แบบจำลอง อะตอม ของรัทเทอร์ฟอร์ด (ถูกปรับแต่ง โดยนิลส์ โปร์ ) เป็นการเทียบอะตอมกับระบบสุริยะ
แนวเทียบ (อังกฤษ : Analogy ) เป็นกระบวนการคิด ซึ่งเป็นการถ่ายโอนสารสนเทศ หรือความหมาย จากกรณีหนึ่ง (มโนทัศน์ต้นทาง) ไปสู่อีกกรณีหนึ่ง (มโนทัศน์ปลายทาง) การแสดงออกทางภาษา ที่สอดคล้องกับกระบวนการดังกล่าวก็เช่นอุปมา หรืออุปลักษณ์ แนวเทียบในนิยามที่แคบลงคือการอนุมาน หรือการให้เหตุผล (logical argument) จากกรณีเฉพาะกรณีหนึ่งไปหากรณีเฉพาะอีกกรณีหนึ่ง ต่างจากการนิรนัย การอุปนัย และการจารนัย ซึ่งข้อสรุปหรือข้อตั้ง อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งเป็นกรณีทั่วไป คำว่าแนวเทียบยังสามารถหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ต้นทางกับปลายทางในรูปแบบของความคล้ายกัน (similarity (philosophy)) อย่างเช่นโครงสร้างกำเนิดต่างกันหรือความคล้ายโดยมีต้นกำเนิดต่างกัน ในวิชาชีววิทยา ต่อไปนี้เป็นการแสดงตัวอย่างความสัมพันธ์แบบแนวเทียบอย่างคร่าว ๆ:
A คล้ายกับ B
B มีคุณสมบัติ C
ดังนั้น A ก็มีคุณสมบัติ C
แนวเทียบเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับการสัมพันธ์ การเปรียบเทียบ ความสมนัย โฮโมโลยีทางคณิตศาสตร์ (homology (mathematics)) และชีววิทยา (homology (biology)) สาทิสสัณฐาน (homomorphism) สมสัณฐาน (isomorphism) ความเป็นประติมา (iconicity) อุปลักษณ์ ความคล้ายคลึง และความเหมือน
แนวเทียบเป็นหัวข้อที่มีการศึกษาและถกเถียงถึงมาตั้งแต่ยุคสมัยคลาสสิก โดยนักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ นักเทววิทยา และนักกฎหมาย ในช่วงเวลาไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ความสนใจในแนวเทียบถูกรื้อฟื้นขึ้นมาโดยเฉพาะในสาขาวิชาประชานศาสตร์
ความหมายของคำว่ามโนทัศน์ "ต้นทาง" และ "ปลายทาง"
คำว่า "ต้นทาง" และ "ปลายทาง" มีความหมายอยู่สองแบบขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่พูดถึง:
ความหมายเชิงตรรกะ วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์พูดถึง ลูกศร การส่ง (map (mathematics)) สาทิสสัณฐาน หรือ สัณฐาน ซึ่งเริ่มจาก โดเมน ที่ซับซ้อน หรือมโนทัศน์ต้นทาง และจบที่ โคโดเมน ซึ่งปกติจะซับซ้อนน้อยกว่า หรือมโนทัศน์ปลายทาง/เป้าหมาย โดยคำเหล่านี้ใช้ในความหมายของทฤษฎีประเภท (category theory)
ความหมายในจิตวิทยาปริชาน (cognitive psychology) ทฤษฎีวรรณคดี (literary theory) และวิชาเฉพาะทางในสาขาปรัชญา ซึ่งอยู่นอกวิชาตรรกศาสตร์ หมายถึงการถ่ายโยง จากประสบการณ์ที่คุ้นเคยกว่า หรือมโนทัศน์ต้นทาง ไปยังประสบการณ์ซึ่งประสบปัญหา หรือมโนทัศน์ปลายทาง/เป้าหมาย
ตัวแบบและทฤษฎี
อัตลักษณ์ของความสัมพันธ์
คำว่า αναλογια ในภาษากรีกซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า Analogy (แนวเทียบ ) ในภาษาอังกฤษ แต่แรกนั้นหมายถึงสัดส่วน (proportionality (mathematics)) ในความหมายแบบคณิตศาสตร์ จากนั้นมาคำว่าแนวเทียบหมายถึงอัตลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างคู่อันดับ คู่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเกี่ยวกับคณิตศาสตร์หรือไม่ หนังสือ Critique of Judgment ของคานต์ ได้ยึดในความหมายนี้ คานต์อ้างว่ามีความสัมพันธ์ที่เหมือนกันอยู่ระหว่างวัตถุที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงสองอัน
แนวเทียบในความหมายนี้ถูกนำมาใช้ในการสอบเอสเอที ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี "คำถามแนวเทียบ" ในรูป "A is to B as C is to what ?" ตัวอย่างเช่น "Hand is to palm as foot is to ____?" (มือเป็นกับฝ่ามือ แบบที่เท้าเป็นกับ ____?) คำถามเหล่านี้ถูกถามในรูปแบบแอริสตอเติล คือ HAND : PALM : : FOOT : ____ ในขณะที่ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นจะสามารถให้คำตอบได้อย่างทันที (นั่นคือ sole หรือฝ่าเท้า) แต่หากต้องระบุและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคู่เช่น Hand และ Palm หรือ Foot และ Sole ก็จะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า เพราะความสัมพันธ์นั้นไม่ปรากฏชัดในความหมายตามพจนานุกรม (lexical definition) ของคำว่า Palm หรือ Sole โดยคำแรกนั้นมีนิยามว่า พื้นผิวฝั่งด้านในของมือ และคำที่สองมีนิยามว่า พื้นผิวฝั่งด้านใต้ของเท้า แนวเทียบและการทำให้เป็นนามธรรม นั้นเป็นกระบวนการทางประชานที่ต่างกัน โดยแนวเทียบเป็นกระบวนการที่ง่ายกว่า แนวเทียบไม่ได้เปรียบเทียบคุณสมบัติทั้งหมด ของมือและเท้า แต่เปรียบเทียบความสัมพันธ์ ระหว่างมือและฝ่าของมือ และระหว่างเท้าและฝ่าของเท้า[ 1] แม้มือและเท้าจะแตกต่างกันในหลายแง่มุม แนวเทียบสนใจที่ความเหมือนกันนั่นคือทั้งสองมีพื้นผิวฝั่งด้านในเหมือนกัน คอมพิวเตอร์สามารถใช้ขั้นตอนวิธี เพื่อตอบคำถามแนวเทียบแบบเลือกตอบจากข้อสอบเอสเอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับมนุษย์ ขั้นตอนวิธีนี้วัดความคล้ายกันของความสัมพันธ์ระหว่างคำแต่ละคู่ (นั่นคือ ความคล้ายระหว่างคู่ HAND:PALM และคู่ FOOT:SOLE) ผ่านการวิเคราะห์ข้อความจำนวนมาก โดยจะเลือกคำตอบที่มีความสัมพันธ์ที่คล้ายกันมากที่สุด[ 2]
ภาวะนามธรรมที่มีร่วมกัน
ในบางวัฒนธรรม ดวงอาทิตย์ เป็นมโนทัศน์ต้นทางของแนวเทียบของพระเจ้า
นักปราชญ์ชาวกรีกอย่างเพลโต และแอริสตอเติล ให้ความหมายของแนวเทียบที่กว้างกว่า พวกเขามองว่าแนวเทียบเป็นการมีภาวะนามธรรมร่วมกัน[ 3] วัตถุซึ่งเป็นแนวเทียบกันไม่ได้มีเพียงความสัมพันธ์ที่คล้ายกันเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นมโนทัศน์ รูปแบบ ความสม่ำเสมอ คุณลักษณะ ผลกระทบ หรือปรัชญาที่มีร่วมกันด้วย พวกเขายอมรับว่าสามารถใช้การเปรียบเทียบ อุปลักษณ์ และอุปมานิทัศน์ในการให้เหตุผล ได้ และบางครั้งก็เรียกสิ่งเหล่าว่า แนวเทียบ แนวเทียบทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมเหล่านั้นเข้าใจได้ง่ายขึ้น และทำให้ทุกคนกล้าที่จะใช้มัน
ในยุคกลาง มีการสร้างทฤษฎีและการนำแนวเทียบมาใช้งานมากขึ้น นักกฎหมายชาวโรม ได้นำการให้เหตุผลแบบแนวเทียบและคำว่า อะนะโลกิ้อา (ἀναλογῐ́ᾱ) จากภาษากรีกมาใช้ นักกฎหมายยุคกลางแยกแยะระหว่าง อะนะลอเกีย เลกิส (analogia legis) และ อะนะลอเกีย ยูริส (analogia iuris) (ดูเพิ่มเติมด้านล่าง) ในตรรกศาสตร์อิสลาม การให้เหตุผลแบบแนวเทียบถูกนำมาใช้ในกระบวนการกิยาส (qiyas) ในกฎหมายชะรีอะฮ์ และนิติศาสตร์ฟีกฮ์ (fiqh) ในเทววิทยา คริสเตียน การให้เหตุผลแบบแนวเทียบถูกนำมาใช้อธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า ทอมัส อไควนัส แยกคำออกเป็นสามชนิดคือคำเอกัตถะ หรือไม่กำกวม (Univocal) ยุคลัตถะ หรือกำกวม (Equivocal) และสมานัตถะ หรือเป็นแนวเทียบ (Analogous) โดยคำสมานัตถะหมายถึงคำอย่างเช่นคำว่า "วัว" ในประโยค "วันนี้มีวัวขายในตลาดเยอะแยะ" ซึ่งอาจมีความหมายที่ต่างกันแต่เกี่ยวข้องกัน โดยอาจหมายถึงวัวตัวเป็น ๆ หรือเนื้อวัว[ 4] (ซึ่งในปัจจุบันจะใช้การแบ่งชนิดเป็นคำพ้องรูปพ้องเสียง (homonymy) และคำหลายความหมาย (polysemy) แทน) โธมัส กาเยตาน (Thomas Cajetan) ได้เขียนบทความที่ทรงอิทธิพลซึ่งพูดถึงแนวเทียบ[ 5] ในทุกกรณีที่กล่าวมา แนวเทียบถูกใช้ในความหมายอย่างกว้างแบบเพลโต และแอริสตอเติล
หนังสือ Portraying Analogy พ.ศ. 2525 ของ เจมส์ ฟรานซิส รอสส์ (James Francis Ross) ซึ่งเป็นการพิจารณาหัวข้อของแนวเทียบเป็นครั้งแรกที่มีความสำคัญหลังจากบทความ De Nominum Analogia ของกาเยตาน ได้แสดงให้เห็นว่าแนวเทียบเป็นลักษณะเฉพาะสากลที่มีอยู่ในโครงสร้างของภาษาธรรมชาติ โดยมีคุณลักษณะที่ระบุได้และคล้ายกฎเกณฑ์แบบหนึ่งซึ่งอธิบายว่าความหมายของคำต่าง ๆ ในประโยคนั้นเกี่ยวข้องพึ่งพากันอย่างไร
กรณีเฉพาะของการอุปนัย
ในทางตรงกันข้าม อิบน์ ตัยมิยะฮ์ (Ibn Taymiyya)[ 6] [ 7] [ 8] ฟรานซิส เบคอน และ จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ในภายหลัง อ้างว่าแนวเทียบเป็นแค่กรณีเฉพาะของการอุปนัย [ 3] ในมุมมองนี้ แนวเทียบเป็นการอนุมานแบบอุปนัย จากคุณสมบัติที่มีร่วมกัน ไปหาคุณสมบัติอีกประการซึ่งอาจจะ มีร่วมกัน ซึ่งคุณสมบัตินี้ต้องมาจากมโนทัศน์ต้นทางเท่านั้น ในรูปแบบดังต่อไปนี้:
ข้อตั้ง
a มีคุณสมบัติ C, D, E, F, G
b มีคุณสมบัติ C, D, E, F
ข้อสรุป
b อาจมีคุณสมบัติ G.
