ยึดครองมักกะฮ์ ส่วนหนึ่งของ สงครามระหว่างชาวมุสลิม –กุเรช วันที่ เดือนธันวาคม ค.ศ. 629 หรือมกราคม ค.ศ. 630 สถานที่ ผล
ฝ่ายมุสลิมชนะ
สิ้นสุดสงครามระหว่างชาวมุสลิม–กุเรช
คู่สงคราม
มุสลิม
เผ่ากุเรช ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
มุฮัมมัด
อบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ กำลัง
10,000 นาย
ไม่ทราบแน่ชัด ความสูญเสีย
2[ 1]
12[ 2]
การพิชิตมักกะฮ์ (อาหรับ : فتح مكة ฟัตฮ์ มักกะฮ์ )เป็นเหตุการณ์ที่เมืองมักกะฮ์ ถูกครอบครองโดยชาวมุสลิมที่นำโดยศาสดามุฮัมมัด ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 629 หรือ มกราคม ค.ศ. 630[ 3] [ 4] (ปฏิทินจูเลียน ) วันที่ 10-20 รอมฎอน ฮ.ศ. 8[ 3]
วันที่
มีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายแบบ เช่น
วันที่มุฮัมมัดออกจากมักกะฮ์น่าจะเป็นวันที่ 2, 6 หรือ 10 รอมฎอน ช่วงก่อนฮิจเราะฮ์ศักราช[ 3]
วันที่มุฮัมมัดเข้ามักกะฮ์น่าจะเป็นวันที่ 10, 17/18, 19 หรือ 20 รอมฎอน ฮ.ศ.8[ 3]
ถ้านำข้อมูลนี้ให้เป็นปฏิทินจูเลียนทำให้เกิดข้อมูลที่คาดเคลื่อน ตัวอย่างเช่น วันที่ 18 รอมฎอน ฮ.ศ.8 อาจจะเป็นวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.629, 10 หรือ 11 มกราคม ค.ศ.630 และ 6 มิถุนายน ค.ศ.630[ 3]
เบี้องหลัง
ในปี ค.ศ.628 เผ่ากุเรช และชาวมุสลิมในมะดีนะฮ์ ลงนามสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์ โดยมีระยะเวลา 10 ปี แต่ในปี ค.ศ.630 มีการยกเลิกสัญญาหลังจากเผ่าของบนูบักร์ พันธมิตรของเผ่ากุเรชได้โจมตีเผ่าบนูคุซาอ์ ที่เป็นพันธมิตรของชาวมุสลิม
หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เผ่ากุเรชจึงส่งผู้แทนมาหามุฮัมมัดว่าจะรักษาสนธิสัญญากับชาวมุสลิมและเสนอค่าสินไหม แต่ว่าพวกเขาถูกผู้คนบอกว่าพวกเขาไม่รักษาคำสัญญา[ 5] [ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง ] [ 6] [ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง ]
เข้าไปในมักกะฮ์
หลังจากอบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ ออกไปแล้ว มุฮัมมัดจึงรวบรวมทหารขนาดใหญ่ทันที โดยที่ท่านไม่บอกสถานที่ที่พวกเขาจะไป แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดและแม่ทัพก็ไม่รู้เช่นกัน[ 7]
จากนั้นกองทัพมุสลิมจึงเดินทางไปมักกะฮ์ในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.629 (6 รอมฎอน ฮ.ศ.8)[ 3] โดยรวมอาสาสมัครและทหารจากเมืองที่ยอมรับมุฮัมมัด จึงทำให้มีทหารกว่า 10,000 นาย นี่เป็นจำนวนทหารมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น หลังจากนั้นมุฮัมมัดได้นำกองทัพตั้งค่ายที่มัรรุซ-ซะฮ์ราน โดยห่างจากมักกะฮ์ไป 10 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วสั่งให้ทหารจุดไฟให้ห่างๆ รอบมักกะฮ์ เพื่อที่จะทำให้ชาวมักกะฮ์หวาดกลัว[ 2]
ในขณะเดียวกัน อบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ กำลังกลับไปที่มักกะฮ์ ตามรายงานเขียนว่าเขาพบกับอับบาซ ลุงของมุฮัมมัดโดยบังเอิญ
เมืองมักกะฮ์ตั้งอยู่ในเทือกเขาอิบรอฮีม และหุบเขาสีดำที่อาจจะสูงประมาณ1,000 ft (300 m)ในบางพื้นที่ โดยมีทางเข้ามักกะฮ์อยู่สี่ทาง ได้แก่: ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, ทางตะวันตกเฉียงใต้, ทางใต้ และทางตะวันออกเฉียงเหนือ มุฮัมมัดได้แบ่งทหารออกเป็นสี่ส่วนโดยให้อบูอุบัยดะฮ์ อิบน์ อัล-ญัรรอฮ์ เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ, อัซซุบัยร์ เข้าทางตะวันตกเฉียงใต้, อะลี เข้าทางใต้ และคอลิด อิบน์ วะลีด เข้าทางตะวันออกเฉียงเหนือ[ 8]
