ ทำได้โดยฉีดอากาศกรองโดยตรงเข้าไปในโพรงสมองข้าง (lateral ventricle) โพรงหนึ่งหรือทั้งสองโพรง
นพ. แดนดี้ได้สังเกตว่า อากาศที่ใส่เข้าในช่องใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (subarachnoid) ผ่านการเจาะไขสันหลังที่เอวสามารถเข้าไปในโพรงสมอง และสามารถแสดงช่องน้ำในท่อสมองไขสันหลัง (cerebrospinal fluid compartment) ที่อยู่ใกล้ ๆ ฐานและผิวสมอง
เทคนิคนี้ต่อมาเรียกว่า การถ่ายภาพรังสีโพรงสมองหลังฉีดอากาศ (pneumoencephalography)
ต่อมาในปี 2470 ศาสตราจารย์ประสาทวิทยาชาวโปรตุเกส ได้ประดิษฐ์การบันทึกภาพรังสีหลอดเลือดหรือหลอดน้ำเหลืองในสมอง (cerebral angiography) ที่หลอดเลือดทั้งปกติและไม่ปกติในสมองและรอบ ๆ สมองสามารถมองเห็นได้อย่างแม่นยำ
ต่อมาในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 นักฟิสิกส์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาใต้และวิศวกรไฟฟ้า ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ (CT scan หรือ CAT) จึงสามารถสร้างภาพกายวิภาค ของสมองเพื่อการวินิจฉัยทางการแพทย์ และเพื่องานวิจัย
นักประดิษฐ์คู่นี่ต่อมาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ปี 2522 เพราะงานนี้
หลังจากการเริ่มใช้ CAT ไม่นานในต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 การพัฒนาลิแกนด์ กัมมันตรังสี (radioligand) ทำให้สามารถสร้างภาพสมองโดยเทคนิค single photon emission computed tomography (SPECT) และการถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอน (PET)
และในช่วงเวลาเดียวกัน นักเคมี ชาวอเมริกันและนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษก็ได้พัฒนาการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) แล้วจึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ปี 2546
ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 MRI ก็เริ่มใช้เพื่อการรักษา และในช่วงทศวรรษนี้ การเพิ่มเทคนิคสร้างภาพอย่างละเอียดและการวินิจฉัยทางการแพทย์จำนวนมากที่ใช้ MRI ก็ได้ประทุขึ้น
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ รู้ว่า การเปลี่ยนการไหลเวียนของเลือดในระดับสูงที่วัดโดยใช้ PET สามารถสร้างภาพได้โดยใช้ MRI เทคนิคการสร้างภาพโดยกิจด้วยเรโซแนนท์แม่เหล็ก (fMRI) ก็เกิดขึ้น
และตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 fMRI ได้กลายมาเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างแผนที่ในสมอง เพราะไม่ต้องอาศัยการเจาะการผ่า ไม่ใช้การแผ่รังสี และมีใช้ค่อนข้างแพร่หลาย
ในต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 เทคโนโลยีได้ถึงระดับที่สามารถประยุกต์ใช้การสร้างภาพสมองโดยกิจ (functional brain imaging) ในชีวิตประจำวันในระดับจำกัด
โดยการประยุกต์ใช้หลักก็คือส่วนต่อประสานระหว่างสมอง -คอมพิวเตอร์ (brain-computer interface) ในรูปแบบหยาบ ๆ
ข้อบ่งชี้
ถ้าแพทย์พบเหตุที่ควรจะตรวจคนไข้มากขึ้นว่ามีความผิดปกติทางประสาทหรือไม่ ก็อาจจะสั่งให้สร้างภาพสมอง
ความผิดปกติสามัญอย่างหนึ่งก็คือ คนไข้หมดสติชั่วคราว (syncope)[ 4] [ 5]
ในกรณีที่หมดสติโดยไม่มีประวัติที่แสดงว่าอาจมีอาการทางประสาท วิธีวินิจฉัยก็คือตรวจประสาท (neurological examination) แต่การสร้างภาพยังไม่จำเป็นเพราะว่าโอกาสพบเหตุในระบบประสาทกลาง น้อยมากและคนไข้ไม่น่าจะได้ประโยชน์จากเทคนิค[ 5]