มุมองนี้ไม่ยอมรับว่าแนวเทียบเป็นวิธีการอนุมานหรือวิธีการคิดเป็นของตัวเอง และลดทอน มันเหลือเป็นเพียงการอุปนัยรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การมีการให้เหตุผลแบบแนวเทียบเป็นการให้เหตุผลของตัวเองยังคงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ในวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และมนุษยศาสตร์ (ดูเพิ่มเติมด้านล่าง) ทำให้การลดทอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจในทางปรัชญา มากไปกว่านั้น การอุปนัยมีข้อสรุปเป็นกรณีทั่วไป แต่แนวเทียบมีข้อสรุปเป็นกรณีเฉพาะ
โครงสร้างที่มีร่วมกัน
ในการศึกษาปลาซีลาแคนท์ มีการใช้แนวเทียบจากปลาชนิดอื่น ๆ จำนวนมาก[ 3]
นักประชานศาสตร์ร่วมสมัยใช้นิยามของแนวเทียบแบบกว้างซึ่งใกล้เคียงกับความหมายแบบเพลโตและแอริสตอเติล แต่ถูกตีกรอบด้วยทฤษฎี structure mapping (การส่งโครงสร้าง ) ของเกนต์เนอร์ (Dedre Gentner) หากอิงตามมุมมองนี้ แนวเทียบคือการส่ง หรือการจับคู่ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของมโนทัศน์ต้นทางและปลายทาง แต่ไม่ใช่ระหว่างวัตถุสองสิ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ และระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์ ทฤษฎีนี้ถูกนำมาใช้และได้รับการยืนยันปริมาณหนึ่งในสาขาจิตวิทยา และประสบความสำเร็จพอสมควรในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (ดูเพิ่มเติมด้านล่าง) งานศึกษาบางงานขยายแนวทางนี้ไปใช้กับหัวข้อที่เฉพาะเจาะจงเช่นเรื่องอุปลักษณ์ และความคล้าย แนวคิดของการส่งระหว่างมโนทัศน์ต้นทางกับปลายทางแบบเดียวกันนี้ถูกใช้โดยนักทฤษฎีมโนอุปลักษณ์ และการหลอมรวมมโนทัศน์ (conceptual blending)[ 9] .
คีธ โฮลีโอก (Keith Holyoak) และ พอล ธาการ์ด (Paul Thagard) ได้พัฒนาทฤษฎี multiconstraint (หลากเงื่อนไขบังคับ ) ขึ้นมาภายในทฤษฎี structure mapping พวกเขากล่าวป้องว่า "ความสอดคล้อง " (Coherence theories of truth) ของแนวเทียบอันหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับความสอดคล้องกันในแง่ของโครงสร้าง ความคล้ายกันทางความหมาย (semantic similarity) และจุดประสงค์ของมัน ความสอดคล้องกันเชิงโครงสร้างนั้นสูงที่สุดเมื่อแนวเทียบนั้นเป็นสมสัณฐาน (isomorphism) แต่ความสอดคล้องกันในระดับที่ต่ำลงมาก็ยังถือว่ายอมรับได้ ความคล้ายกันหมายความว่าการส่งจะต้องเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของมโนทัศน์ต้นทางและปลายทางที่คล้ายกันไม่ว่าอยู่ในภาวะนามธรรมระดับไหนก็ตาม ความคล้ายกันมีระดับสูงที่สุดเมื่อมีความสัมพันธ์แบบเดียวกันและองค์ประกอบที่ถูกเชื่อมโยงกันซึ่งมีคุณลักษณะที่เหมือนกันหลายประการ สุดท้ายในส่วนของจุดประสงค์ จุดประสงค์คือความสามารถที่แนวเทียบอันหนึ่งจะช่วยในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในมือ ทฤษฎี multiconstraint พบเจอกับปัญหาได้เมื่อเผชิญกับมโนทัศน์ต้นทางที่หลากหลาย แต่เป็นอุปสรรคที่สามารถก้าวข้ามได้[ 10] [ 3] ต่อมาฮัมเมิลและโฮลีโอกสร้างแบบจำลองทฤษฎี multiconstraint ไว้เป็นโครงข่ายประสาท [ 11] ปัญหาหนึ่งของทฤษฎี multiconstraint เกิดขึ้นจากมโนทัศน์ของความคล้าย ซึ่งในแง่นี้ไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนออกจากแนวเทียบเสียเอง การนำไปประยุกต์ใช้ในคอมพิวเตอร์จึงทำให้จะต้องมีคุณลักษณะหรือความสัมพันธ์อันใดก็ตามซึ่งจำเป็นต้องเหมือนกัน ในภาวะนามธรรมระดับหนึ่ง แบบจำลองจึงถูกขยายต่อใน พ.ศ. 2551 ให้เรียนความสัมพันธ์จากตัวอย่างซึ่งไม่ถูกจัดโครงสร้าง[ 12]
ใน พ.ศ. 2531 มาร์ก คีน (Mark Keane) และ ไมก์ เบรย์ชอว์ (Mike Brayshaw) ได้พัฒนา Incremental Analogy Machine (เครื่องทำแนวเทียบแบบส่วนเพิ่ม ) ขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วยเงื่อนไขบังคับของหน่วยความจำใช้งาน รวมถึงเงื่อนไขบังคับทางโครงสร้าง ทางความหมาย และทางปฏิบัติ เพื่อเลือกเซตย่อยของมโนทัศน์ต้นทางและส่งจากต้นทางไปยังปลายทางอย่างเป็นลำดับ[ 13] [ 14] หลักฐานเชิงประจักษ์ แสดงให้เห็นว่าลำดับการนำเสนอของข้อมูลส่งผลต่อประสิทธิภาพในการส่งเชิงแนวเทียบของมนุษย์[ 15]
ชาลเมอร์สและคณะอ้างว่าไม่มีเส้นแบ่งระหว่างการรับรู้ ขั้นสูงกับการคิดแบบแนวเทียบ และสรุปว่าแนวเทียบนั้นจริง ๆ แล้วเป็นการรับรู้ขั้นสูง และแนวเทียบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากการรับรู้ขั้นสูง แต่ยังเกิดขึ้นก่อนและในเวลาเดียวกันด้วย โดยการรับรู้ขั้นสูงคือกระบวนการแทนความรู้ ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจชุดข้อมูลที่ซับซ้อนในระดับนามธรรมและแนวคิด โดยการคัดเลือกเอาข้อมูลที่สำคัญจากสิ่งเร้า ต่าง ๆ การรับรู้จำเป็นต่อแนวเทียบ แต่แนวเทียบก็จำเป็นต่อการรับรู้ขั้นสูงด้วย[ 16] ในขณะที่ฟอร์บัสและคณะกล่าวว่าข้อสรุปของพวกเขานั้นเป็นแค่คำอุปมาและคลุมเครือเกินกว่าที่จะเป็นประโยชน์ในทางเทคนิค[ 17] มอร์ริสันและดีทริชอ้างว่ามุมมองทั้งสองที่กล่าวมานั้นไม่ใช่มุมมองที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่เป็นมุมมองของแต่ละแง่มุมของแนวเทียบ[ 18]
แนวเทียบกับความซับซ้อน
อ็องตวน กอร์นุแอฌอล[ 19] ได้เสนอว่าแนวเทียบอยู่บนหลักของความเรียบง่าย และความซับซ้อนในการคำนวณ
การให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบคือการหาฟังก์ชัน f จากคู่ของ (x ,f (x )) การให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบตามตัวแบบมาตรฐานประกอบด้วย "วัตถุ" สองอย่าง คือ ต้นทาง และ ปลายทาง ปลายทางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์และจำเป็นต้องใช้ต้นทางเพื่อสามารถอธิบายได้อย่างสมบูณณ์ โดยปลายทางประกอบด้วยส่วนที่มีอยู่คือ S t และส่วนที่ขาดหายคือ R t สมมุติว่าเราสามารถแยกสถานการณ์หนึ่งของต้นทางคือ S s ซึ่งสอดคล้องกับของปลายทางคือ S t กับผลลัพธ์ของต้นทางคือ R s ซึ่งสอดคล้องกับของปลายทางคือ R t ได้ เราต้องการหา B t ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง S t และ R t ด้วย B s ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง S s และ R s
หากรู้ทั้งต้นทางและปลายทางอย่างสมบูรณ์:
หลักการของความยาวการพรรณนาสั้นสุด (minimum description length) ได้รับการนำเสนอโดยริสซาเนน (Jorma Rissanen)[ 20] วอลเลซ (Chris Wallace (computer scientist)) และโบลตัน[ 21] โดยใช้ความซับซ้อนแบบคอลโมโกรอฟ (Kolmogorov complexity) หรือ K (x ) ซึ่งมีนิยามเป็นคำอธิบายหรือพรรณนาของ x ที่มีขนาดเล็กที่สุด กับแนวทางการอุปนัย ของโซโลโมนอฟฟ์ (Ray Solomonoff) หลักการนี้หมายถึงการทำให้ความซับซ้อนในการผลิตปลายทางจากต้นทางหรือ K (target | Source ) มีขนาดเล็กที่สุด
ให้ M s และ M t เป็นทฤษฎีที่รู้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นโครงสร้างทางมโนทัศน์ที่อธิบายต้นทางและปลายทาง แนวเทียบระหว่างกรณีต้นทางและปลายทางที่ดีที่สุดจึงเป็นแนวเทียบที่ทำให้:
K (M s ) + K (S s |M s ) + K (B s |M s ) + K (M t |M s ) + K (S t |M t ) + K (B t |M t ) (1).