ยุทธวิธีของพวกเขาคือการเดินเข้าไปที่จุดศูนย์กลางจากทุกด้าน จึงทำให้ข้าศึกไม่สามารถตีวงให้แตกได้ง่าย และหยุดไม่ให้ชาวกุเรชคนใดแอบหนีออกไปได้[ 2]
มุฮัมมัดจึงกำชับว่าอย่าต่อสู้จนกว่าพวกกุเรชจะเริ่มต่อสู้ ดังนั้นชาวมุสลิมเข้ามักกะฮ์ในวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.629 (18 รอมฎอน ฮ.ศ.8)[ 3] การเข้าครั้งนี้ไม่มีการสู้รบหรือนองเลือดเลยทั้งสามฝั่ง ยกเว้นฝั่งของคอลิดถูกกลุ่มของเผ่ากุเรชที่นำโดยอิกริมะฮ์และซอฟวาน โดยพวกกุเรชโจมตีชาวมุสลิมด้วยดาบและธนู แล้วสู้รบกันจนฝ่ายกุเรชยอมแพ้หลังจากที่สูญเสียผู้ชายไป 12 คน ในขณะที่ชาวมุสลิมเสียชีวิตไปแค่ 2 คน[ 2]
ผลที่เกิดขึ้น
อบูซุฟยานเข้ารับอิสลาม และเชื่อว่าเทพเจ้าของชาวมักกะฮ์ ไม่มีพลังใดๆ ช่วยมันได้ พร้อมกับกล่าวว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ " เพื่อเป็นการตอบแทนเขา มุฮัมมัดจึงให้พวกเขาประกาศว่า:
"แม้แต่ใครที่อยู่ในบ้านของอบูซุฟยานจะปลอดภัย ใครที่ยอมวางอาวุธจะปลอดภัย ใครที่ใส่กลอนที่ประตูจะปลอดภัย" [ 9]
หลังจากที่มุฮัมมัดและผู้ติดตามมาที่กะอ์บะฮ์ ทั้งรูปปั้นและพระเจ้าของพวกเขาถูกทำลายหมด โดยที่ศาสดามุฮัมหมัดได้อ่านอายะฮ์หนึ่งของอัลกุรอาน ความว่า:"และจงกล่าวเถิด เมื่อความจริงปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ" (17:81 )
ผู้คนเริ่มชุมนุมกันที่กะอ์บะฮ์ และมุฮัมมัดได้กล่าวว่า:
"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์องค์เดียว พระองค์ทรงทำสัญญาของพระองค์เป็นจริงแล้ว และได้ช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ พระองค์เท่านั้นที่ทำลายพวกสมรู้ร่วมคิดไปแล้ว ต่อไปนี้ พิธีกรรม อภิสิทธิ์ การอ้างสิทธิ์ที่จะล้างแค้นตอบแทน และการจ่ายสินไหมทดแทนอยู่ใต้เท้าของฉัน ยกเว้นการดูแลกะอ์บะฮ์ และการให้น้ำแก่ผู้มาทำฮัจญ์ ภายใต้สถานที่ศักดิสิทธิ์แห่งนี้ แม้แต่การตัดต้นไม้ก็ไม่เป็นที่อนุญาต ชาวกุเรชทั้งหลาย อัลลอฮ์ได้ทรงลบล้างการเคารพกราบไหว้เจว็ดบูชา และความทะนงในเชื้อสายแล้ว เพราะมนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของอาดัม และอาดัมถูกสร้างมาจากดิน"
จากนั้นมุฮัมมัดจึงพูดกับชาวกุเรชว่า: "โอ้ชาวกุเรช พวกท่านคิดว่าฉันจะทำอะไรกับพวกท่านหรือ?" พวกเขาตอบว่า "เราหวังว่าท่านจะทำอย่างดีทีสุด ท่านเป็นพี่น้องที่มีเกียรติ ลูกชายของพี่น้องที่มีเกียรติ" เช่นนั้น มุฮัมมัดจึงกล่าวว่า: "ฉันจะพูดเหมือนกับที่ยูซุฟ พูดกับพี่ชายของพวกเขาว่า 'ไม่ต้องกลัวอะไรในวันนี้ จงทำตัวตามสบาย พวกท่านเป็นอิสระแล้ว' "[ 10]
มีแค่ 10 คนเท่านั้นที่ถูกสั่งว่ามีความผิด:[ 11] อิกริมะฮ์ อิบน์ อบีญะฮัล , อับดุลลอฮ์ อิบน์ ซะอัด , ฮับบัร อิบน์ อัสวัด, มิกยาส ซูบาบะฮ์ ลัยษี, ฮุวัยรัษ อิบน์ นุก็อยด์, อับดุลลอฮ์ ฮิลาล และผู้หญิงอีกสี่คนที่มีข้อหาว่าได้ก่อเหตุอาชญากรรม บางคนก่อคดีอื่น ๆ บางคนหนีสงคราม และไม่รักษาสันติภาพ[ 11] แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครถูกฆ่านอกจากผู้หญิงสองคนที่ทำผิดกฎหมาย คนหนึ่งถูกประหารแต่อีกคนไว้ชีวิตเพราะเธอเข้ารับศาสนาอิสลาม[ 12]
หลังจากเปิดมักกะฮ์แล้ว เผ่าที่ไม่ได้เข้าร่วมได้ก่อสงครามฮุนัยน์ ขึ้น
หมายเหตุ
วันที่ที่ให้ในบันทึกสมัยก่อน
หลักฐานปฐมภูมิ
วันที่ออกเดินทางไปมักกะฮ์
วันที่เข้ามักกะฮ์
อ้างอิง
อิบรอฮีม
10 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 13]