การสร้างภาพสมองไม่จำเป็นสำหรับคนไข้ที่ปวดหัวแบบเสถียร ซึ่งจะวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน [ 6]
เพราะว่า งานวิจัยแสดงว่า การมีไมเกรนไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคในกะโหลกศีรษะ [ 6]
ดังนั้น การวินิจฉัยไมเกรนที่ไม่มีปัญหาอย่างอื่น ๆ เช่น จานประสาทตาบวม (papilledema) ไม่บ่งชี้ว่าควรสร้างภาพสมอง[ 6]
เมื่อตรวจคนไข้อย่างละเอียดและระมัดระวัง แพทย์จะพิจารณาว่าการปวดหัวอาจมีเหตุนอกจากไมเกรน ซึ่งควรจะต้องสร้างภาพสมองหรือไม่[ 6]
ข้อบ่งชี้ในการสร้างภาพสมองอีกอย่างก็คือศัลยกรรม แบบ stereotactic หรือรังสีศัลยกรรม (radiosurgery) โดยใช้ภาพ CT, MRI หรือ PET เพื่อรักษาเนื้องอกในกะโหลกศีรษะ, รูปผิดปกติของหลอดเลือดแดงและดำ (arteriovenous malformation) และโรคอื่น ๆ ที่สามารถผ่าตัดได้[ 7] [ 8] [ 9] [ 10]
เครื่อง CT Scan (หรือที่เรียกเป็นภาษาพูดว่า เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์) ในปัจจุบัน
เทคนิคการสร้างภาพสมอง
Computed axial tomography (CT Scan)
เทคนิคที่เรียกว่าการถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ (Computed tomography ตัวย่อ CT) หรือ Computed Axial Tomography (CAT) ใช้ชุดภาพเอกซ์เรย์ของศีรษะที่ถ่ายจากมุมต่าง ๆ
ปกติใช้เพื่อดูความบาดเจ็บในสมองอย่างเร็ว ๆ CT ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณเลขโดยปริพันธ์ (คือ inverse Radon transform) ของข้อมูลที่ได้ทางเอกซ์เรย์เพื่อประมาณว่า ปริมาตร เล็ก ๆ ในสมองดูดซึมแสงเอกซ์เรย์แค่ไหน
แล้วก็จะแสดงข้อมูลเป็นชุดภาพตัดขวางของสมอง[ 11]
แถวลำดับเส้นใยนำแสง ใช้เพื่อตรวจจับมะเร็งเต้านม โดยเทคนิค Diffuse optical imaging (DOI)
Diffuse optical imaging (DOI)
Diffuse optical imaging (DOI) หรือ diffuse optical tomography (DOT) เป็นการสร้างภาพทางการแพทย์โดยใช้รังสีใกล้อินฟราเรด เพื่อสร้างภาพของร่างกาย
เทคนิคนี้วัดการดูดซึมแสงของโปรตีนเฮโมโกลบิน และอาศัยการดูดซึมแสงที่ต่างโดยสถานะของการเติมออกซิเจน (oxygenation) ในโปรตีน
ส่วนการสร้างภาพแบบ High-density diffuse optical tomography (HD-DOT) ยังมีปัญหาเพราะความคมชัดที่จำกัด
แม้ว่าดูจะมีอนาคตดีในขั้นเบื้องต้น แต่ว่าการเปรียบและการแสดงความสมเหตุสมผล เทียบกับ fMRI แบบมาตรฐานยังไม่ค่อยมี
แต่ถ้าใช้ได้ HD-DOT จะมีคุณภาพที่ใช้แทนภาพ fMRI ได้[ 12]
Event-related optical signal (EROS) เป็นเทคนิคสร้างภาพสมองซึ่งใช้รังสีอินฟราเรด ผ่านเส้นใยนำแสงเพื่อวัดความเปลี่ยนแปลงทางคุณลักษณะแสงของเปลือกสมอง ที่กำลังทำงานอยู่
เทียบกับเทคนิคเช่น diffuse optical imaging (DOT) และ near infrared spectroscopy (NIRS) ที่วัดการดูดซึมแสงของเฮโมโกลบิน และดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการไหลเวียนของเลือด EROS ใช้การกระเจิง แสงของเซลล์ประสาท โดยตรง และดังนั้น จึงวัดการทำงานของเซลล์ได้โดยตรงกว่า
EROS สามารถหาตำแหน่งการทำงานในสมองได้ในระดับมิลลิเมตร (โดยพื้นที่) และในระดับมิลลิวินาที (โดยเวลา)
ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดก็คือมันไม่สามารถตรวจจับการทำงานที่ลึกเกินกว่า 2-3 ซม.