น้อยที่สุด
หากไม่รู้ปลายทางเลย:
ตัวแบบและคำอธิบายทั้งหมด M s , M t , B s , S s , และ S t ที่ทำให้:
K (M s ) + K (S s |M s ) + K (B s |M s ) + K (M t |M s ) + K (S t |M t ) (2)
น้อยที่สุด ก็เป็นตัวแบบและคำอธิบายที่จะทำให้ได้ความสัมพันธ์ B t และจึงเป็น R t ที่น่าพึงพอใจที่สุดสำหรับนิพจน์ (1)
สมมุติฐานเชิงแนวเทียบซึ่งหาแนวเทียบระหว่างกรณีต้นทางกับกรณีปลายทางจึงมีสองส่วนคือ:
แนวเทียบใช้ หลักของความเรียบง่าย เหมือนการอุปนัย แนวเทียบระหว่างทั้งสองกรณีที่ดีที่สุดคือแนวเทียบที่ทำให้ปริมาณสารสนเทศที่ต้องใช้เพื่อหาต้นทางจากปลายทางนั้นน้อยที่สุด (1) โดยตัวชี้วัดที่พื้นฐานที่สุดของมันคือทฤษฎีความซับซ้อนในการคำนวณ
เวลาหาหรือทำให้กรณีปลายทางสมบูรณ์ด้วยกรณีต้นทาง ตัวแปรที่จะทำให้ (2) น้อยที่สุดนั้นให้สมมุติว่าทำให้ (1) น้อยที่สุดด้วย และจึงให้คำตอบที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำทางประชาน อาจลดปริมาณของสารสนเทศที่ต้องใช้ในการตีความต้นทางและปลายทาง โดยไม่รวมราคาของการผลิตข้อมูลซ้ำ เขาอาจเลือกใช้นิพจน์ดังต่อไปนี้แทน (2)
K (M s ) + K (B s |M s ) + K (M t |M s )
จิตวิทยาของแนวเทียบ
ทฤษฎี structure mapping
Structure mapping หรือการส่งโครงสร้าง ซึ่งถูกนำเสนอในเบื้องต้นโดย เดดรี เกนต์เนอร์ (Dedre Gentner) เป็นทฤษฎีในจิตวิทยาซึ่งอธิบายกระบวนการทางจิตที่ใช้ในการให้เหตุผลโดยและการเรียนรู้จากแนวเทียบ[ 9] ทฤษฎีนี้มุ่งอธิบายโดยเฉพาะ ว่าเหตุใดความรู้ที่เป็นที่รู้จักหรือความรู้เกี่ยวกับขอบเขตพื้นฐานนั้นจึงสามารถนำมาใช้ให้ข้อมูลต่อความเข้าใจของบุคคลหนึ่งในมโนทัศน์ที่ไม่คุ้นเคยหรือในขอบเขตเป้าหมายหรือปลายทางได้[ 22] หากอิงตามทฤษฎีนี้ บุคคลมองว่าความรู้ในขอบเขตหนึ่งของตัวเองเป็นโครงสร้างที่เชื่อมโยงระหว่างกัน[ 23] หรือพูดอีกแบบคือ ขอบเขตหนึ่งถูกมองว่าประกอบไปด้วยวัตถุ คุณสมบัติของวัตถุ และความสัมพันธ์ซึ่งแสดงถึงวิธีการที่วัตถุต่าง ๆ และคุณสมบัติของพวกมันปฏิสัมพันธ์กัน[ 24] กระบวนการแนวเทียบนั้นจึงเป็นการรู้จำโครงสร้างที่คล้ายกันระหว่างสองขอบเขต โดยอนุมานเพิ่มเติมความคล้ายกันภายในโครงสร้างผ่านการส่งความสัมพันธ์เพิ่มเติมระหว่างขอบเขตต้นทางและขอบเขตปลายทาง แล้วตรวจสอบการอนุมานเหล่านี้กับความรู้เกี่ยวกับขอบเขตปลายทางที่มีอยู่แล้ว[ 22] [ 24] โดยทั่วไป ผู้คนนิยมแนวเทียบซึ่งมีความสมนัยหรือสอดคล้องกันในระดับสูงระหว่างระบบสองระบบ (นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างขอบเขตนั้นสอดคล้องกัน ไม่เพียงแค่วัตถุระหว่างขอบเขตนั้นสอดคล้องกันเท่านั้น) เมื่อพยายามอนุมานจากระบบเหล่านั้น นี่เป็นหลักการที่ชื่อว่าหลักการความเป็นระบบ (systematicity principle)
ตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้แสดงทฤษฎี structure mapping ใช้ขอบเขตของน้ำไหล และไฟฟ้า[ 25] ในระบบของน้ำที่ไหลไปมา น้ำไหลไปตามท่อ และอัตราการไหลถูกกำหนดโดยความดันของระบบ ความสัมพันธ์นี้เป็นแนวเทียบกับการไหลของไฟฟ้าภายในวงจรไฟฟ้า ในวงจรหนึ่ง ไฟฟ้าเคลื่อนไปตามสายไฟและกระแสไฟฟ้า หรือก็คืออัตราการไหลของไฟฟ้า ซึ่งถูกกำหนดโดยแรงดันไฟฟ้า หรือความดันของไฟฟ้า ด้วยความคล้ายกันในโครงสร้าง หรือการวางแนวโครงสร้าง ระหว่างขอบเขตทั้งสอง ทฤษฎีการส่งโครงสร้างจะคาดว่าความสัมพันธ์จากขอบเขตหนึ่งในนี้จะถูกอนุมานไปหาอีกขอบเขตผ่านแนวเทียบ[ 24]
การวางแนวโครงสร้าง
การวางแนวโครงสร้างเป็นกระบวนการหนึ่งในทฤษฎี structure mapping[ 23] เวลาวางแนวระหว่างสองขอบเขตซึ่งถูกนำมาเปรียบเทียบ บุคคลหนึ่งจะพยายามระบุความคล้ายคลึงร่วมกันระหว่างทั้งสองระบบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในขณะเดียวกันก็จะคงความสอดคล้องกันหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างสมาชิกต่าง ๆ (นั่นคือ วัตถุ คุณสมบัติ และความสัมพันธ์)[ 23] ในตัวอย่างแนวเทียบระหว่างน้ำไหลและไฟฟ้า การเทียบท่อน้ำกับสายไฟแสดงถึงความสอดคล้องกันแบบหนึ่งต่อหนึ่งและไม่สอดคล้องกับสมาชิกอื่น ๆ ในแผงวงจร มากไปกว่านั้น การวางแนวโครงสร้างยังมีคุณสมบัติเป็นการเชื่อมต่อแบบขนาน นั่นหมายความว่า เมื่อมีการสอดคล้องกันแบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในทั้งสองระบบ (เช่นอัตราไหลของน้ำเพิ่มขึ้นเมื่อความดันเพิ่มขึ้น คล้ายกับเวลาที่กระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อแรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้น) วัตถุและคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องย่อมสอดคล้องกันด้วย (นั่นคือ อัตราไหลของน้ำสอดคล้องกับกระแสไฟฟ้า และความดันของน้ำสอดคล้องกับแรงดันไฟฟ้า)[ 25]
การอนุมานโดยใช้แนวเทียบ
การอนุมานโดยใช้แนวเทียบเป็นกระบวนการที่สองในทฤษฎี structure mapping และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อจากการวางแนวโครงสร้างระหว่างสองขอบเขตที่ถูกนำมาเปรียบเทียบ
[ 24] ในกระบวนการนี้ บุคคลจะทำการอนุมานเกี่ยวกับขอบเขตเป้าหมายโดยใช้สารสนเทศจากขอบเขตพื้นฐานกับขอบเขตปลายทางนั้น[ 22] ตัวอย่างดังต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นถึงกระบวนการดังกล่าว[ 25] โดย 1 แสดงถึงข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตพื้นฐาน 2 แสดงถึงความสอดคล้องกันระหว่างขอบเขตพื้นฐานและปลายทาง และ 3 แสดงถึงการอนุมานเกี่ยวกับขอบเขตปลายทาง:
ในระบบท่อน้ำ ท่อเล็กทำให้อัตราไหลของน้ำลดลง
ท่อขนาดเล็กสอดคล้องกับตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า และน้ำสอดคล้องกับไฟฟ้า
ในวงจรไฟฟ้า ตัวต้านทานทำให้อัตราไหลของไฟฟ้าลดลง
การประเมินผล
การประเมินผลเป็นกระบวนการที่สามในทฤษฎี structure mapping และเกิดขึ้นหลังการวางแนวโครงสร้างและการอนุมานเกี่ยวกับขอบเขตปลายทางสำเร็จ ระหว่างการประเมินผล บุคคลจะตัดสินว่าแนวเทียบที่ได้มานั้นเกี่ยวข้องและเป็นไปได้ไหม[ 24] กระบวนการนี้ถูกบรรยายว่าเป็นการแก้ปัญหาของการเลือกในแนวเทียบ[ 26] หรือการอธิบายว่าบุคคลหนึ่งเลือกการอนุมานมาใช้ส่งระหว่างขอบเขตพื้นฐานและปลายทางอย่างไร เพราะแนวเทียบจะไร้ประโยชน์หากจะอนุมานทุกอย่างที่อนุมานได้ เวลาประเมินแนวเทียบอันหนึ่ง บุคคลมักตัดสินมันด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้:
ความถูกต้องเท็จจริง - เวลาประเมินการอนุมานหนึ่งว่าถูกหรือผิด บุคคลจะเปรียบเทียบการอนุมานนี้กับความรู้ที่มีอยู่แล้วของเขาเพื่อหาว่าการอนุมานนี้จริงหรือเท็จ[ 22] ในเหคุที่ไม่สามารถหาความถูกต้องได้ บุคคลอาจพิจารณาที่การนำมาใช้ได้ของการอนุมาน หรือความเรียบง่ายของการดัดแปลงความรู้เมื่อเคลื่อนย้ายมันจากขอบเขตพื้นฐานมาขอบเขตปลายทาง[ 24]
เป้าหมาย ความเกี่ยวข้อง - เวลาประเมินแนวเทียบ เป็นสิ่งสำคัญที่การอนุมานจะให้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตรงหน้า ตัวอย่างเช่น เวลาพยายามแก้ไขปัญหาหนึ่ง การอนุมานดังกล่าวนั้นทำให้เราเข้าใจและทำให้เราเข้าใกล้คำตอบขึ้นหรือไม่[ 22] หรือสร้างความรู้ใหม่ที่อาจเป็นประโยชน์หรือไม่[ 26]
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบ
ภาษา
ภาษาสามารถอำนวยการให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบได้โดยการใช้ป้ายแสดงความสัมพันธ์เพื่อทดแทนความโปร่งใสในระดับต่ำ[ 27] ตัวอย่างเช่น เด็ก ๆ อาจมีปัญหาในการระบุโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกล่องแต่ละชุด (เช่น ชุดที่หนึ่ง: กล่องขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ชุดที่สอง: กล่องขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ) เด็กมักเชื่อมโยงกล่องขนาดกลางในชุดที่หนึ่ง (ซึ่งเป็นขนาดกลางในชุดนี้) กับกล่องขนาดกลางในชุดที่สอง (ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กที่สุดในชุดนี้) และไม่สามารถรับรู้ได้ว่าพวกเขาควรเชื่อมโยงกล่องที่เล็กที่สุดในชุดที่หนึ่งกับกล่องที่เล็กที่สุดในชุดที่สอง หลังจากติดป้ายแสดงความสัมพันธ์แล้ว เช่น 'baby' 'mommy' และ 'daddy' (พ่อ แม่ ลูก ) ความสามารถของเด็กในการระบุความสัมพันธ์นี้ดีขึ้นกว่าเดิม[ 28]
เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า ในขณะที่ภาษาอาจช่วยในการให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบ มันไม่ใช่สิ่งจำเป็น งานวิจัยได้พบว่าลิงที่มีความสามารถทางภาษาที่จำกัดสามารถให้เหตุผลได้โดยใช้ความสัมพันธ์ แต่นี่เกิดขึ้นเมื่อต้นทางและปลายทางนั้นวางแนวตรงกันในระดับสูงเท่านั้น[ 29]
ความโปร่งใส
ความคล้ายกันระหว่างวัตถุซึ่งถูกเชื่อมโยงกันส่งผลต่อการให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบ เมื่อความสอดคล้องเชิงวัตถุระหว่างระบบต้นทางกับปลายทางนั้นมีความคล้ายกันสูง นี่เรียกว่าการมีความโปร่งใสสูง ซึ่งช่วยในกระบวนการแนวเทียบ[ 24] ความโปร่งใสสูงเป็นประโยชน์ต่อการใช้แนวเทียบเพื่ออำนวยการแก้ไขปัญหา[ 22] ตัวอย่างเช่น หากนักเรียนคนหนึ่งถูกถามให้คำนวณหาว่านักกอล์ฟแต่ละคนจะต้องใช้ลูกกอล์ฟกี่ลูกในการแข่งขันครั้งหนึ่ง เขาจะสามารถนำคำตอบนี้ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาในอนาคตได้เมื่อวัตถุนั้นคล้ายกันมาก (เช่น การให้เหตุผลว่านักเทนนิสแต่ละคนจะต้องใช้ลูกเทนนิสกี่ลูก)[ 22]
