การสงครามเคมี

ทหารแคนาดาที่ถูกรมด้วยแก๊สมัสตาร์ดในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สงครามเคมี หรือ อาวุธเคมี (อังกฤษ: Chemical warfare หรือ CW) คือการใช้คุณสมบัติอันเป็นพิษของสารเคมีในการเป็นอาวุธเพื่อการสังหาร, สร้างความบาดเจ็บ หรือ สร้างความพิการให้แก่ศัตรู

ประเภทของสงครามนี้แตกต่างจากการใช้อาวุธสามัญ (conventional weapons) หรือ อาวุธนิวเคลียร์ เพราะการทำลายโดยสารเคมีมิได้เกิดจากแรงระเบิด

อาวุธเคมีจัดอยู่ในประเภทอาวุธเพื่อการทำลายล้างสูงโดยสหประชาชาติและการผลิตก็เป็นการผิดกฎอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention) ของปี ค.ศ. 1993 แต่การใช้พิษของสิ่งมีชีวิต (organism) เป็นอาวุธไม่ถือว่าเป็นอาวุธเคมีแต่เป็นอาวุธชีวภาพ

ความหมาย

สงครามเคมีแตกต่างจากการใช้อาวุธสามัญ หรือ อาวุธนิวเคลียร์ เพราะเป็นการทำลายที่เกิดจากคุณสมบัติของสารเคมี ที่มิได้เกิดจากแรงระเบิด หรือการใช้พิษของสิ่งมีชีวิตเป็นอาวุธเช่นการใช้เชื้อแอนแทรกซ์ก็ไม่ถือว่าเป็นอาวุธเคมีแต่เป็นอาวุธชีวภาพ แต่การใช้พิษที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิต เช่น botulinum toxin, ricin, and saxitoxin ถือว่าเป็นอาวุธเคมีภายใต้คำนิยามของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี ตามข้อตกลงในอนุสัญญาสารเคมีไม่ว่าจะมีที่มาอย่างใดก็ถือว่าเป็นอาวุธเคมีทั้งสิ้น นอกจากว่าจะเป็นการใช้โดยวัตถุประสงค์ที่มิได้ห้ามตามรายละเอียดที่ระบุไว้ใน General Purpose Criterion[1]

ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการสะสมอาวุธเคมีด้วยกันทั้งสิ้น 70 ชนิด ตามอนุสัญญาสารเคมีที่มีพิษพอที่จะใช้เป็นอาวุธหรืออาจจะใช้ในการผลิตอาวุธเคมี แบ่งออกเป็นสามประเภทตามวัตถุประสงค์ของอาวุธ:

  • อาวุธเคมีประเภท 1 (CWC Schedule 1) – คือประเภทของอาวุธเคมีที่แทบจะไม่มีการใช้ที่ถูกต้อง อาวุธเคมีประเภทนี้สามารถใช้ได้เฉพาะในการผลิตหรือใช้ในการค้นคว้า, การแพทย์, การเภสัชกรรม หรือ การป้องกัน (ในการทดลองเครื่องตรวจอาวุธเคมี หรือเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการป้องกันจากอาวุธ) ตัวอย่างของอาวุธเคมีในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ nerve agents, ricin, lewisite and แก๊สมัสตาร์ด ผู้ผลิตมากกว่า 100 กรัมต้องยื่นคำร้องขออนุญาตจากองค์การเพื่อการห้ามอาวุธเคมี (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons (OPCW)) และแต่ละประเทศสามารถสะสมอาวุธเคมีได้ไม่เกินประเทศละหนึ่งตัน
  • อาวุธเคมีประเภท 3 (CWC Schedule 3) – คือประเภทของอาวุธเคมีที่มีประโยชน์ต่อการใช้สอยทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตัวอย่างของอาวุธเคมีในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ ฟอสจีน (phosgene) และ คลอโรพิคริน (chloropicrin) สารเคมีทั้งสองต่างก็ได้รับการใช้ในการผลิตอาวุธเคมี แต่ฟอสจีนเป็นสารเคมีที่มีความสำคัญในการผลิตพลาสติก และ คลอโรพิครินในการใช้เป็นตัวฉีดรม (fumigant) ในกรณีนี้ผู้ผลิตต้องแจ้งองค์การเพื่อการห้ามอาวุธเคมี และทางองค์การมีสิทธิที่จะตรวจสอบโรงงานที่ผลิตมากกว่า 30 ตันต่อปี

อ้างอิง

  1. Bureau of International Security and Nonproliferation. "Chemical Weapons Convention States Parties and Signatories". {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)

ดูเพิ่ม

  • Leo P. Brophy and George J. B. Fisher; The Chemical Warfare Service: Organizing for War Office of the Chief of Military History, 1959; L. P. Brophy, W. D. Miles and C. C. Cochrane, The Chemical Warfare Service: From Laboratory to Field (1959); and B. E. Kleber and D. Birdsell, The Chemical Warfare Service in Combat (1966). official US history;
  • Gordon M. Burck and Charles C. Flowerree; International Handbook on Chemical Weapons Proliferation 1991
  • L. F. Haber. The Poisonous Cloud: Chemical Warfare in the First World War Oxford University Press: 1986
  • James W. Hammond Jr.; Poison Gas: The Myths Versus Reality Greenwood Press, 1999
  • Jiri Janata, Role of Analytical Chemistry in Defense Strategies Against Chemical and Biological Attack เก็บถาวร 2022-04-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Annual Review of Analytical Chemistry, 2009
  • Benoit Morel and Kyle Olson; Shadows and Substance: The Chemical Weapons Convention Westview Press, 1993
  • Adrienne Mayor, "Greek Fire, Poison Arrows & Scorpion Bombs: Biological and Chemical Warfare in the Ancient World" Overlook-Duckworth, 2003, rev ed with new Introduction 2008
  • Geoff Plunkett, Chemical Warfare in Australia, Australian Military History Publications, 2007
  • Jonathan B. Tucker. Chemical Warfare from World War I to Al-Qaeda (2006)


ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!