EROS เป็นเทคนิคใหม่ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างน้อย ไม่ต้องผ่าไม่ต้องเจาะสัตว์หรือมนุษย์ที่เป็นตัวทดลอง
และพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์
ภาพสมอง MRI ตามระนาบแบ่งซ้ายขวา (Sagittal) แบ่งที่เส้นกลาง (midline)
Magnetic resonance imaging (MRI)
การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) ใช้สนามแม่เหล็ก และคลื่นวิทยุ เพื่อสร้างภาพสองหรือสามมิติมีคุณภาพสูงของโครงสร้างทางสมองโดยไม่ต้องใช้รังสีที่เป็นไอออน เช่น เอกซ์เรย์ และไม่ต้องใช้สารกัมมันตรังสีตามรอย (radioactive tracer)
Functional magnetic resonance imaging (fMRI)
ส่วนการสร้างภาพโดยกิจด้วยเรโซแนนท์แม่เหล็ก (fMRI) และเทคนิค arterial spin labeling (ASL) อาศัยคุณสมบัติพาราแมกเนติกของเฮโมโกลบิน ที่เติมออกซิเจนหรือขาดออกซิเจนเพื่อแสดงความเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือดในสมองที่สัมพันธ์กับการทำงานของระบบประสาท
ทำให้สามารถสร้างภาพแสดงว่า โครงสร้างทางสมองไหนกำลังทำงานแค่ไหนเมื่อผู้รับการสแกนทำงานต่าง ๆ หรืออยู่เฉย ๆ
ตามสมมติฐานการเติมออกซิเจน (oxygenation hypothesis) ความเปลี่ยนแปลงของการใช้ออกซิเจน ในเลือด ของบริเวณสมอง ในช่วงที่มีกิจกรรมทางการรู้คิด หรือพฤติกรรม อาจสัมพันธ์กับเซลล์ประสาท ในเขตที่สัมพันธ์โดยตรงกับงานที่กำลังทำอยู่
เครื่อง fMRI โดยมากมีที่ให้แสดงภาพ เสียง และความรู้สึกสัมผัสต่าง ๆ แก่คนที่อยู่ในเครื่อง แล้วให้ทำการตอบสนองเช่นกดปุ่มหรือขยับก้านควบคุม
และดังนั้น fMRI จึงสามารถใช้แสดงโครงสร้างและกระบวนการทางสมองที่สัมพันธ์กับการรับรู้ ความคิด และการกระทำ
ความคมชัดของ fMRI อยู่ที่ 2-3 มม. ในปัจจุบัน จำกัดโดยการกระจายพื้นที่ของการตอบสนองทางเลือดเมื่อระบบประสาททำงาน
เป็นเทคนิคที่ใช้แทน PET โดยมากเพื่อศึกษารูปแบบการทำงานของสมอง
แต่ว่า PET ก็ยังพิเศษเพราะสามารถระบุตัวรับ (receptor) โดยเฉพาะของสมอง (หรือแม้แต่โปรตีนขนส่งโมโนอะมีน) ที่สัมพันธ์กับสารสื่อประสาท โดยเฉพาะ เพราะสามารถสร้างภาพลิแกนด์ ติดป้ายกัมมันตรังสีสำหรับตัวรับ โดยลิแกนด์ของตัวรับก็คือสารเคมี อะไรก็ได้ที่เข้ายึดกับตัวรับ
นอกจากจะใช้ในงานวิจัยในคนปกติ fMRI ยังเริ่มใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อวินิจฉัย โรค
เพราะว่า fMRI ไวเป็นพิเศษต่อการใช้ออกซิเจนในเลือด จึงไวต่อความเปลี่ยนแปลงของสมองระยะต้น ๆ ที่เป็นผลจากการขาดเลือดเฉพาะที่ (ischemia) เช่นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามโรคหลอดเลือดสมอง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองบางชนิดได้เร็วสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าสารละลายลิ่มเลือดต้องใช้ภายใน 2-3 ชม. แรกหลังจากโรคบางชนิดได้เกิดขึ้น เพราะอันตรายถ้าใช้หลังจากนั้น
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นในภาพ fMRI สามารถช่วยตัดสินใจว่า ควรจะรักษาด้วยสารเหล่านั้นหรือไม่
โดยมีความแม่นยำในอัตรา 72-90% เทียบกับสุ่มทำที่จะแม่นยำเพียงแค่ 0.8%[ 13]
เทคนิค fMRI ยังสามารถบอกได้ว่าผู้รับสแกนกำลังดูรูปอะไรในบรรดารูปจำกัดที่มีข้อมูลอยู่แล้ว[ 14]