ความสามารถในการประมวล
เพื่อที่จะกระทำกระบวนการทางแนวเทียบ บุคคลจะต้องใช้เวลาเพื่อทำงานผ่านกระบวนการวางแนว การอนุมาน และการประเมินผล หากมีเวลาไม่เพียงพอเพื่อทำการให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบ บุคคลนั้นมีโอกาสที่จะสนใจในความสอดคล้องเชิงวัตถุระดับล่างระหว่างทั้งสองระบบ แทนที่จะระบุความสัมพันธ์ระดับสูงแบบแนวเทียบที่น่าจะให้ข้อมูลมากกว่า[ 24] ผลลัพธ์เดียวกันก็อาจเกิดขึ้นหากความจำเพื่อใช้งานของบุคคลหนึ่งมีภาระการใช้งานทางประชานสูงในขณะนั้น (เช่น บุคคลกำลังพยายามให้เหตุผลด้วยแนวเทียบในขณะเดียวกันที่กำลังจำคำศัพท์คำหนึ่งเก็บไว้ในหัว)[ 24]
พัฒนาการของความสามารถใช้แนวเทียบ
งานวิจัยยังได้พบว่าเด็กมีความสามารถใช้การเปรียบเทียบเพื่อเรียนรู้แบบแผนที่เป็นนามธรรมได้ แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องมีการกระตุ้นจากผู้อื่น[ 28] คำกล่าวอ้างดังกล่าวได้ถูกทดลอง โดยนักวิจัยได้สอนให้เด็กอายุ 3 ถึง 4 ขวบรู้ถึงความสัมพันธ์อย่างง่ายผ่านการแสดงรูปให้ดูเป็นชุด ๆ แต่ละภาพมีสัตว์สามตัวชนิดเดียวกันและติดป้ายชื่อว่า "toma" ให้เด็ก เด็กบางคนถูกบอกให้เปรียบเทียบระหว่าง 'toma' แต่ละฝูง ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่ได้บอก หลังจากได้เห็นรูปภาพแล้ว เด็ก ๆ ก็ถูกทดสอบว่าได้เรียบรู้แบบแผนนามธรรมหรือไม่ (ว่า 'toma' หมายถึงกลุ่มของสัตว์ชนิดเดียวกันสามตัว) เด็กได้ดูรูปอีกสองรูปแล้วถูกถามว่า "อันไหนคือ 'toma'" ภาพแรกเป็นคู่จับเชิงสัมพันธ์และแสดงภาพของสัตว์ชนิดเดียวกันสามตัวซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในขณะที่ภาพที่สองเป็นคู่จับเชิงวัตถุและแสดงภาพของสัตว์คนละชนิดกันสามตัวชนิดที่เด็กได้เห็นไปก่อนแล้วในขั้นตอนการเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ เด็กที่ถูกบอกว่าให้เปรียบเทียบระหว่าง toma ระหว่างเรียนรู้มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ถึงแบบแผนและเลือกคู่จับที่เป็นเชิงสัมพันธ์ในขั้นตอนการทดสอบ[ 27]
เด็กไม่จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นเสมอไปเพื่อเปรียบเทียบและเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์แบบนามธรรม สุดท้ายอย่างไรเด็กก็จะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะเริ่มสนใจที่ระบุโครงสร้างความสัมพันธ์ที่คล้ายกันระหว่างบริบทที่แตกต่างกันมากกว่าแค่ระบุวัตถุที่จับคู่กัน[ 28] การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญในพัฒนาการทางประชานของเด็ก เพราะหากเด็กยังมุ่งสนใจในวัตถุแต่ละอัน ก็จะทำให้ความสามารถในการเรียนรู้แบบแผนแบบนามธรรมและการให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบนั้นถดถอย[ 28] แต่นักวิจัยบางคนเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์อันนี้ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยการเติบโตของความสามารถทางประชานพื้นฐานของเด็ก (เช่นความจำเพื่อใช้งานและการยั้งคิดไตร่ตรอง) แต่กลับถูกขับเคลื่อนโดยความรู้เชิงสัมพันธ์ของเด็กเอง เช่นการมีป้ายชื่อสำหรับวัตถุซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ต่าง ๆ นั้นชัดเจนขึ้น[ 28] อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะกำหนดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์นี้เกิดจากการเติบโตของความสามารถทางประชาน หรือการมีความรู้เชิงสัมพันธ์เพิ่มขึ้น[ 24]
มากไปกว่านั้น งานวิจัยได้ระบุปัจจัยหลายส่วนซึ่งอาจเพิ่มโอกาสที่เด็กจะทำการเปรียบเทียบและเรียนรู้ความสัมพันธ์แบบนามธรรมโดยไม่จำเป็นมีการส่งเสริม[ 27] การเปรียบเทียบมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าเมื่อวัตถุที่ถูกนำมาเปรียบเทียบนั้นมีความใกล้กันเชิงปริภูมิกาล[ 27] มีความคล้ายกันสูง (แต่ไม่มากสะจนกลายเป็นวัตถุที่จับคู่กัน ซึ่งจะขัดขวางกระบวนการระบุความสัมพันธ์)[ 24] หรือมีป้ายชื่อร่วมกัน[ 28]
การประยุกต์ใช้และชนิด
แนวเทียบเป็นสิ่งที่สำคัญในการแก้ปัญหา (problem solving) การตัดสินใจ (decision making) การให้เหตุผล (argumentation) การรับรู้ (Perception) การวางนัยทั่วไป การจำ การสร้างสรรค์ การประดิษฐ์ (Invention)การคาดการณ์ (Prediction)ความรู้สึก (Feeling) การอธิบาย (explanation) การวางกรอบความคิด (conceptualization) และการสื่อสาร (Communication) มันเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของภารกิจพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การระบุสถานที่ วัตถุ และผู้คน เช่น การรับรู้ใบหน้า (face perception) และการรู้จำใบหน้า มีข้อคิดเห็นหนึ่งกล่าวว่าแนวเทียบเป็นส่วนสำคัญของประชาน [ 30]
แนวเทียบซึ่งแสดงออกเป็นภาษาประกอบด้วยการยกตัวอย่าง การเปรียบเทียบ (Comparison (grammar)) อุปมา อุปลักษณ์ อุปมานิทัศน์ และการเล่านิทานคติสอนใจ แต่ไม่รวมถึงนามนัย (metonymy) ข้อความ (message) ที่มีวลีเช่น "และอื่น ๆ " "เป็นต้น " "อย่างกับว่า/ดังว่า " "อย่าง/ดัง/เหมือน " "ฯลฯ " ฯลฯ เป็นข้อความที่ผู้รับสารต้องใช้ความเข้าใจแบบแนวเทียบ แนวเทียบไม่ได้สำคัญเฉพาะในปรัชญาภาษาสามัญ (ordinary language philosophy) และสามัญสำนึก เท่านั้น (เช่นสุภาษิต (proverb) และสำนวน (idiom) ก็เป็นตัวอย่างของการใช้แนวเทียบแบบนี้) แต่ยังเป็นสิ่งที่สำคัญในวิชาวิทยาศาสตร์ ปรัชญา กฎหมาย และมนุษยศาสตร์ ด้วย ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ปริชาน (cognitive linguistics) แนวคิดมโนอุปลักษณ์ (conceptual metaphor) อาจเป็นอย่างเดียวกันกับแนวเทียบ แนวเทียบยังเป็นฐานของการให้เหตุผลเชิงเปรียบเทียบ รวมไปถึงการทดลองต่าง ๆ ซึ่งผลของการทดลองถูกนำไปใช้กับวัตถุซึ่งไม่ได้รับการทดลอง (เช่น การทดลองกับหนู แล้วเอาผลการทดลองไปใช้กับมนุษย์)
ตรรกศาสตร์
นักตรรกวิทยากระทำการวิเคราะห์วิธีการใช้การให้เหตุผลโดยใช้แนวเทียบในการอ้างเหตุผลจากแนวเทียบ (Argument from analogy)
แนวเทียบสามารถกล่าวออกมาได้โดยใช้วลี เป็นอะไรกับ และ อย่างที่/แบบที่ เมื่อแสดงถึงความสัมพันธ์แบบแนวเทียบระหว่างนิพจน์สองอัน ตัวอย่างเช่น "รอยยิ้มเป็นอะไรกับปาก อย่างที่กระพิบตาเป็นอะไรกับตา" ในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ เราสามารถเขียนอย่างเป็นรูปนัยได้ด้วยเครื่องหมายทวิภาค เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์แบบนี้ โดยใช้ทวิภาคอันเดียวเพื่อแสดงถึงอัตราส่วน และใช้ทวิภาคสองอันเพื่อแสดงถึงสมการ[ 31]
ในการสอบ เครื่องหมายทวิภาคซึ่งแสดงถึงอัตราส่วนและสมการถูกยืมมาใช้ และตัวอย่างดังกล่าวสามารถเขียนเป็น "รอยยิ้ม : ปาก :: กระพิบตา : ตา" และอ่านออกเสียงในแบบเดิม[ 31] [ 32]
ภาษาศาสตร์
แนวเทียบยังสามารถเป็นกระบวนการทางภาษาศาสตร์ ที่เรียกว่า การปรับระดับเชิงสัณฐาน (Morphological leveling) ซึ่งคือกระบวนการที่คำ ๆ หนึ่งซึ่งถูกมองว่าเป็นคำอปกติ ถูกทำใหม่ให้อยู่ในรูปของคำที่มีอยู่แพร่หลายกว่าซึ่งถูกควบคุมโดยกฎบางอย่าง[ 33] ตัวอย่างเช่นคำกริยา ในภาษาอังกฤษ คำว่า help ที่แต่ก่อนมีรูปอดีตกาล (preterite) เป็น holp และรูปกริยาย่อย (participle) อดีตกาลเป็น holpen รูปของคำที่เลิกใช้แล้วเหล่านี้ถูกแทนที่โดยคำว่า helped ด้วยแนวเทียบ (หรือคือการขยายการใช้งานของกฎที่มีผลิตภาพ (productive (linguistics)) ว่าด้วยคำกริยาตามด้วย ed )[ 34] แต่ทว่ารูปอปกติในบางครั้งก็ถูกสร้างขึ้นโดยแนวเทียบผ่านกระบวนการที่คล้ายกันเรียกว่าการขยายออก ตัวอย่างหนึ่งเช่นรูปกาลอดีต (past tense) ของคำว่า dive ในภาษาอังกฤษอเมริกันว่า dove ซึ่งเกิดขึ้นโดยแนวเทียบกับคำศัพท์อย่างคำว่า drive ซึ่งมีรูปกาลอดีตว่า drove .[ 35]
คำสร้างใหม่ ยังสามารถถูกสร้างขึ้นผ่านแนวเทียบได้ผ่านคำที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นคำว่า ซอฟต์แวร์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยแนวเทียบกับ ฮาร์ดแวร์ คำสร้างใหม่โดยแนวเทียมอื่น ๆ อาทิ เฟิร์มแวร์ และ เวเพอร์เวฟ ก็มีตามมา[ 36] อีกคำหนึ่งในภาษาอังกฤษเช่นคำว่า underwhelm ซึ่งเกิดขึ้นโดยแนวเทียบกับคำว่า overwhelm [ 37]
แนวเทียบมักถูกเสนอเป็นกลไกทางเลือกแทนกฎ แบบเพิ่มพูน เพื่อใช้อธิบายการก่อรูปที่มีผลิตภาพ ของโครงสร้างต่าง ๆ เช่นคำ ในขณะที่คนอื่น ๆ อ้างว่าทั้งสองเป็นกลไกเดียวกัน โดยกฎต่าง ๆ เป็นแนวเทียบที่ได้ฝังตัวลงไปในระบบภาษาศาสตร์จนกลายเป็นส่วนมาตรฐานแล้ว ในขณะที่แนวเทียบในกรณีที่เห็นได้ชัดนั้นเพียงแค่ (ยัง) ไม่ได้กระทำเช่นนั้น[ 38]
แนวเทียบยังเป็นคำที่ถูกใช้โดยสำนักคิดกลุ่มนักไวยากรณ์รุ่นใหม่ (Neogrammarian) เป็นคำพูดกว้าง ๆ เพื่อหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐาน ใด ๆ ในภาษาหนึ่งซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเสียง (sound change) หรือด้วยการยืมคำมา[ 39]
วิทยาศาสตร์