อบูซะอีด อัลคุดรี
2 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
17/18 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 14]
อัลฮะกัม
6 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 15]
อิบน์อับบาส, ตะบารี
10 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 16]
อิบน์อิสฮัก
20 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 17]
วะกีดี
วันพุธที่ 10 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 18]
อิบน์ซะอัด
วันพุธที่ 10 เาะมะฎอน ฮ.ศ. 8
วันศุกร์ที่ 19 เราะมะฎอน ฮ.ศ. 8
[ 19] [ 20]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
↑ Akram, Agha Ibrahim (10 August 2007). Khalid Bin Al-waleed: Sword of Allah: A Biographical Study of One of the Greatest Military Generals in History . Maktabah Publications. p. 57. ISBN 0954866525 .
↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Akram 2007, p. 61 .
↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events , Ta-Ha Publishers Ltd., London, 2001 pp 3, 72, 134-6
↑ Gabriel, Richard A., Muhammad: Islam’s First Great General , pp. 167, 176
↑ Peters, Francis E. (1994). Muhammad and the Origins of Islam . SUNY Press. p. 235 & 334. ISBN 978-0-7914-1875-8 .
↑ Lewis, Bernard (1967). The Arabs in history . Harper & Row. p. 200. ISBN 978-0-06-131029-4 .
↑ Seerah ibn Hisham p. 226/2,228.
↑ Akram 2007, p. 60 .
↑ Page 329 , Al-Kamil fi al-Tarikh by Ibn al-Athir (อาหรับ) .
↑ Related by Ibn Kathir, recorded by Ibn al-Hajjaj Muslim
↑ 11.0 11.1 The Message by Ayatullah Ja'far Subhani, chapter 48 referencing Sirah by Ibn Hisham , vol. II, page 409.
↑ [1] Abu Dawood 8:2678 at International Islamic University Malaysia
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 158:Ibn Sa'd, Kitab at-Tabaqat al-Kabir , vol. 2, แปลโดย Moinul Haq, S., New Delhi, p. 172
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 159:Ibn Sa'd, Kitab at-Tabaqat al-Kabir , vol. 2, แปลโดย Moinul Haq, S., New Delhi, p. 171
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 160:Ibn Sa'd, Kitab at-Tabaqat al-Kabir , vol. 2, แปลโดย Moinul Haq, S., New Delhi, p. 177
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 161:Ibn Hisham, As-Sirah an-Nabawiyyah , vol. 2, p. 473 al-Tabari (1982), Tarikhul Umam wal-Muluk , vol. 1, Deoband, p. 391
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 162:Ibn Hisham, As-Sirah an-Nabawiyyah , vol. 2, p. 522
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 163:Ishaqun Nabi Alvi (August 1964), "?", Burhan , p. 92 (Burhan was an Urdu-language magazine.)
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 164:Ibn Sa'd, Kitab at-Tabaqat al-Kabir , vol. 2, แปลโดย Moinul Haq, S., New Delhi, p. 167
↑ Cited in F.R. Shaikh, Chronology of Prophetic Events pages 72 and 82 as footnote 165:Ibn Sa'd, Kitab at-Tabaqat al-Kabir , vol. 2, แปลโดย Moinul Haq, S., New Delhi, p. 170
Gabriel, Richard A, Muhammad: Islam’s First Great General , pub University of Oklahoma Press, 2007, ISBN 978-0806138602 .