Magnetoencephalography (MEG)
Magnetoencephalography (MEG)
Magnetoencephalography (MEG) เป็นเทคนิคการสร้างภาพที่วัดสนามแม่เหล็ก ที่เกิดจากการทำงานทางไฟฟ้าของสมอง ผ่านอุปกรณ์วัดที่ไวมากเช่น superconducting quantum interference device (SQUID)
MEG ช่วยให้สามารถวัดการทำงานทางไฟฟ้าของเซลล์ประสาทโดยตรง (เทียบกับ fMRI ซึ่งวัดออกซิเจน ในเลือด ) โดยมีความคมชัดทางกาลเวลาที่สูงมาก แต่มีความคมชัดทางพื้นที่ค่อนข้างต่ำ
ข้อดีของการวัดสนามแม่เหล็กที่เกิดจาการทำงานของเซลล์ประสาทก็คือสัญญาณมักจะบิดเบือนโดยเนื้อเยื่อรอบ ๆ (โดยเฉพาะกะโหลก และหนังศีรษะ) น้อยกว่า เทียบกับการวัดสนามไฟฟ้าที่วัดโดยการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)
โดยเฉพาะก็คือ แสดงได้ว่าสนามแม่เหล็กที่เกิดจากการทำงานทางไฟฟ้าไม่ได้รับผลจากเนื้อเยื่อรอบ ๆ ศีรษะ ถ้าสร้างแบบจำลองของศีรษะว่าเป็นเซต ของลูกบอลกลม ๆ เซตหนึ่ง โดยแต่ละลูกเป็นตัวนำไฟแบบเท่ากันทุกทิศทาง (isotropic homogeneous conductor)
แต่ว่า ศีรษะไม่ใช่รูปวงกลมจริง ๆ และมีการนำไฟแบบไม่เท่ากัน (แอนไอโซทรอปิก ) โดยมาก โดยเฉพาะเนื้อขาว และกะโหลก
แม้ว่า การนำไฟแบบแอนไอโซทรอปิกของกะโหลกจะมีผลที่มองข้ามได้สำหรับ MEG (ซึ่งไม่เหมือน EEG) การนำไฟแบบแอนไอโซทรอปิกของเนื้อขาวมีผลต่อการใช้ MEG วัดจุดที่อยู่ลึก[ 15]
แต่ว่า ให้สังเกตว่างานศึกษานี้สมมุติว่า กะโหลกเป็นตัวนำแบบแอนไอโซทรอปิกอย่างเท่ากันทุก ๆ ที่ ซึ่งไม่เป็นจริง คือ ทั้งความหนาสัมบูรณ์และความหนาสัมพัทธ์ของชั้น diploë และกระดูกเนื้อแน่น ต่าง ๆ กันทั้งภายในกระดูกะโหลกชิ้นเดียวกันและต่าง ๆ กัน
ซึ่งทำให้ความเป็นแอนไอโซทรอปีของกะโหลกน่าจะมีผลต่อ MEG[ 16]
แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ในระดับเดียวกันต่อ EEG
MEG มีประโยชน์หลายอย่าง รวมทั้งช่วยศัลยแพทย์ ในการระบุจุดของโรค ช่วยนักวิจัย กำหนดหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ในสมอง ให้ข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับสมองเพื่อฝึกสมอง และอื่น ๆ
ผังแสดงกระบวนการสร้างภาพสมองด้วย Positron emission tomography (PET)
Positron emission tomography (PET)
การถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอน (PET) วัดการปล่อยรังสีจากสารเคมีออกฤทธิ์ในช่วงเมแทบอลิซึม ซึ่งเป็นสารที่ได้ป้ายกัมมันตรังสี แล้วฉีดเข้าไปในเลือด
คอมพิวเตอร์จะประมวลข้อมูลการปล่อยรังสี แล้วสร้างภาพสองหรือสามมิติแสดงการกระจายสารเคมีทั่วสมอง[ 17]
เทคนิคต้องใช้เครื่องไซโคลทรอนทำไอโซโทปกัมมันตรังสี ที่ปล่อยโพซิตรอน ซึ่งใช้ติดป้ายสารประกอบที่ต้องการ
สารประกอบที่ติดป้ายเรียกว่า radiotracer (สารกัมมันตรังสีตามรอย) จะฉีดเข้าไปในเลือดแล้วในที่สุดก็จะเข้าไปในสมอง
เครื่องรับรู้ทั่วเครื่อง PET จะตรวจจับกัมมันตภาพรังสี ของสารประกอบที่สะสมอยู่ในเขตต่าง ๆ ของสมอง
แล้วคอมพิวเตอร์ก็จะใช้ข้อมูลที่ได้จากเครื่องรับรู้เพื่อสร้างภาพสองหรือสามมิติที่แสดงส่วนสมองที่สารประกอบกำลังออกฤทธิ์
ที่มีประโยชน์มากก็คือ มีลิแกนด์ มากมายหลายหลากที่สามารถเลือกใช้สร้างแผนที่การทำงานของสารสื่อประสาท ในด้านต่าง ๆ โดยสารกัมมันตรังสีตามรอยที่ใช้อย่างสามัญที่สุด ก็คือกลูโคสติดป้าย เช่น Fludeoxyglucose (18F)