เหนืออื่นใดแนวเทียบถูกใช้เป็นวิธีการนึกคิดมโนคติและสมมติฐานใหม่ ๆ ซึ่งเป็นบทบาทแบบศึกษาสำนึก ของการให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบ[ 40] [ 41]
การอ้างเหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบยังสามารถทำงานแบบทดสอบได้ โดยมีหน้าที่เป็นวิธีการพิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีหรือสมมติฐานหนึ่ง ทว่าการประยุกต์ใช้การให้เหตุผลด้วยแนวเทียบในวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ยังเป็นที่ถกเถียงกัน มูลค่าของแนวเทียบในการพิสูจน์นั้นมีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสตร์ชนิดที่ไม่สามารถพิสูจน์ทางตรรกะหรือเชิงประจักษ์ได้ อาทิเทววิทยา ปรัชญา หรือจักรวาลวิทยาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริเวณของจักรวาล ที่อยู่เหนือการสังเกตการณ์เชิงประจักษ์ใด และซึ่งความรู้เกี่ยวกับมันใด ๆ ได้มาจากจินตนาการ ของมนุษย์[ 41]
แนวเทียบสามารถถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นภาพและสอนนักเรียน โดยช่วยให้เข้าใจแนวคิดต่าง ๆ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหรือภายในบางสิ่งหรือปรากฏการณ์ที่ยากที่จะเข้าใจ ไม่คุ้นเคย หรือไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ นักเรียนสามารถเปรียบเทียบกับสิ่งหรือปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่นักเรียนอาจคุ้นเคยกว่าเพื่อเห็นความคล้ายคลึงกัน[ 41] แนวเทียบอาจช่วยในการสร้างหรืออธิบายทฤษฎีหนึ่งโดยทางการทำงานของอีกทฤษฎีหนึ่ง ดังนั้นมันสามารถถูกใช้ในวิทยาศาสตร์ประยุกต์และทฤษฎีในรูปของตัวแบบหรือการจำลองซึ่งสามารถถือได้ว่าเป็นแนวเทียบที่ชัดเจน แนวเทียบที่อ่อนกว่ามากจะช่วยในการทำความเข้าและอธิบายพฤติกรรมของระบบที่คล้ายกัน ตัวอย่างเช่นแนวเทียบที่มักถูกใช้ในหนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์คือการเปรียบเทียบวงจรไฟฟ้ากับระบบไฮดรอลิกส์ [ 42] อีกตัวอย่างเช่นหูแอนะล็อก (analog ear) ซึ่งเป็นตัวแบบของหูจากแอนะล็อก (Analogue electronics) ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิก และเชิงกล
คณิตศาสตร์
แนวเทียบบางชนิดมีรูปทางคณิตศาสตร์ ที่แน่นอนผ่านแนวคิดสมสัณฐาน ในรายละเอียดนี่หมายถึง หากมีโครงสร้างทางคณิตศาสตร์สองอย่างซึ่งเป็นชนิดเดียวกัน แนวเทียบระหว่างทั้งสองอาจคิดได้ว่าเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งทั่วถึง ระหว่างทั้งสองซึ่งจะอนุรักษ์โครงสร้างที่สำคัญไว้บางส่วนหรือทั้งหมด ตัวอย่างเช่น
R
2
{\displaystyle \mathbb {R} ^{2}}
และ
C
{\displaystyle \mathbb {C} }
สมสัณฐานกันในฐานะปริภูมิเวกเตอร์ แต่จำนวนเชิงซ้อน
C
{\displaystyle \mathbb {C} }
มีโครงสร้างมากกว่าที่
R
2
{\displaystyle \mathbb {R} ^{2}}
มี เพราะ
C
{\displaystyle \mathbb {C} }
เป็นทั้งฟีลด์ และปริภูมิเวกเตอร์ (vector space)
ทฤษฎีประเภท (category theory) นำแนวคิดของแนวเทียบทางคณิตศาสตร์ไปอีขั้นด้วยแนวคิดฟังก์เตอร์ (functor) สมมติมีประเภทสองประเภทคือ C และ D ฟังก์เตอร์ f จาก C ไปหา D สามารถมองได้ว่าเป็นแนวเทียบระหว่าง C กับ D เพราะ f จะต้องส่ง วัตถุของ C ไปหาวัตถุของ D และลูกศรของ C ไปหาลูกศรของ D ในแบบที่อนุรักษ์โครงสร้างเชิงประกอบของทั้งสองประเภท นี่คล้ายกับทฤษฎีการส่งโครงสร้างของแนวเทียบ ของเดดรี เกนต์เนอร์ ตรงที่เป็นการจัดรูปของมโนคติแนวเทียบให้เป็นฟังก์ชันซึ่งสนองเงื่อนไขบางประการ
ปัญญาประดิษฐ์
สตีเวน ฟิลลิปส์ และวิลเลียม เอช. วิลสัน[ 43] [ 44] ได้ใช้ทฤษฎีประเภท เพื่อแสดงให้เห็นโดยทางคณิตศาสตร์ว่าการให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบในจิต มนุษย์ ซึ่งเป็นอิสระจากการอนุมานปลอมซึ่งระบาดไปทั่วตัวแบบปัญญาประดิษญ์แบบธรรมดา (ที่เรียกว่า ความเป็นระบบ ) นั้นเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติได้อย่างไร ผ่านการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกศรภายในซึ่งเก็บโครงสร้างภายในของประเภท แทนที่จะใช้เพียงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ (ที่เรียกว่า "สถานะตัวแทน") ดังนั้น จิตอาจใช้แนวเทียบระหว่างขอบเขตซึ่งมีโครงสร้างภายในที่สอดคล้องตามการแปลงโดยธรรมชาติ (natural transformation) และปฏิเสธพวกที่ไม่เป็นตามนั้น
กายวิภาคศาสตร์
ในกายวิภาคศาสตร์ โครงสร้างทางกายวิภาคสองอย่างถูกถือว่าเป็น อะนาโลกัส เมื่อมีบทบาท (role) ที่คล้ายกันแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางวิวัฒนาการ ตัวอย่างเช่นขา ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง กับขาของแมลง โครงสร้างกำเนิดต่างกันเกิดจากวิวัฒนาการเบนเข้า และเป็นตรงกันข้ามกับโครงสร้างต้นกำเนิดเดียวกัน
วิศวกรรม
ต้นแบบ (prototype) ทางกายภาพมักถูกสร้างขึ้นเพื่อจำลองและแทนวัตถุทางกายภาพอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นอุโมงค์ลม ซึ่งถูกใช้เพื่อทดสอบตัวแบบจำลองของปีกของอากาศยาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวเทียบของปีกและอากาศยานขนาดจริง หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือโมนิแอก (MONIAC) ซึ่งเป็ฯคอมพิวเตอร์แอนะล็อก (analog computer) ที่ใช้การไหลของน้ำในท่อของมันเป็นแนวเทียบของการไหลของเงินตราในเศรษฐกิจ
ไซเบอร์เนติกส์
ที่ใดที่มีการพึ่งพากัน และมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้มีส่วนร่วมทางกายภาพหรือทางชีวภาพคู่หนึ่งหรือมากกว่า ก็จะมีการสื่อสารระหว่างกัน และความเค้นที่ถูกผลิตออกมาจะอธิบายตัวแบบภายในข้างในผู้มีส่วนร่วม ทฤษฎีการสนทนา (Conversation theory) ของกอร์ดอน แพสก์ (Gordon Pask) กล่าวว่าคู่ของตัวแบบหรือแนวคิดภายในต่าง ๆ ของผู้มีส่วนร่วมคู่ใดก็ตามจะมีแนวเทียบที่แสดงถึงความคล้ายและความแตกต่างระหว่างกัน
ประวัติศาสตร์
ในประวัติศาสตร์ การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เปรียบเทียบมักเอาแนวคิดเกี่ยวกับแนวเทียบและการให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบมาใช้ วิธีการเชิงคำนวณแบบใหม่ที่ทำงานบนแฟ้มเก็บเอกสารขนาดใหญ่ช่วยให้สามารถค้นหาตัวตนที่เป็นแนวเทียบกันจากในอดีตสำหรับข้อคำถามของผู้ใช้งาน (เช่น เมียนมา - พม่า) [ 45] และสำหรับคำอธิบายของพวกมัน[ 46] ได้โดยอัตโนมัติ
ประเด็นเชิงบรรทัดฐาน
ศีลธรรม
การให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบมีบทบาทสำคัญในศีลธรรม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะศีลธรรมควรที่จะไม่ลำเอียงและยุติธรรม หากในสถานการณ์ A การกระทำอย่างหนึ่งนั้นผิด และสถานการณ์ B นั้นเป็นแนวเทียบกับ A ในทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้อง อย่างนั้นแล้วการกระทำนั้นก็ควรผิดด้วยในสถานการณ์ B จริยธรรมเฉพาะ (Moral particularism) ยอมรับวิธีการให้เหตุผลเชิงจริยธรรม (Moral reasoning) โดยอาศัยแนวเทียบ และปฏิเสธการนิรนัย และอุปนัย เพราะอย่างแรกเท่านั้นที่ใช้การได้โดยไม่ต้องมีหลักการทางจริยธรรม
กฎหมาย
ในทางกฎหมาย แนวเทียบถูกใช้เป็นหลักเพื่อตัดสินในประเด็นที่ไม่มีอำนาจอยู่ก่อน การให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบในกฎหมายบัญญัติกับในกฎหมายจากคำพิพากษานั้นมีความแตกต่างอยู่
กฎหมายบัญญัติ
ในกฎหมายบัญญัติ (statutory law) แนวเทียบถูกใช้เพื่อเติมเต็มข้อความที่ขาดไป (Non liquet) ช่องว่าง หรือช่องโหว่[ 47]
ประการแรก ข่องว่างนั้นเกิดขึ้นเมื่อประเด็นทางกฎหมายหรือคดีหนึ่งนั้นไม่ได้มีกล่าวถึงอยู่ในกฎหมายลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน อย่างนั้นแล้วอาจพยายามที่จะระบุหาบทบัญญัติบทหนึ่งที่ครอบคลุมกรณีต่าง ๆ ที่คล้ายกันกับกรณีตรงหน้า และนำบทบัญญัตินั้นมาใช้กับกรณีนี้โดยอาศัยแนวเทียบ ช่องว่างเช่นนี้ ในประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษร เรียกว่าช่องว่าง แอ็กสตรา เลแก็ง (extra legem ภาษาละตินว่า นอกกฎหมาย) ในขณะที่แนวเทียบที่อุดช่องว่างนี้เรียกว่าแนวเทียบ แอ็กสตรา เลแก็ง และคดีที่อยู่ในมือเรียกว่าคดีที่ไม่มีบทบัญญัติ (unprovided case)[ 48]
ประการที่สอง ช่องว่างนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีบทบัญญัติอยู่ซึ่งใช้ได้กับคดีตรงหน้า แต่บทบัญญัตินี้จะทำให้คดีนี้มีผลออกมาแบบที่ไม่ต้องการ อย่างนั้นแล้ว ด้วยแนวเทียบจากบทบัญญัติอื่นในกฎหมายที่ครอบคลุมคดีที่คล้ายกับคดีตรงหน้า คดีนี้จะถูกตัดสินด้วยบทบัญญัติอันนี้แทนที่จะใช้บทบัญญัติอันก่อนหน้าที่นำมาใช้ได้โดยตรง ช่องว่างเช่นนี้เรียกว่าช่องว่าง กอนตรา เลแก็ง (contra legem ภาษาละตินว่า ทวนหรือต่อต้านกฎหมาย) ในขณะที่แนวเทียบที่อุดช่องว่างนี้เรียกว่าแนวเทียบ กอนตรา เลแก็ง [ 49]
ประการที่สาม ช่องว่างนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีบทบัญญัติในกฎหมายซึ่งกำหนดคดีตรงหน้าอยู่ แต่บทบัญญัตินี้กลับคลุมเครือหรือกำกวม ในพฤติการณ์เช่นนี้ เพื่อตัดสินคดีตรงหน้า อาจสามารถพยายามที่จะสืบหาความหมายของบทบัญญัติด้วยความช่วยเหลือของบทบัญญัติในกฎหมายซึ่งกล่าวถึงคดีที่คล้ายกับคดีตรงหน้าหรือคดีอื่น ๆ ซึ่งถูกกำหนดโดยบทบัญญัติที่คลุมเครือและกำกวม ช่องว่างเช่นนี้เรียกว่าช่องว่าง อินตรา เลแก็ง (intra legem ภาษาละตินว่า ในกฎหมาย) ในขณะที่แนวเทียบที่อุดช่องว่างนี้เรียกว่าแนวเทียบ อินตรา เลแก็ง [ 50]