ประโยชน์ที่ดีที่สุดของ PET ก็คือสารประกอบสามารถแสดงการไหลเวียนของเลือด ออกซิเจน และเมแทบอลิซึม ของกลูโคสในเนื้อเยื่อสมองที่กำลังทำงาน
ค่าวัดเหล่านี้สะท้อนระดับการทำงานของสมองในเขตต่าง ๆ และช่วยให้สามารถเรียนรู้การทำงานของสมอง
และเมื่อเริ่มใช้ตอนแรก PET ดีกว่าวิธีการสร้างภาพโดยเมแทบอลิซึมอื่น ๆ ทั้งหมดในเรื่องความคมชัดและความเร็วในการสร้างภาพ (อาจน้อยเพียงแค่ 30 วินาที)
ความคมชัดที่ดีขึ้นช่วยให้สามารถทำงานศึกษาที่มีคุณภาพดีขึ้นว่า เขตไหนของสมองทำงานเมื่อผู้รับสแกนทำกิจกรรมต่าง ๆ
ข้อเสียใหญ่ที่สุดก็คือ เพราะว่า กัมมันตภาพรังสี เสื่อมเร็ว จึงสามารถใช้ตรวจดูกิจกรรมสั้น ๆ เท่านั้น[ 18]
ก่อน fMRI เทคนิค PET เป็นวิธีที่นิยมที่สุดสำหรับการสร้างภาพสมองโดยกิจ (เทียบกับการสร้างภาพโดยโครงสร้าง) และปัจจุบันก็ยังเป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างความก้าวหน้าในประสาทวิทยาศาสตร์
PET ยังสามารถใช้วินิจฉัยโรคสมองอีกด้วย โดยเฉพาะเนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคที่ทำลายเซลล์ประสาทอันเป็นเหตุของภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ เพราะล้วนแต่เป็นโรคที่เปลี่ยนเมแทบอลิซึมในสมองอย่างมาก ซึ่งทำให้ PET สามารถตรวจจับได้
เทคนิคน่าจะมีประโยชน์มากที่สุดในภาวะสมองเสื่อมระยะต้น ๆ บางโรค (โดยตัวอย่างคลาสสิกก็คือโรคอัลไซเมอร์ และ Pick's disease) ที่ความเสียหายในเบื้องต้นกระจายแพร่ไปทั่วซึ่งไม่ได้เปลี่ยนปริมาตรสมองหรือโครงสร้างใหญ่ ๆ ของสมองอย่างสำคัญที่จะเห็นได้โดยเทคนิค CT หรือ MRI ทั่วไปอย่างเชื่อถือได้ว่า แตกต่างจากสมองฝ่อปกติที่เกิดจากวัยที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่เป็นเหตุของภาวะสมองเสื่อม (dementia)
ภาพเคลื่อนไหวของกระบวนการสร้างภาพสมองโดยใช้ Single-photon emission computed tomography (SPECT)
Single-photon emission computed tomography (SPECT)
Single-photon emission computed tomography (SPECT) คล้ายกับ PET แต่ใช้ไอโซโทปกัมมันตรังสี ที่ปล่อยรังสีแกมมา แล้วใช้กล้องถ่ายรังสีแกมมาเพื่อบันทึกข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ใช้เพื่อสร้างภาพสองหรือสามมิติของบริเวณสมองที่กำลังทำงาน[ 19]
SPECT อาศัยการฉีดสารกัมมันตรังสีตามรอยที่เรียกว่า SPECT agent ซึ่งเข้าไปในสมองอย่างรวดเร็วแต่ไม่กระจายไปที่อื่น
การดูดซึม SPECT agent เสร็จ 100% ภายใน 30-60 วินาที ขึ้นอยู่กับการเดินเลือดในสมอง (cerebral blood flow) เมื่อฉีดสาร
คุณสมบัติเยี่ยงนี้ทำให้เหมาะเป็นพิเศษในการสร้างภาพสำหรับโรคลมชัก ซึ่งปกติเป็นปัญหาที่ยากเนื่องจากการเคลื่อนไหวของคนไข้และรูปแบบการชักต่าง ๆ
SPECT แสดงภาพถ่ายในขณะหนึ่งของการเดินเลือดในสมอง เพราะการสร้างภาพสามารถทำหลังจากที่การชักหยุดแล้ว ตราบเท่าที่ฉีดสารเข้าเมื่อกำลังชัก
ข้อจำกัดสำคัญของ SPECT ก็คือมีความคมชัดต่ำ (ประมาณ 1 ซม.) เทียบกับ MRI
ปัจจุบัน เครื่อง SPECT มักใช้กับหัวตรวจจับคู่ แม้ว่าจะมีเครื่องที่มากับหัวตรวจจับสามตัววางขายในตลาด