ความคล้ายกันในแบบที่แนวเทียบทางกฎหมายบัญญัติพึ่งพานั้นอาจเกิดขึ้นได้จากความคล้ายกันของข้อเท็จจริงดิบของคดีที่ถูกนำมาเปรียบเทียบอยู่[ 51] ของจุดประสงค์ของบทบัญญัติในกฎหมาย (ที่เรียกกันว่าเหตุผลในการตรากฎหมายหรือ ratio legis ซึ่งโดยทั่วไปก็คือความต้องการของสภานิติบัญญัติ ) ซึ่งถูกนำมาใช้ผ่านแนวเทียบ หรือของแหล่งอื่น ๆ [ 52]
แนวเทียบทางกฎหมายบัญญัติยังสามารถอยู่บนฐานของบทบัญญัติจำนวนมากกว่าหนึ่ง หรือแม้แต่บนฐานของเจตนารมณ์ของกฎหมาย และในกรณีหลังจะเรียกว่า อะนะลอเกีย ยูริส (จากกฎหมายโดยทั่วไป) ซึ่งตรงข้ามกับ อะนะลอเกีย เลกิส (จากบทบัญญัติที่เจาะจงหนึ่งบทหรือมากกว่า)[ 53]
กฎหมายจากคำพิพากษา
ประการแรก ในกฎหมายจากคำพิพากษา (case law) แนวเทียบสามารถทำได้จากคดีบรรทัดฐาน (precedent) หรือคดีที่ถูกตัดสินไปแล้วในอดีต ผู้พิพากษษที่กำลังตัดสินคดีตรงหน้าอาจพบว่าข้อเท็จจริงของคดีดังกล่าวนั้นคล้ายกับข้อเท็จจริงของคดีบรรทัดฐานคดีใดคดีหนึ่ง ถึงขนาดที่ว่าผลลัพธ์ของคดีเหล่านี้มีเหตุผลเพียงพอที่จะออกมาคล้ายกันหรือเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้ว การใช้งานแนวเทียบในแบบนี้ในกฎหมายจากคำพิพากษามีความเหมาะสมกับคดีที่เรียกว่าคดีความประทับใจครั้งแรก (case of first impression) หรือก็คือคดีที่ยังไม่ถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานผูกพันของศาลอันใด (ไม่ได้อยู่ในครอบคลุมของเหตุผลในการวินิจฉัย (ratio decidendi) ของบรรทัดฐานดังเช่นนั้น)
ประการที่สอง ในกฎหมายจากคำพิพากษา การให้เหตุผลโดยอาศัยแนว(ไม่)เทียบจะถูกใช้อย่างเหลือเฟือ เมื่อผู้พิพากษาทำการชี้ข้อแตกต่าง (distinguishing) จากคดีบรรทัดฐาน นั่นก็คือการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคดีตรงหน้ากับคดีบรรทัดฐาน แล้วผู้พิพากษาจึงตัดสินไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานเดิมแม้ว่าจะมีเหตุผลในการวินิจฉัยที่ครอบคลุมถึงคดีที่พิจารณาอยู่
แนวเทียบยังถูกใช้ในบริเวณอื่น ๆ ของกฎหมายจากคำพิพากษา ประการหนึ่งเช่นการพึ่งพาการให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบในขณะที่กำลังแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างบรรทัดฐานสองกรณีหรือมากกว่า ซึ่งล้วนครอบคลุมการใช้งานกับคดีที่พิจารณาอยู่แต่กลับบังคับให้เกิดผลลัพธ์ทางกฎหมายของคดีออกมาไม่เหมือนกัน แนวเทียบยังมีส่วนในการสืบหาเนื้อหาของเหตุผลในการวินิจฉัย การตัดสินด้วยบรรทัดฐานที่พ้นสมัย หรือการอ้างอิงบรรทัดฐานจากเขตอำนาจศาลอื่น และยังปรากฏอยู่ในการศึกษากฎหมายอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในสหรัฐ (สิ่งที่เรียกว่า "วิธีกรณีศึกษา " (Case method))[ 54]
ข้อจำกัด
ในประเด็นทางกฎหมาย บางครั้งก็มีการห้ามใช้แนวเทียบ (ไม่ว่าจะถูกห้ามโดยตัวกฎหมายเอง หรือโดยความตกลงร่วมกันระหว่างผู้พิพากษากับนักวิชาการ) ตัวอย่างที่พบเจอได้บ่อยที่สุดเกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง และกฎหมายภาษี (tax law)
แนวเทียบไม่ควรถูกใช้ในประเด็นทางอาญาหากผลลัพธ์จะออกมาไม่เป็นที่พอใจต่อผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัย ข้อห้ามนี้มีจุดมั่นอยู่บนหลักการว่า "ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ ถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด " (nullum crimen, nulla poena sine lege ) ซึ่งเป็นหลักที่เข้าใจว่าอาชญากรรม (โทษ) นั้นไม่เกิดขึ้นเว้นแต่ว่าจะมีระบุไว้ในตัวบทบัญญัติของกฎหมายอย่างชัดเจน หรือมีอยู่ในบรรทัดฐานของศาลที่ดำรงอยู่ก่อนแล้ว
แนวเทียบควรถูกนำมาใช้อย่างระมัดระวังในขอบเขตของกฎหมายภาษี ณ ที่นี้หลักการว่า "ไม่มีภาษี ถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" (nullum tributum sine lege ) ให้เหตุผลว่าควรห้ามโดยทั่วไปไม่ให้ใช้แนวเทียบเพื่อนำไปสู่การเพิ่มการเก็บภาษี หรือนำไปสู่ผลลัพธ์อื่น ๆ ซึ่งด้วยเหตุผลอื่นใดจะเสื่อมเสียต่อผลประโยชน์ของผู้เสียภาษี
การขยายความบทบัญญัติต่าง ๆ ในกฎหมายปกครองโดยอาศัยแนวเทียบที่จะเป็นการจำกัดสิทธิมนุษยชนและสิทธิของพลเมือง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดหมู่ของสิทธิที่เรียกว่า "สิทธิปัจเจก" หรือ "สิทธิขั้นพื้นฐาน") ถูกถือเป็นกฎว่าเป็นสิ่งต้องห้าม โดยทั่วไปแล้วแนวเทียบก็ไม่ควรถูกใช้ทำให้ภาระและความรับผิดชอบของพลเมืองเพิ่มขึ้นหรือเป็นการกลั่นแกล้ง
ข้อจำกัดอื่น ๆ ในการใช้งานแนวเทียบในกฎหมายยังรวมถึง
การขยายความบทบัญญัติโดยอาศัยแนวเทียบซึ่งประกอบด้วยการยกเว้นจากบทบัญญัติและข้อบังคับที่ทั่วไปมากกว่า (ข้อยกเว้นนี้มาจากคติบทละตินซึ่งเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะในระบบกฎหมายภาคพื้นทวีประบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ว่า "ข้อยกเว้นจะไม่มากเกินไป" (exceptiones non sunt excedente ) "ข้อยกเว้นจะถูกใช้งานโดยเคร่งครัด" (exceptio est strictissimae applicationis ) และ "ที่ไม่เคยมีมาก่อนจะไม่ถูกขยายความ" (singularia non sunt extendenda ))
การใช้การอ้างเหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบกับบทบัญญัติซึ่งมีการแจงนับไว้ (รายการหรือรายชื่อ)
การขยายความบทบัญญัติโดยอาศัยแนวเทียบซึ่งให้ความรู้สึกว่าผู้บัญญัติกฎหมายมีความตั้งใจที่จะควบคุมบางประเด็นโดยเฉพาะ (อย่างถี่ถ้วน) (ซึ่งลักษณะนี้จะถูกบอกโดยนัยโดยเฉพาะด้วยการใช้คำของบทบัญญัตินั้นซึ่งมีตัวบ่งชี้ อาทิ "เท่านั้น" "โดยเฉพาะ" "โดยลำพัง" "ตลอด" "เสมอ") หรือซึ่งมีความหมายที่แน่นอนและไม่ซับซ้อน
ในกฎหมายแพ่ง หรือกฎหมายเอกชน มีการยึดเป็นกฎว่าแนวเทียบนั้นได้รับการอนุญาตหรือแม้แต่คำสั่งให้มีการใช้โดยกฎหมาย แต่ในกฎหมายแขนงนี้ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่จำกัดขอบเขตการใช้งานของการให้เหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นการห้ามใช้แนวเทียบเมื่อเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติที่เกี่ยวกับขีดจำกัดด้านเวลา หรือการห้ามพึ่งพาการอ้างเหตุผลโดยอาศัยแนวเทียบโดยทั่วไปที่จะนำไปสู่การขยายความบทบัญญัติเหล่านั้นซึ่งวาดถึงภาระหน้าที่บางประการหรือซึ่งเป็นคำสั่ง (อาณัติ) บางอย่าง ตัวอย่างอื่น ๆ นั้นเกี่ยวกับการใช้งานแนวเทียบในกฎหมายลักษณะทรัพย์สิน โดยเฉพาะเวลาที่จะบัญญัติสิทธิในทรัพย์สินใหม่ ๆ จากมัน หรือเมื่อจะขยายความบทบัญญัติเหล่านี้ซึ่งใช้คำศัพท์ที่ไม่กำกวมและเรียบง่ายชัดเจน[ 55]
การสอน
นิยามของแนวเทียบในวาทศาสตร์ คือการเปรียบเทียบระหว่างคำศัพท์ แต่แนวเทียบยังถูกใช้ในการสอนด้วย แนวเทียบที่ถูกใช้ในการสอนคือการเปรียบเทียบระหว่างหัวข้อที่นักเรียนคุ้นเคยอยู่แล้วกับหัวข้อใหม่ที่กำลังนำเสนอ เพื่อให้นักเรียนเข้าในหัวข้อนั้นได้ดีกว่า และเชื่อมโยงกลับเข้ากับความรู้ที่มีอยู่ก่อน ชอว์น เอ็ม. กลินน์ (Shawn M. Glynn) ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาที่มหาวิทยาลัยจอร์เจีย ได้พัฒนาทฤษฎีการสอนโดยอาศัยแนวเทียบ และขั้นตอนการอธิบายกระบวนการสอนด้วยวิธีนี้ ขั้นตอนสำหรับการสอนด้วยแนวเทียบมีดังนี้ อันดับแรกคือการนำเสนอหัวข้อใหม่ที่กำลังจะถูกสอน และให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหัวข้อนั้น อันดับสองคือการทบทวนแนวคิดที่นักเรียนรู้อยู่แล้วเพื่อรับประกันว่าพวกเขามีความรู้ที่เหมาะสมเพื่อประเมินความคล้ายกันระหว่างทั้งสองแนวคิด อันดับสามคือการค้นหาลักษณะที่เกี่ยวข้องภายในแนวเทียบของทั้งสองแนวคิด อันดับสี่คือการค้นหาความคล้ายกันระหว่างทั้งสองแนวคิดเพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบและเปรียบต่าง ระหว่างทั้งสองเพื่อทำความเข้าใจ อันดับห้าเป็นการชี้ให้เห็นว่าแนวเทียบนั้นจะใช้ไม่ได้ระหว่างทั้งสองแนวคิดที่จุดไหน และสุดท้ายอันดับที่หกเป็นการหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวเทียบและการเปรียบเทียบเนื้อหาใหม่กับเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว โดยปกติแล้ววิธีนี้จะถูกใช้เพื่อเรียนหัวข้อในวิชาวิทยาศาสตร์[ 56]
ใน ค.ศ. 1989 เคร์รี รูฟ (Kerry Ruef) ซึ่งเป็นครูคนหนึ่ง ได้เริ่มโครงการใหม่ ซึ่งเธอตั้งชื่อว่าโครงการไพรเวตอายส์ (Private Eye Project) โดยเป็นวิธีการสอนซึ่งใช้แนวเทียบในห้องเรียนเพื่ออธิบายหัวข้อได้ดีขึ้น เธอได้มีความคิดที่จะใช้แนวเทียบเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรเพราะครั้งหนึ่งเธอกำลังสังเกตวัตถุต่าง ๆ แล้วบอกว่า "ในหัวไม่มีอะไรเลยว่าวัตถุพวกนี้ทำให้นึกถึงอะไร" นี่ทำให้เธอสอนด้วยคำถามว่า "[หัวข้อหรือวิชาหนึ่ง]ทำให้คุณนึกถึงอะไร" แนวคิดในการเปรียบเทียบหัวข้อและแนวคิดต่าง ๆ นำไปสู่การพัฒนาโครงการวิธีการสอนแบบโครงการไพรเวตอายส์ของเธอ[ 57] นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมการสอนซึ่งถือกำเนิดขึ้น ซึ่งใช้แนวเทียบแบบเห็นภาพสำหรับการสอนและงานวิจัยแบบสหวิทยาการ ตัวอย่างเช่นระหว่างวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ [ 58]