การสร้างภาพกราดตัดขวางใหม่ (Tomographic reconstruction) ซึ่งโดยหลักใช้เพื่อแสดงภาพการทำงานในขณะหนึ่งของสมอง ต้องใช้ข้อมูลจากหัวตรวจจับหลายรอบเมื่อหมุนไปรอบ ๆ ศีรษะ ดังนั้น นักวิจัยบางท่านจึงได้สร้างเครื่อง SPECT ที่มีหัวตรวจจับ 6-11 ตัวเพื่อลดเวลาในการสร้างภาพและให้ความคมชัดที่สูงกว่า[ 20] [ 21]
โดยเหมือนกับ PET การสร้างภาพแบบ SPECT สามารถใช้จำแนกการดำเนินของโรคต่าง ๆ ที่เป็นส่วนของภาวะสมองเสื่อม และการใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
PET มีข้อเสียอย่างหนึ่งที่ต้องใช้สารตามรอยที่มีระยะครึ่งชีวิต อย่างมากที่สุด 110 นาที เช่น fludeoxyglucose (18F)
ซึ่งต้องผลิตในไซโคลตอน มีราคาแพง หรือแม้แต่ไม่มีให้ใช้ถ้าเวลาขนส่งยาวนานกว่าระยะครึ่งชีวิตมากกว่า 2-3 เท่า
แต่ว่า SPECT สามารถใช้สารตามรอยที่มีระยะครึ่งชีวิตนานกว่า เช่น เทคนีเชียม -99m โดยผลที่ตามก็คือ หาสารตามรอยได้ง่ายกว่า
อัลตราซาวนด์ที่กะโหลก
อัลตราซาวนด์ที่กะโหลก (Cranial ultrasound) ปกติจะใช้กับทารกเท่านั้น เพราะว่ากระหม่อม ที่เปิดเป็นหน้าต่างให้เสียงเข้า ทำให้สร้างภาพสมองด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ได้
ข้อได้เปรียบรวมทั้งไม่ต้องใช้สารกัมมันตภาพรังสีและสามารถทำข้าง ๆ เตียงได้ แต่ว่าการขาดรายละเอียดกับเนื้อเยื่อที่อ่อนหมายความว่า ในบางกรณี การใช้ MRI อาจจะดีกว่า
เปรียบเทียบวิธีต่าง ๆ
MRI อาศัยการทำงานของสนามแม่เหล็ก ในสมองและไม่ได้ใช้เอกซ์เรย์ ดังนั้น จึงพิจารณาว่าปลอดภัยกว่าเทคนิคที่ใช้เอกซ์เรย์
ส่วน SPECT ใช้รังสีแกมมา ซึ่งปลอดภัยกว่าระบบสร้างภาพอื่น ๆ ที่ใช้รังสีอัลฟา หรือเบต้า [ไม่แน่ใจ – พูดคุย ]
แต่ว่าทั้งเทคนิค PET และ SPECT ต้องฉีดสารกัมมันตรังสี แม้ว่าระยะครึ่งชีวิต ของไอโซโทป ที่ใช้ใน SPECT จะสามารถบริหารได้ง่ายกว่า
ข้อขัดแย้งและคำเตือน
นักวิทยาศาสตร์ บางท่านได้วิพากษ์วิจารณ์ข้ออ้างที่อาศัยภาพสมองที่ลงพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ และสื่อมวลชน เช่น อ้างว่าได้ค้นพบ "ส่วนสมองที่เป็นตัวการ" ของเรื่องต่าง ๆ เช่น ความรัก หรือความสามารถทางดนตรี หรือความจำเฉพาะอะไรบางอย่าง
เพราะว่า เทคนิคการสร้างแผนที่หลายอย่างมีความคมชัดค่อนข้างต่ำ voxel (ปริมาตรที่เล็กที่สุดที่รวมตัวกันเป็นภาพสามมิติ ย่อมาจาก volume pixel) เดียวสามารถมีเซลล์ประสาท อยู่เป็นพัน ๆ
หน้าที่หลายอย่างยังต้องอาศัยเขตต่าง ๆ หลายเขตในสมอง ซึ่งหมายความว่าข้ออ้างเช่นนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยอุปกรณ์ที่มี และโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับข้อสมมุติผิด ๆ ว่า สมองทำหน้าที่แบ่งส่วนกันอย่างไร
อาจจะเป็นไปได้ว่า หน้าที่ของสมองจะสามารถบอกได้อย่างถูกต้องก็ต่อเมื่อวัดด้วยวิธีที่ละเอียดกว่านี้ ที่ตรวจสอบไม่ใช่บริเวณใหญ่ ๆ แต่ตรวจสอบวงจรประสาทวงจรเล็ก ๆ เป็นจำนวนมหาศาล
งานศึกษาเหล่านี้มักมีปัญหาทางเทคนิคด้วย เช่น มีขนาดตัวอย่างน้อยหรือมีการปรับเทียบมาตรฐานที่ไม่ดี ซึ่งหมายความว่างานไม่สามารถทำซ้ำได้ อันเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจเมื่อพิมพ์บทความวารสารหรือหัวพาดข่าวที่สร้างความฮือฮา
ในบางกรณี เทคนิคสร้างแผนที่ในสมองยังเอามาใช้เพื่อการค้า เพื่อตรวจจับการโกหก เพื่อวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ยังไม่ตรวจสอบความสมเหตุสมผล ทางวิทยาศาสตร์[ 22]
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
↑ Filler, Aaron (July 12, 2009). "The History, Development and Impact of Computed Imaging in Neurological Diagnosis and Neurosurgery: CT, MRI, and DTI". Nature Precedings . doi :10.1038/npre.2009.3267.5 .
↑ Sandrone, Stefano; และคณะ (2012). "Angelo Mosso". Journal of Neurology . 259 : 2513–2514. doi :10.1007/s00415-012-6632-1 . PMID 23010944 .
↑ Sandrone, Stefano; และคณะ (2013). "Weighing brain activity with the balance: Angelo Mosso's original manuscripts come to light" . Brain . 137 : 621–633. doi :10.1093/brain/awt091 . PMID 23687118 .
↑ Miller, T. H.; Kruse, J. E. (2005). "Evaluation of syncope" . American family physician . 72 (8): 1492–1500. PMID 16273816 .
↑ 5.0 5.1 American College of Physicians (September 2013), "Five Things Physicians and Patients Should Question" , Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation , American College of Physicians, สืบค้นเมื่อ December 10, 2013 , which cites
American College of Radiology; American Society of Neuroradiology (2010), "ACR-ASNR practice guideline for the performance of computed tomography (CT) of the brain" , Agency for Healthcare Research and Quality , Reston, VA, USA: American College of Radiology, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-09-15, สืบค้นเมื่อ 2012-09-09
Transient loss of consciousness in adults and young people: NICE guideline , National Institute for Health and Clinical Excellence, August 25, 2010, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-02-02, สืบค้นเมื่อ 2012-09-09
Moya, A.; European Society of Cardiology (ESC); Sutton, R.; European Heart Rhythm Association (EHRA); Ammirati, F.; and Heart Rhythm Society (HRS); Blanc, J.-J.; Endorsed by the following societies; Brignole, M.; European Society of Emergency Medicine (EuSEM); Moya, J. B.; European Federation of Internal Medicine (EFIM); Sutton, J.-C.; European Union Geriatric Medicine Society (EUGMS); Ammirati, J.; Blanc, K.; European Neurological Society (ENS); Brignole, A.; European Federation of Autonomic Societies (EFAS); Dahm, M.; Deharo, M.; Gajek, T.; Gjesdal, R. R.; Krahn, F.; Massin, A.; Pepi, J. G.; Pezawas, E. P.; Ruiz Granell, W.; Sarasin, H.; Ungar, D. G.; และคณะ (2009). "Guidelines for the diagnosis and management of syncope (version 2009) : The Task Force for the Diagnosis and Management of Syncope of the European Society of Cardiology (ESC)" . European Heart Journal . 30 (21): 2631–2671. doi :10.1093/eurheartj/ehp298 . PMC 3295536 . PMID 19713422 .
↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 American Headache Society (September 2013), "Five Things Physicians and Patients Should Question" , Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation , American Headache Society, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-12-03, สืบค้นเมื่อ December 10, 2013 , which cites
↑
Thomas, DG; Anderson, RE; du Boulay, GH (January 1984). "CT-guided stereotactic neurosurgery: experience in 24 cases with a new stereotactic system" . Journal of Neurology, Neurosurgery & Psychiatry . 47 (1): 9–16. doi :10.1136/jnnp.47.1.9 . PMC 1027634 . PMID 6363629 . {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑
Heilbrun, MP; Sunderland, PM; McDonald, PR Jr; Wells, TH; Cosman, E; Ganz, E (1987). "Brown-Roberts-Wells stereotactic frame modifications to accomplish magnetic resonance imaging guidance in three planes". Applied Neurophysiology . 50 (1–6): 143–152. doi :10.1159/000100700 . PMID 3329837 . {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑
Leksell, L; Leksell, D; Schwebel, J (January 1985). "Stereotaxis and nuclear magnetic resonance" . Journal of Neurology, Neurosurgery & Psychiatry . 48 (1): 14–18. doi :10.1136/jnnp.48.1.14 . PMC 1028176 . PMID 3882889 . {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑
Levivier, M; Massager, N; Wikler, D; Lorenzoni, J; Ruiz, S; Devriendt, D; David, P; Desmedt, F; Simon, S; Van Houtte, P; Brotchi, J; Goldman, S (July 2004). "Use of stereotactic PET images in dosimetry planning of radiosurgery for brain tumors: clinical experience and proposed classification" . Journal of Nuclear Medicine . 45 (7): 1146–1154. PMID 15235060 . {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ Jeeves, Malcolm A (1994). Mind Fields: Reflections on the Science of Mind and Brain . Grand Rapids, MI: Baker Books. pp. 21 . {{cite book }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ Eggebrecht, AT; White, BR; Ferradal, SL; Chen, C; Zhan, Y; Snyder, AZ; Dehghani, H; Culver, JP (July 16, 2012). "A quantitative spatial comparison of high-density diffuse optical tomography and fMRI cortical mapping". NeuroImage . 61 (4): 1120–8. doi :10.1016/j.neuroimage.2012.01.124 . PMID 22330315 .
↑ Smith, Kerri (March 5, 2008). "Mind-reading with a brain scan" . Nature News . Nature Publishing Group. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05 .
↑ Keim, Brandon (March 5, 2008). "Brain Scanner Can Tell What You're Looking At" . Wired News . CondéNet. สืบค้นเมื่อ 2015-09-16 .
↑ Wolters, C.H.; Anwander, A.; Tricoche, X.; Weinstein, D.; Koch, M.A.; MacLeod, R.S. (March 31, 2006). "Influence of tissue conductivity anisotropy on EEG/MEG field and return current computation in a realistic head model: A simulation and visualization study using high-resolution finite element modeling". NeuroImage . 30 (3): 813–826. doi :10.1016/j.neuroimage.2005.10.014 . PMID 16364662 .
↑ Ramon, Ceon; Haueisen, Jens; Schimpf, Paul H (January 1, 2006). "Influence of head models on neuromagnetic fields and inverse source localizations" . BioMedical Engineering OnLine . 5 (1): 55. doi :10.1186/1475-925X-5-55 . PMC 1629018 . PMID 17059601 .
↑ Nilsson, Lars-Goran; Markowitsch, Hans J (1999). Cognitive Neuroscience of Memory . Seattle: Hogrefe & Huber Publishers. pp. 57 . {{cite book }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ Nilsson, Lars-Goran; Markowitsch, Hans J (1999). Cognitive Neuroscience of Memory . Seattle: Hogrefe & Huber Publishers. pp. 60 . {{cite book }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ Philip Ball Brain Imaging Explained
↑
"SPECT Systems for Brain Imaging" . สืบค้นเมื่อ 2014-07-24 .
↑
"SPECT Brain Imaging" . สืบค้นเมื่อ January 12, 2016 .
↑ Sally Satel; Scott O. Lilienfeld (2015). Brainwashed: The Seductive Appeal of Mindless Neuroscience . Basic Books. ISBN 978-0465062911 .
แหล่งข้อมูลอื่น