ศาสนา
โรมันคาทอลิก
สังคายนาลาเตรันครั้งที่สี่ (Fourth Council of the Lateran) ค.ศ. 1215 กล่าวว่า เพราะระหว่างผู้สร้างสรรค์กับสิ่งสร้างสรรค์ ไม่สามารถมีความคล้ายคลึงที่สังเกตซึ่งมากเสียจนความไม่คล้ายกันที่มากกว่าระหว่างทั้งสองนั้นมองไม่เห็น [ 59]
หัวข้อนี้ในเทววิทยาเรียกว่า อะนะลอเกีย แอนติส (analogia entis) ผลพวงของทฤษฎีนี้คือการที่ข้อความที่เป็นจริงทั้งหมดซึ่งกล่าวถึงพระเป็นเจ้า นั้นจะเป็นเชิงแนวเทียบหรือเป็นประมาณการ และจะไม่แสดงถึงความเท็จใด ๆ[ 60] ข้อความที่เป็นจริงและเป็นเชิงแนวเทียบเหล่านั้นเช่น พระเจ้าทรงเป็น... , พระเจ้าทรงเป็นความรัก , พระเจ้า [...] ทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ , พระยาห์เวห์สถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ หรือตรีเอกภาพ ของพระเจ้า โดยที่ เป็น , รัก , ไฟ , ใกล้ , และเลขสามนั้นจะต้องถือว่าเป็นแนวเทียบที่ทำให้มนุษย์สามารถรับรู้สิ่งที่อยู่เหนือจากภาษาเชิงบวกหรือเชิงลบ (Apophatic theology)
ชีวิตประจำวัน
แนวเทียบสามารถถูกใช้เพื่อหาคำตอบสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ หากบางสิ่งใช้ได้กับอย่างหนึ่ง ก็อาจใช้ได้กับอีกอย่างหนึ่งเช่นกันซึ่งมีความกล้ายกัน แนวเทียบช่วยในการตัดสินใจเลือกและการคาดการณ์ และรวมไปถึงความคิดเห็นและการประเมินต่าง ๆ ที่ผู้คนถูกบังคับให้ทำในชีวิตประจำวัน[ 41]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
↑ Martin, Michael A. (2003). " "It's like... you know": The Use of Analogies and Heuristics in Teaching Introductory Statistical Methods" . Journal of Statistics Education . 11 (2). เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 7 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 10 ธันวาคม 2012 .
↑ Turney 2006
↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Shelley 2003
↑ พระมหาชัยวุธ โภชนุกูล (8 เมษายน 2007). "เอกัตถะ (Univocal) ยุคลัตถะ (Equivocal) และสมานัตถะ (Analogous)" . gotoknow.org . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2021 .
↑ Hochschild, J. P. (2010). The semantics of analogy: rereading Cajetan's De nominum analogia . นอเตอร์เดม รัฐอินดีแอนา : University of Notre Dame Press. ISBN 9780268081676 .
↑ Hallaq, Wael B. (1985–1986). "The Logic of Legal Reasoning in Religious and Non-Religious Cultures: The Case of Islamic Law and the Common Law" . Cleveland State Law Review . 34 (1): 79–96 [93–95]. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มีนาคม 2020.
↑ Mas, Ruth (1998). "Qiyas: A Study in Islamic Logic" (PDF) . Folia Orientalia . 34 : 113–128. ISSN 0015-5675 . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กรกฎาคม 2008.
↑ Sowa, John F.; Majumdar, Arun K. (2003). "Analogical reasoning" . Conceptual Structures for Knowledge Creation and Communication, Proceedings of ICCS 2003 . Berlin: Springer-Verlag. pp. 16–36. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 เมษายน 2010.
↑ 9.0 9.1 Gentner 1983
↑ Holyoak, K.J., and Thagard, P. (1997). The Analogical Mind .
↑ Hummel, J.E., and Holyoak, K.J. (2005). Relational Reasoning in a Neurally Plausible Cognitive Architecture เก็บถาวร 2021-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
↑ Doumas, Hummel & Sandhofer 2008
↑
Keane, M.T.; Brayshaw, M. (1988). "The Incremental Analogical Machine: a computational model of analogy." . ใน Sleeman, D.H. (บ.ก.). EWSL'88: Proceedings of the 3rd European Conference on European Working Session on Learning . กลาสโกว์ : Pitman. pp. 53–62. ISBN 9780273088004 . S2CID 7368847 .
↑ Keane, Ledgeway & Duff 1994
↑ Keane 1997
↑ Chalmers, French & Hofstadter 1996
↑ Forbus et al. 1998
↑ Morrison & Dietrich 1999
↑ Cornuéjols 1996
↑ Rissanen, J. (1989). Stochastical Complexity and Statistical Inquiry . World Scientific Publishing Company. doi :10.1142/0822 . ISBN 9789814507400 .
↑ Wallace, C. S.; Boulton, D. M. (สิงหาคม 1968). "An information measure for classification" (PDF) . Computer Journal . 11 (2): 185–194. doi :10.1093/comjnl/11.2.185 . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 กรกฎาคม 2022.
↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 22.5 22.6 Gentner, Dedre (2006), "Analogical Reasoning, Psychology of" , Encyclopedia of Cognitive Science (ภาษาอังกฤษ), American Cancer Society, doi :10.1002/0470018860.s00473 , ISBN 9780470018866 , สืบค้นเมื่อ 9 ธันวาคม 2020
↑ 23.0 23.1 23.2 Gentner, D.; Gunn, V. (June 2001). "Structural alignment facilitates the noticing of differences" . Memory & Cognition . 29 (4): 565–577. doi :10.3758/bf03200458 .
↑ 24.00 24.01 24.02 24.03 24.04 24.05 24.06 24.07 24.08 24.09 24.10 Gentner, Dedre; Smith, Linsey A. (2013-03-11). Reisberg, Daniel (บ.ก.). "Analogical Learning and Reasoning" . The Oxford Handbook of Cognitive Psychology (ภาษาอังกฤษ). doi :10.1093/oxfordhb/9780195376746.001.0001 . ISBN 9780195376746 . สืบค้นเมื่อ 2020-12-09 .
↑ 25.0 25.1 25.2 Gentner, Dedre; Stevens, Albert L. (14 มกราคม 2014). Mental Models (ภาษาอังกฤษ). Psychology Press. doi :10.4324/9781315802725 . ISBN 9781315802725 .
↑ 26.0 26.1 Clement, Catherine A.; Gentner, Dedre (1 มกราคม 1991). "Systematicity as a selection constraint in analogical mapping" . Cognitive Science (ภาษาอังกฤษ). 15 (1): 89–132. doi :10.1016/0364-0213(91)80014-V . ISSN 0364-0213 .
↑ 27.0 27.1 27.2 27.3 Gentner, Dedre; Hoyos, Christian (2017). "Analogy and Abstraction" . Topics in Cognitive Science (ภาษาอังกฤษ). 9 (3): 672–693. doi :10.1111/tops.12278 . ISSN 1756-8765 . PMID 28621480 .
↑ 28.0 28.1 28.2 28.3 28.4 28.5 Hespos, Susan J.; Anderson, Erin; Gentner, Dedre (2020), Childers, Jane B. (บ.ก.), "Structure-Mapping Processes Enable Infants' Learning Across Domains Including Language" , Language and Concept Acquisition from Infancy Through Childhood: Learning from Multiple Exemplars (ภาษาอังกฤษ), Cham: Springer International Publishing, pp. 79–104, doi :10.1007/978-3-030-35594-4_5 , ISBN 9783030355944 , สืบค้นเมื่อ 9 ธันวาคม 2020
↑ Christie, Stella; Gentner, Dedre; Call, Josep; Haun, Daniel Benjamin Moritz (กุมภาพันธ์ 2016). "Sensitivity to Relational Similarity and Object Similarity in Apes and Children" . Current Biology . 26 (4): 531–535. doi :10.1016/j.cub.2015.12.054 .
↑ Hofstadter 2001
↑ 31.0 31.1 Research and Education Association (มิถุนายน 1994). "2. Analogies" . ใน Fogiel, M (บ.ก.). Verbal Tutor for the SAT . Piscataway, New Jersey: Research & Education Assoc. pp. 84–86. ISBN 9780878919635 . OCLC 32747316 . สืบค้นเมื่อ 25 มกราคม 2018 .
↑ Schwartz, Linda; Heidrich, Stanley H.; Heidrich, Delana S. (1 มกราคม 2007). Power Practice: Analogies and Idioms, eBook . Huntington Beach, Calif.: Creative Teaching Press. pp. 4–. ISBN 9781591989530 . OCLC 232131611 . สืบค้นเมื่อ 25 มกราคม 2018 .
↑ Hock, Hans Henrich (2003). "Analogical Change". ใน Joseph, Brian D.; Janda, Richard D. (บ.ก.). The Handbook of Historical Linguistics (PDF) . Oxford: Blackwell. p. 442. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 12 กรกฎาคม 2022.
↑ Fertig, David L. (2013). Analogy and Morphological Change . Edinburgh University Press. p. 8. ISBN 9780748646234 .
↑ Garrett, Andrew (24 มกราคม 2008), Paradigmatic Uniformity and Markedness (PDF) , p. 1, doi :10.1093/ACPROF:OSO/9780199298495.003.0006 , S2CID 124495213 , เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 เมษายน 2021
↑ Mattiello, Elisa (มกราคม 2016). "Analogical neologisms in English" (PDF) . Italian Journal of Linguistics . 28 (2): 105, 128. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2022.
↑ "underwhelm - definition of underwhelm in English | Oxford Dictionaries" . Oxford Dictionaries | English . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 สิงหาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2017 .
↑ Langacker, Ronald W. (1987). Foundations of Cognitive grammar: Theoretical prerequisites, Volume I . Stanford: Stanford University Press. pp. 445–447. ISBN 9780804738514 .
↑ Hickey, Raymond. "The Neogrammarian view" . Studying the History of English . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2022. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2022 .
↑ Bartha, Paul (25 มกราคม 2019) [2013]. "Analogy and Analogical Reasoning" . Stanford Encyclopedia of Philosophy . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 กรกฎาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2022 . Analogies are widely recognized as playing an important heuristic role, as aids to discovery. They have been employed, in a wide variety of settings and with considerable success, to generate insight and to formulate possible solutions to problems.
↑ 41.0 41.1 41.2 41.3 Koszowski 2017a , pp. 3–19
↑ Walker, Mark D.; Garlovsky, David (2016). "Going with the flow: Using analogies to explain electric circuits" . School Science Review . 97 (361): 51–58. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 เมษายน 2022.
↑ Phillips, Steven; Wilson, William H. (กรกฎาคม 2010). "Categorial Compositionality: A Category Theory Explanation for the Systematicity of Human Cognition" . PLOS Computational Biology . 6 (7): e1000858. Bibcode :2010PLSCB...6E0858P . doi :10.1371/journal.pcbi.1000858 . PMC 2908697 . PMID 20661306 .
↑ Phillips, Steven; Wilson, William H. (สิงหาคม 2011). "Categorial Compositionality II: Universal Constructions and a General Theory of (Quasi-)Systematicity in Human Cognition" . PLOS Computational Biology . 7 (8): e1002102. Bibcode :2011PLSCB...7E2102P . doi :10.1371/journal.pcbi.1002102 . PMC 3154512 . PMID 21857816 .
↑ Zhang, Y.; Jatowt, A.; Bhowmick, S.; Tanaka, K. (กรกฎาคม 2015). "Omnia mutantur, nihil interit: Connecting past with present by finding corresponding terms across time" (PDF) . Proceedings of the 53rd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics and the 7th International Joint Conference on Natural Language Processing (Volume 1: Long Papers) . The 53rd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics and The 7th International Joint Conference of the Asian Federation of Natural Language Processing. pp. 645–655. doi :10.3115/v1/P15-1063 . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 มีนาคม 2022.
↑ Zhang, Y.; Jatowt, A.; Tanaka, K. (ธันวาคม 2016). "Towards understanding word embeddings: Automatically explaining similarity of terms" . Proceedings of 2016 IEEE International Conference on Big Data (Big Data) . 2016 IEEE International Conference on Big Data (Big Data). IEEE. pp. 823–832. doi :10.1109/BigData.2016.7840675 . {{cite conference }}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์ )
↑ Koszowski 2017b , p. 1
↑ Koszowski 2017b , pp. 1–2
↑ Koszowski 2017b , p. 3
↑ Koszowski 2017b , pp. 2–3
↑ Koszowski 2017b , p. 5
↑ Koszowski 2017b , p. 4
↑ Koszowski 2017b , p. 7
↑ Koszowski, M. (2016a). "The Scope of Application of Analogical Reasoning in Precedential Law" . Liverpool Law Review . 37 (1/2016): 9–32. doi :10.1007/s10991-016-9178-y .
↑ Koszowski, M. (2016b). "Restrictions on the Use of Analogy in Law" . Liverpool Law Review . 37 (3/2016): 137–151. doi :10.1007/s10991-016-9186-y .
↑ Glynn, Shawn M. (เมษายน 2007). "The Teaching-with-Analogies Model: Build Conceptual Bridges with Mental Models". Science and Children . 44 (8): 52–55. ISSN 0036-8148 . ERIC EJ766563 .
↑ Johnson, Katie (กันยายน 1995). "Exploring the World with the Private Eye". Educational Leadership . 53 (1): 52–55. ISSN 0013-1784 . ERIC EJ511724
↑ Petrucci, Mario. "Crosstalk, Mutation, Chaos: bridge-building between the sciences and literary studies using Visual Analogy" . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กันยายน 2013. investigate literary studies by means of attractive analogies taken principally from science and mathematics. These analogies bring to literary discourse a stock of exciting visual ideas for teaching and research [...]
↑ สังคายนาลาเตรันครั้งที่สี่ (20 กุมภาพันธ์ 2020) [1215]. "On the error of abbot Joachim". Constitutions . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มิถุนายน 2022. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2022 . For between creator and creature there can be noted no similarity so great that a greater dissimilarity cannot be seen between them.
↑ Betz, John R. (มกราคม 2019). "The Analogia Entis as a Standard of Catholic Engagement: Erich Przywara's Critique of Phenomenology and Dialectical Theology" (PDF) . Modern Theology . 35 (1). doi :10.1111/moth.12462 . ISSN 1468-0025 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 16 มกราคม 2021. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2022 .
บรรณานุกรม
Cajetan, Tommaso De Vio (1953) [1498]. The Analogy of Names and the Concept of Being . แปลโดย Koren, Henry J.; Bushinski, Edward A. Pittsburgh: Duquesne University Press.
Chalmers, D.J.; French, R.M.; Hofstadter, D.R. (1996) [1991]. "High-Level Perception, Representation, and Analogy: A Critique of Artificial Intelligence Methodology" . Journal of Experimental & Theoretical Artificial Intelligence . 4 (3). doi :10.1080/09528139208953747 – โดยทาง ResearchGate.
Coelho, Ivo (2010). "Analogy." ACPI Encyclopedia of Philosophy . Ed. Johnson J. Puthenpurackal. Bangalore: ATC. 1:64-68.
Cornuéjols, A. (1996). "Analogie, principe d'économie et complexité algorithmique" (PDF) . Actes des 11èmes Journées Françaises de l’Apprentissage (ภาษาฝรั่งเศส). Sète. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 4 มิถุนายน 2012.
Doumas, L.A.A.; Hummel, J.E.; Sandhofer, C. (2008). "A Theory of the Discovery and Predication of Relational Concepts" (PDF) . Psychology Review . 115 (1): 1–43. doi :10.1037/0033-295X.115.1.1 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 15 เมษายน 2012.
Drescher, F. (2017). "Analogy in Thomas Aquinas and Ludwig Wittgenstein. A comparison". New Blackfriars . 99 (1081): 346–359. doi :10.1111/nbfr.12273 .
Forbus, Kenneth D.; Gentner, Dedre; Markman, Arthur B.; Ferguson, Ronald W. (1998). "Analogy just looks like high level perception : why a domain-general approach to analogical mapping is right" (PDF) . Journal of Experimental and Theoretical Artificial Intelligence . 10 (2): 231–257. doi :10.1080/095281398146842 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 25 พฤษภาคม 2006.
Gentner, D. (1983). "Structure-Mapping: A Theoretical Framework for Analogy" (PDF) . Cognitive Science . 7 (2): 155–170. doi :10.1207/s15516709cog0702_3 . S2CID 12424544 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 12 มีนาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2021 .
Gentner, D., Holyoak, K.J., Kokinov, B. (Eds.) (2001). The Analogical Mind: Perspectives from Cognitive Science. Cambridge, MA, MIT Press, ISBN 0-262-57139-0
Hofstadter, D.R. (2001). "Epilogue: Analogy as the Core of Cognition" (PDF) . ใน Gentner, Dedre; Holyoak, Keith J.; Kokinov, Boicho N. (บ.ก.). The Analogical Mind: Perspectives from Cognitive Science . เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์: The MIT Press. pp. 499–538. ISBN 9780262316057 .
Holland, J.H., Holyoak, K.J., Nisbett, R.E., and Thagard, P. (1986). Induction: Processes of Inference, Learning, and Discovery . Cambridge, MA, MIT Press, ISBN 0-262-58096-9 .
Holyoak, K.J., and Thagard, P. (1995). Mental Leaps: Analogy in Creative Thought . Cambridge, MA, MIT Press, ISBN 0-262-58144-2 .
Itkonen, E. (2005). Analogy as Structure and Process. Amsterdam/Philadelphia: John Benjamins Publishing Company.
Juthe, A. (2005). "Argument by Analogy" , in Argumentation (2005) 19: 1–27.
Keane, M.T.; Ledgeway, T.; Duff, S. (1994). "Constraints on analogical mapping: a comparison of three models" . Cognitive Science . 18 (3): 387–438. doi :10.1207/s15516709cog1803_2 .
Keane, M.T. (1997). "What makes an analogy difficult? The effects of order and causal structure in analogical mapping" . Journal of Experimental Psychology: Learning, Memory, and Cognition . 23 (4): 946–967. doi :10.1037/0278-7393.23.4.946 .
Koszowski, M. (2017a). "Multiple Functions of Analogical Reasoning in Science and Everyday Life" (PDF) . Polish Sociological Review (1/2017): 3–19. S2CID 149271881 . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 กรกฎาคม 2022.
Koszowski, M. (2017b). "Analogical Reasoning in Statutory Law" (PDF) . Journal of Forensic Research . 8 (2). doi :10.4172/2157-7145.1000372 . ISSN 2157-7145 . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 สิงหาคม 2020.
* Lamond, Grant (20 มิถุนายน 2006). "Precedent and Analogy in Legal Reasoning" . Stanford Encyclopedia of Philosophy . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 กรกฎาคม 2022.
Little, J. (2000). "Analogy in Science: Where Do We Go From Here?". Rhetoric Society Quarterly . 30 : 69–92. doi :10.1080/02773940009391170 . S2CID 145500740 .
Little, J. (2008). "The Role of Analogy in George Gamow's Derivation of Drop Energy". Technical Communication Quarterly . 17 (2): 1–19. doi :10.1080/10572250701878876 . S2CID 32910655 .
Melandri, Enzo. La linea e il circolo. Studio logico-filosofico sull'analogia (1968), Quodlibet, Macerata 2004 prefazione di Giorgio Agamben.
Morrison, C.; Dietrich, E. (พฤศจิกายน 1999), Structure-Mapping vs. High-level Perception (PDF) , เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 พฤษภาคม 2006
Pessali, H.; Dalto, F. and Fernández, R. (2015). Analogies we suffer by: the case of the state as a household . In: Tae-Hee Jo; Zdravka Todorova (Org.). Advancing the Frontiers of Heterodox Economics: Essays in Honor of Frederic S. Lee . Nova Iorque: Routledge, p. 281-295.
Perelman, Ch, Olbrechts-Tyteca, L. (1969), The New Rhetoric: A Treatise on Argumentation, Notre Dame 1969.
Ross, J.F., (1982), Portraying Analogy . Cambridge: Cambridge University Press.
Ross, J.F. (October 1970). "Analogy and The Resolution of Some Cognitivity Problems" . The Journal of Philosophy . 67 (20): 725–746. doi :10.2307/2024008 . JSTOR 2024008 .
Ross, J.F. (September 1961). "Analogy as a Rule of Meaning for Religious Language" . International Philosophical Quarterly . 1 (3): 468–502. doi :10.5840/ipq19611356 .
Ross, J.F., (1958), A Critical Analysis of the Theory of Analogy of St Thomas Aquinas , (Ann Arbor, MI: University Microfilms Inc).
Shelley, C. (2003). Multiple analogies in Science and Philosophy . อัมสเตอร์ดัม /ฟิลาเดลเฟีย : John Benjamins Publishing Company. doi :10.1075/hcp.11 . ISBN 9789027296580 .
Turney, P.D.; Littman, M.L. (2005). "Corpus-based learning of analogies and semantic relations". Machine Learning . 60 (1–3): 251–278. arXiv :cs/0508103 . doi :10.1007/s10994-005-0913-1 . S2CID 9322367 .
Turney, P.D. (2006). "Similarity of semantic relations". Computational Linguistics . 32 (3): 379–416. arXiv :cs/0608100 . doi :10.1162/coli.2006.32.3.379 . S2CID 2468783 .
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiquote