เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล (อังกฤษ: F-15E Strike Eagle) เป็นเครื่องบินขับไล่ทุกสภาพอากาศสัญชาติอเมริกันที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเข้าไปในพื้นที่ของศัตรูที่อยู่ในระยะไกล มันเป็นการดัดแปลงมาจากเอฟ-15 อีเกิลซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่เหนือชั้น เอฟ-15อีได้พิสูจน์ความมีค่าของมันในปฏิบัติการดีเซิร์ทสตอร์มโดยทำการโจมตีเป้าหมายสำคัญ ต่อสู้ทางอากาศ และให้การสนับสนุนกับทหารราบในสงครามอ่าว เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลแตกต่างจากเอฟ-15 ทั่วไปตรงที่มันมีลายพรางที่เข้มกว่าและถังเชื้อเพลิงที่ติดอยู่ด้านข้างของเครื่องยนต์
การพัฒนา
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2524 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้แจ้งให้ทราบถึงโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่เพื่อมาสิ่งที่จะมาแทนที่เอฟ-111 อาร์ดวาร์ค คอนเซปท์คืออากาศยานที่สามารถทำภารกิจเข้าไปในแดนข้าศึกได้โดยปราศจากการสนับสนุนโดยเครื่องบินขับไล่คุ้มกันหรือการเข้ารบกวนสัญญาณ เจเนรัลไดนามิกส์เสนอเอฟ-16เอ็กซ์แอลในขณะที่แมคดอนเนลล์ ดักลาสเสนอแบบหนึ่งของเอฟ-15 อีเกิล ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็เห็นด้วยกับเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลของแมคดอนเนลล์ ดักลาส[1]
การบินครั้งแรกของเอฟ-15อีเกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2529[1] เอฟ-15อีลำแรกได้ถูกส่งให้กับกองบินที่ 405 ที่ฐานทัพอากาศลุคในเดือนเมษายนพ.ศ. 2531 "สไตรค์อีเกิล"ได้ปฏิบัติการครั้งแรกในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2532 ที่ฐานทัพอากาศเซย์เมอร์ จอห์นสันในทางเหนือของแคโรไลน่า[1]
แบบที่แตกต่างของเอฟ-15อีได้ถูกสร้างขึ้นให้กับอิสราเอล (เอฟ-15ไอ) เกาหลี (เอฟ-15เค) ซาอุดิอาระเบีย (เอฟ-15เอส) และสิงคโปร์ (เอฟ-15เอสจี)
เอฟ-15อีจะถูกพัฒนาด้วยเรดาร์แบบเรย์ธีออน เอพีจี-63 หลังจากปีพ.ศ. 2550 มันประกอบด้วยหน่วยประมวลผลของเอพีจี-79 ที่ใช้ในเอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ทพร้อมกับเสาอากาศของเอพีจี63(วี)3 ที่ใช้กับเอฟ-15ซี[2] เรดาร์ถูกคาดว่าจะเริ่มพัฒนาในพ.ศ. 2551[3]
ขณะที่เอฟ-15ซี/ดีส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยเอฟ-22 แร็พเตอร์แต่ก็ไม่มีการแทนที่ของเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลเป็นแบบล่าสุดของเอฟ-15 และมีความแข็งแกร่งกว่ารุ่นอื่นก่อนหน้าถึงเท่าตัว เอฟ-15อีถูกคาดหวังว่าจะยังคงประจำการอยู่ถึงพ.ศ. 2568[4] กองทัพอากาศในปัจจุบันกำลังมองหาเครื่องบินทิ้งระเบิดยุคใหม่ เป็นรุ่นที่ต้องเหนือกว่าสไตรค์อีกเกิล แบบเอของเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2 ซึ่งคาดการว่าในที่สุดจะมาแทนที่อากาศยานจู่โจมมากมายอย่างเอฟ-16 และเอ-10 สามารถเข้ามาทำบทบาทของเอฟ-15อีได้อีกด้วย
การออกแบบ
ความสามารถในการทำภารกิจโจมตีในแดนลึกของเอฟ-15อีแตกต่างจากจุดประสงค์ของต้นแบบเอฟ-15 เพราะเอฟ-15 ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินขับไล่เหนือชั้น[5] อย่างไรก็ตามโครงสร้างต้นแบบนั้นก็ได้พิสูจน์ถึงความหลากประโยชน์ซึ่งมากพอที่จะเป็นเครื่องบินขับไล่ ขณะที่ถูกออกแบบสำหรับโจมตีภาคพื้นดินเอฟ-15อีก็มีความร้ายกาจในการโจมตีแบบอากาศสู่อากาศของเอฟ-15 มาด้วย และสามารถป้องกันตัวเองได้จากอากาศยานของข้าศึก[6]
ต้นแบบของเอฟ-15อีเป็นการดัดแปลงของเอฟ-15บีที่มีสองที่นั่ง เอฟ-15อียังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างและเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ที่นั่งด้านหลังมีไว้เพื่อนักบินที่จะควบคุมระบบอาวุธ นักบินตำแหน่งนี้จะใช้จอจำนวนมากเพื่อแสดงข้อมูลจากเรดาร์ เซ็นเซอร์อินฟราเรด สถานะอาวุธและข้าศึก เป้าหมายและใช้แผนที่อิเลคทรอนิคเพื่อใช้ในการนำทาง เครื่องควบคุมจะถูกใช้เพื่อเลือกข้อมูลของเป้าหมายใหม่ จอแสดงสามารถย้ายจากจอหนึ่งไปอีกจอหนึ่งได้โดยเลือกจากเมนูในหน้าจอตัวเลือก มันไม่เหมือนกับเจ็ทสองที่นั่งรุ่นก่อนๆ (อย่างเอฟ-4 แฟนทอม 2 และเอฟ-14 ทอมแคท) ซึ่งผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังจะขาดการควบคุมการบิน แต่ที่นั่งหลังของเอฟ-15อีนั้นจะมีคันบังคับที่ทำให้นักบินควบคุมอาวุธสามารถทำการบินได้หากจำเป็นถึงแม้ว่าจะลดการมองเห็นลง[7]
เพื่อขยายระยะทำการของมันเอฟ-15อีจึงมีถังเชื้อเพลิงที่ติดอยู่กับส่วนลำตัวของเครื่องบิน มันจะลดแรงฉุดได้มากกว่าถังเชื้อเพลิงที่มักอยู่ใต้ท้องแบบบเก่า พวกมันจะบรรจุเชื้อเพลิงได้ 2,800 ลิตรและมีจุดติดตั้งอาวุธทั้งหมดหกจุด อย่างไรก็ตามมันไม่เหมือนกับถังเชื้อเพลิงแบบเก่า ถังเชื้อเพลิงใหม่นี้ไม่สามารถปลดออกได้ดังนั้นการเพิ่มระยะทำการจึงต้องแลกด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ถังที่คล้ายคลึงกันสามารถติดตั้งบนเอฟ-15ซี/ดีและรุ่นอื่นๆ ได้ และกองทัพอากาศอิสราเอลใช้ทางเลือกนี้กับเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-15 เช่นเดียวกับเอฟ-15ไอของพวกเขา แต่มีเพียงเอฟ-15อีของสหรัฐฯ เท่านั้นที่ใช้ถังเชื้อเพลิงแบบใหม่นี้
ระบบการต่อสู้ของสไตรค์อีเกิลผสมผสานกับทุกระบบตอบโต้ของเครื่องบินที่รวมทั้งเรดาร์เตือนภัย ตัวรบกวนเรดาร์ เรดาร์ และเครื่องปล่อยพลุ ทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับระบบการต่อสู้เพื่อสร้างการป้องกันที่ครอบคลุมต่อการตรวจจับและการติดตาม
ระบนำทางใช้ไจโรสโคปแบบเลเซอร์เพื่อดูตำแหน่งของเครื่องอย่างตอ่เนื่องและให้ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์กลางและระบบอื่นๆ ที่รวมทั้งแผนที่ดิจิทัลในทั้งสองห้องนักบิน
ระบบเรดาร์แบบเอพีจี-70 ทำให้ลูกเรือสามารถระบุเป้าหมายยนพื้นดินได้จากระยะไกล จุดเด่นหนึ่งของระบบนี้คือหลังจากตรวจพบเป้าหมายบนพื้นแล้ว นักบินสามารถแช่ภาพนิ่งนั้นเอาไว้ได้ขณะที่เปลี่ยนเข้ารูปแบบอากาศสู่อากาศเพื่อจัดการกับภัยคุกคามทางอากาศ ในขณะที่ใช้อาวุธอากาศสู่พื้นนักบินจะสามารถตรวจพบ จับเป้า และเข้าปะทะเป้าหมายทางอากาศได้ในขณะที่นักบินควบคุมระบบอาวุธจัดการกับเป้าหมายเบื้องล่าง
ระบบนำร่องระดับความสูงต่ำและอินฟราเรดจับเป้าในตอนกลางคืนจะถูกติดตั้งอยู่ใต้เครื่องยนต์ มันทำให้เครื่องสามารถบินในระดับความสูงต่ำได้ในตอนกลางคืนและในสภาพอากาศใดๆ ก็ตามเพื่อโจมตีเป้าหมายบนพื้นด้วบอาวุธที่มีความแม่นยำ ระบบนี้ทำให้เอฟ-15อีมีความแม่นยำในทั้งตอนกลางวันหรือตอนกลางคืนและในสภาพอากาศที่แย่ ในตอนกลางคืนภาพวิดีโอจากระบบนี้สามารถฉายขึ้นบนหน้าจอห้องนักบินได้ มันจะให้ภาพที่คล้ายกับภาพที่นักบินเห็นในตอนกลางวัน
ส่วนของระบบนำทางจะบรรจุเรดาร์ภูมิประเทศซึ่งทำให้นักบินบินเครื่องได้อย่างปลอดภัยในระบบความสูงที่ต่ำมากๆ ได้ ระบบนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับนักบินอัตโนมัติได้อีกด้วย นอกจากนี้ส่วนดังกล่าวยังบรรจุระบบอินฟราเรดด้านหน้าซึ่งถูกฉายขึ้นบนจอห้องนักบินซึ่งใช้ในตอนกลางคืนหรือปฏิบัติการล่องหน
ส่วนจับเป้าจะบรรจุตัวระบุเลเซอร์และระบบติดตามซึ่งระบุศัตรูที่ต้องทำลายในระยะไกลถึง 16 กิโลเมตร เมื่อระบบติดตามเริ่มทำงานข้อมูลการจับเป้าจะถูกส่งอย่างอัตโนมัติไปยังอินฟราเรดขีปนาวุธของอากาศสู่อากาศหรือระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ส่วนนี้จะถูกติดตั้งอยู่ข้างใต้เครื่องยนต์ด้านซ้าย
สำหรับภารกิจอากาศสู่พื้นเอฟ-15อีสามารถบรรจุส่วนใหญ่ในคลังแสงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ มันยังสามารถติดอาวุธเป็นเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ เอไอเอ็ม-7 สแปร์โรว์ และเอไอเอ็ม-120 แอมแรมสำหรับการป้องกันตนเอง (ถึงแม้ว่าสไตรค์อีเกิลจะมีความสามารถในการต่อสู้ทางอากาศเหมือนกับตระกูลอีเกิล มันก็ไม่ค่อยถูกมอบหมายให้ทำภารกิจตอ่สู้ทางอากาศ) เช่นเดียวกับเอฟ-15ซี สไตรค์อีเกิลยังสามารถติดตั้งปืนเอ็ม61เอ1ของเจเนรัล อิเลคทริคขนาด 20 ม.ม.ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกับอากาศยานข้าศึกและเป้าหมายภาคพื้นที่บอบบาง
ประวัติการใช้งาน
สหรัฐอเมริกา
ปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์และดีเซิร์ทสตอร์ม
เอฟ-15อีถูกใช้งานเมื่ออิรักบุกเข้าคูเวตในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 ฝูงบินรบที่ 335 "ชิฟส์" และฝูงบินรบที่ 336 "ร็อกเกทเทียร์ส" ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมสำกรับการเคลื่อนพลหนึ่งสัปดาห์หลังจากการเข้าบุก ฝูงบินรบที่ 336 เริ่มเที่ยวบินของพวกเขาไปที่ฐานทัพอากาศซีบในโอมาน ถึงแม้ว่าภารกิจจะพร้อมแต่เอฟ-15อีก็ยังไม่สามารถบรรทุกอาวุธที่จำเป็นเพื่อตอบโต้กับการโจมตีของอิรักที่อาจเกิดขึ้นในซาอุดิอาระเบีย พวกมันสามารถบรรทุกได้แค่เพียงระเบิกมาร์ค 84 และมาร์ค 82 เท่านั้น ระเบิดแบบกลุ่มเป็นอาวุธประจำเมื่อโจมตียานพาหนะและทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ได้รับการทดสอบอย่างเต็มที่ ในช่วงการฝึกในโอมานเอฟ-15อีหนึ่งลำของฝูงบินที่ 336 ตกในวันที่ 30 กันยายนในการต่อสู้จำลองกับจากัวร์ จีอาร์1 ของกองทัพอากาศส่งผลให้นักบินและผู้ควบคุมอาวุธเสียชีวิต ในเดือนธันวาคมเอฟ-15อีสองฝูงบินถูกย้ายเข้าใกล้อิรักและถูกใช้งานที่ฐานทัพอากาศอัลคาจในซาอุดิอาระเบีย
ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 เอฟ-15อีจำนวน 24 ลำได้โจมตีที่ตั้งของขีปนาวุธสกั๊ดห้าแห่งในทางตะวันตกของอิรักและทำภารกิจจัดการที่ตั้งสกั๊ดยังคงดำเนินไปตลอดคืนด้วยการโจมตีระลอกที่สองที่ประกอบด้วยเอฟ-15อีจำนวน 24 ลำในสงครามเอฟ-15อีได้บินภารกิจล่าในตอนกลางคืนเหนืออิรักตะวนตกโดยตามหาเครื่องยิงสกั๊ดเคลื่อนที่ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศเพื่อนบ้าน เครื่องยิงสกั๊ดดังกล่าวนั้นหายากมาก หากเครื่องอี-8 จอย์นท์สตาร์สหาเป้าหมายพบสกั๊ดดัวกล่าวก็อาจถูกทำลายจนหมดเมื่อเอฟ-15อีมาถึง ด้วยการทิ้งระเบิดแบบสุ่มในบริเวณต้องสงสัยเอฟ-15อีก็หวังว่ามันจะสามารถขัดขวางทหารอิรักที่องหาจุดยิงได้
ในวันแรกของสงครามกลุ่มของสไตรค์อีเกิลถูกไล่ล่าโดยมิก-23จำนวน 3 ลำและมิก-29จำนวน 2 ลำและมีโอกาสสองครั้งสำหรับเอฟ-15อีที่จะทำแต้มด้วยการสังหารข้าศึก เอฟ-15อีหนึ่งลำไล่ล่ามิก-92 และพยายามเข้าปะทะแต่ก็ยากที่จะจับเป้าความร้อนจากมิก-29 เพื่อทำการยิงเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ ขีปนาวุธถูกยิงในที่สุดแต่ก็พลาดเป้า ในเวลาเดียวกับเอฟ-15อีหลายลำพยายามเข้าปะทะมิก-29 ลำหนึ่งแต่ความผิดพลาดและโชคร้ายทำให้พวกเขาพลาดอีกครั้ง เอฟ-15อีลำหนึ่งบินผ่านเจ็ทของอิรักและเข้าโจมตีแต่นักบินก็ลังเลที่จะยิงเพราะเขาไม่รู้ว่าลูกหมู่ของเขาอยู่ที่ไหนและเขาก็หาตำแหน่งสำหรับขีปนาวุธไซด์ไวน์เดอร์ไม่ได้ ไม่นานหลังจากนั้นขีปนาวุธไร้ที่มาถูกปล่อยในบริเวณและไม่นานหลังจากนั้นมิกก็ตกลงสู่พื้นเมื่อนักบินอิรักเข้าปะทะกับเอฟ-15อี มิก-29 อีกลำถูกยิงตกโดยลูกหมู่ของตัวเองและเอฟ-15อีถูกเข้าใกล้โดยมิก-29 อีกลำแต่นักบินเลือกที่จะไม่เข้าปะทะเมื่อเอฟ-14 ทอมแคทของกองทัพเรือกำลังเข้ามาร่วม[8][9]
ในคืนของวันที่ 18 มกราคมในขณะการโจมตีพีโทรลออยล์และโรงงานลูบริแคนท์ใกล้กับบาสราห์ เอฟ-15อีหนึ่งลำถูกยิงตกและนักบินทั้งสองเสียชีวิต ลูกเรือเอฟ-15อีบรรยายภารกิจนี้ว่าเป็นภารกิจที่ยากและอันตรายที่สุดในสงครามเพราะมันถูกป้องกันด้วยเอสเอ-3 เอสเอ-6 เอสเอ-8 และโรแลนด์เช่นเดียวกับป้อมต่อต้านอากาศยาน สองคืนต่อมาเอฟ-15เอสลำที่สองและลำสุดท้ายถูกยิงตกโดยเอสเอ-2 ของอิรัก ลูกเรือรอดชีวิตและสามารถหลบหนีการจับกุมได้หลายวันและพบกับอากาศยานของรัฐบาลร่วมสองลำ แต่ทีมกู้ภัยก็ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้เนื่องจากนักบินคนหนึ่งไม่สามารถระบุตัวได้ทางวิทยุ นักบินทั้งสองถูกจับโดยอิรักในเวลาต่อมา[10].
ถึงแม้ว่าเหยื่อของเอฟ-15อีจะหลุดมือไป สไตรค์อีเกิลสี่ลำก็ได้ทำลายเจ็ทของอิรัก 18 ลำที่ทัลลิล แต่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์โชคของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเอฟ-15ลำหนึ่งทำแต้มแรกด้วยการสังหารฆ่าศึกทางอากาศสู่อากาศโดยเหยื่อคือเอ็มไอแอล เอ็มไอ-24 การโจมตีเกิดขึ้นจากการขอความช่วยเหลือจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐฯ เมื่อเฮลิคอปเตอร์ห้าลำของอิรักปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าฝูงเอฟ-15อีได้เป้าของเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังปล่อยทหาอิรักจึงยิงจีบียู 10 หลังจากนั้น 30 วินาทีลูกเรือของเอฟ-15อีก็คิดว่าระเบิดพลาดเป้าและนักบินก็กำลังใช้ไซด์ไวน์เดอร์แทน แต่ทันใดนั้นเองเฮลิคอปเตอร์ก็กลายเป็นไอ หน่วยปฏิบัติการพิเศษคาดว่าเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวอยู่สูง 800 ฟุตในตอนที่ระเบิดขนาด 910 กิโลกรัมพุ่งชนมัน[11] แต่การสังหารจากอากาศสู่อากาศยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2544 พวกเขาพยายามที่จะโจมตีเฮลิคอปเตอร์ลำอื่นๆ แต่การทิ้งระเบิดของพันธมิตรก็เริ่มขึ้นรอบเอฟ-15อีดังนั้นนักบินจึงต้องตัดสินใจที่จะออกมาจากบริเวณดังกล่าว[8]
เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลยังคงตามล่าขีปนาวุธสกั๊ดต่อในช่วงสงครามและเข้าโจมตีเป้าหมายที่ป้องกันแน่นหนาในอิรัก พวกมันยังมีภารกิจลับที่พยายามสังหารซัดดัม ฮุสเซนโดยทิ้งระเบิดใส่สถานที่ที่เชื่อว่าประธานาธิบดีของอิรักหลบซ่อนแต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อสงครามทางพื้นดินเข้าใกล้ขึ้นเอฟ-15อีเริ่มโจมตีรถถังของอิรักและยานเกราะบรรทุกทหารในคูเวต
หลังจาก 42 วันที่ทรหดของเอฟ-15อีการหยุดยิงก็เกิดขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534 เขตห้ามบินทางตอนเหนือและตอนใต้ของอิรักถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินของอิรักคุกคามรัฐบาลร่วม ถึงกระนั้นเฮลิคอปเตอร์ของอิรักก็เข้าโจมตีค่ายอพยพเคอร์ดิชในทางตอนเหนือของอิรัก เอฟ-15อีที่ดูแลเขตห้ามบินมองดูอย่างช่วยเหลือไม่ได้เมื่อพลเมือง 600 คนในหมู่บ้านชามชามัลถูกโจมตีโดยเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากว่าเอฟ-15อีไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการยิงพวกเขาจึงต้องบินด้วยความเร็วสูงเข้าใกล้เฮลิคอปเตอร์โดยหวังว่าแรงลมจะทำให้ใบพัดของพวกมันขัดข้อง พวกเขายังยิงเลเซอร์เข้าใส่ห้องนักบินของอิรักโดยจะทำให้นักบินตาบอด เทคนิคดังกล่าวไม่ได้ผลแต่เทคนิคแรกได้ทำให้เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งตก ไม่นานผู้นำของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็ตระหนักถึงกิจกรรมเหล่านี้และสั่งให้เอฟ-15อีห้ามบินต่ำกว่า 10,000 ฟุต เอฟ-15อีให้การสนับสนุนในปฏิบัติการโพรไวด์คอมฟอร์ทและปฏิบัติการโพรไวด์คอมฟอร์ท 2 [12]
ปฏิบัติการเซาท์เธิร์นวอชท์และนอทเธิร์นวอชท์
หลังจากเขตห้ามบินสองแห่งในดีเซิร์ทสตอร์มถูกสร้างขึ้นเหนืออิรักและถูกดูแลโดยอากาศยานของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเป็นหลัก เอฟ-15อีจากฝูงบินรบที่ 494 "แบล็คแพนเธอร์" วางพลในตุรกีในพ.ศ. 2536 และ 253 ฝูงบินรบที่ 492 "แมดแฮทเทอร์" วางพลในพ.ศ. 2538 2539 และ 2540 เอฟ-15อีได้ทำการรบในทศวรรษถัดไปหลังจากนี้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2536 กำลังขนาดเล็กโจมตีเป้าหมายอิรักซึ่งได้ละเมิดกฎการหยุดยิง ไม่กี่วันต่อมาเอฟ-15อีจำนวนสิบลำได้มีส่วนร่วมในการโจมตีอีกครั้ง[13] ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการสนับสนุนปฏิบัติการทั้งสองเพื่อป้องกัน เนื่องมาจากสไตรค์อีเกิลสามารถบรรทุกอาวุธได้หลากหลายเข้าทำภารกิจมันจึงทำให้ลูกเรือเอฟ-15อีมีความยืดหยุ่น เอฟ-15อีทำงานภายใต้การควบคุมของเอแวคส์ (AWACS) และลูกเรือสามารถรับภารกิจทางอากาศและบินอย่างไร้แผนเพื่อเข้าโจมตีเป้าหมายอิรัก
อีกสามปีถัดมาความรุนแรงในเขตห้ามบินก็ลดลงเมื่อกองกำลังอิรักเริ่มถอนตัวและในปีพ.ศ. 2540 ตุรกีได้ตกลงร่วมปฏิบัติการนอทเธิร์นวอชท์และอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพได้ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2541 ปฏิบัติการดีเซิร์มฟอกซ์ถูกตั้งขึ้นเมื่ออิรักปฏิเสธนโยบายลดการผลิตอาวุธ
ในวันที่ 28 ธันวาคมเอฟ-15อีสามลำแต่ละลำทิ้งระเบิดจีบียู-12 สองลำยิงถูกฐานเรดาร์ของเอสเอ-3 เอฟ-15อีลำอื่นทิ้งระเบิดลูกหนึ่งถูกที่ตั้งบัญชาการขีปนาวุธเอสเอ-3 และลำลำอื่นก็ถูกเป้าเช่นเดียวกัน เอฟ-15อีลำอื่นในหมู่บินสี่ลำไม่ได้ทิ้งระเบิดใดๆ เนื่องจากไม่ได้การระบุตำแหน่งของเป้าหมายที่ชัดเจน
หลังจากดีเซิร์ทฟอกซ์อิรักได้รุกล้ำเขตห้ามบินและเอฟ-15อีก็ถูกมอบหมายให้ตอบโต้ เพียงแค่ในปฏิบัติการนอทเธิร์นวอชท์อาวุธถูกใช้อย่างมาก ในวันที่ 24 มกราคมและ 26 มกราคม พ.ศ. 2542 เอฟ-15อีใช้เอจีเอ็ม-130และจีบียู-15 เพื่อจัดการกับฐานยิงขีปนาวุธแซมในทางเหนือของอิรัก [14]
เอฟ-15อีเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ได้รับงานยากที่สุดในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ส่วนใหญ่แล้วเนื่องมาจากจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับเอฟ-16 เอฟ-15อีมักโจมตีฐานเก็บยุทธภัณฑ์ ที่ควบคุมและบัญชาการ และอาวุธต่อต้านอากาศยาน เอฟ-15อียังเข้ารบในการลาดตระเวนเหนืออิรักและยังทำงานร่วมกับเครื่องบินอื่นๆ อย่างเอฟ-15 เอฟ/เอ-18 และอีเอ-6บี โพรว์เลอร์ของกองทัพเรือเช่นเดียวกับเอฟ-16 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
ปฏิบัติการดีนายไฟลท์และปฏิบัติการอัลไลด์ฟอร์ซ
ปฏิบัติการดีนายไฟลท์ (Operation Deny Flight) เป็นการบังคับใช้เขตห้ามบินของสหประชาชาติเหนือบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเมื่อสถานการณ์ในบอลข่านเลวร้ายลงในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2536 หลังจากที่สภาความปลอดภัยของยูเอ็นได้ลงมติห้ามทั้งเครื่องบินและเครื่องบินปีกหมุนเข้ามาในเขตดังกล่าวนอกเสียจากได้รับการอนุญาตโดยยูเอ็น เอฟ-15อีจากฝูงบินรบที่ 492 และ 494 วางพลที่เอเวียโน่ในอิตาลี ในปลายปีพ.ศ. 2536 สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงและนาโต้ได้สั่งการเอฟ-15อีเข้าโจมตีเซอร์เบียโดยมีเป้าหมายเป็นสนามบินอับดิน่าในโครเอเทีย เอฟ-15อีจำนวนแปดลำติดอาวุธเป็นจีบียู-12 ได้เข้าโจมตีเอสเอ-6 ภารกิจถูกยกเลิกกลางคันเมื่อเอฟ-15อีไม่สามารถทำการโจมตีได้เนื่องมาจากความเข้มงวดของกฎในการเข้าปะทะ[15] ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นเอฟ-15อีถูกส่งไปทำลายที่ตั้งของเอสเอ-2 สองแห่งซึ่งได้เปิดฉากยิงใส่ซีแฮร์ริเออร์ของกองทัพเรือ[16] ภารกิจส่วนใหญ่ของเอฟ-15อีเป็นการเข้าโจมตีแนวหลังข้าศึกโดยห้ามมีการต่อสู้แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องทำการยิง ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2538 ฝูงบินรบที่ 90 ได้เข้าร่วมกับฝูงบินเอฟ-15อีอื่นๆ อีกสองสองฝูงบิน ฝูงบินรบที่ 492 และ 494 ทำการบินเช่นนี้กว่า 2,500 ครั้งตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการดีนายไฟลท์ และ 2,000 ครั้งเป็นของฝูงบินรบที่ 492 เนื่องมาจากพวกเขาถูกวางพลนานกว่าฝูงบินที่ 494 ในวันที่ 30 และ 31 สิงหาคม เอฟ-15อีได้เข้าโจมตียานเกราะและเสบียงของเซอร์เบียรอบๆ ซาราเจโวด้วยจีบียู-10 และจีบียู-12 ในวันที่ 5 กันยายนมีการทิ้งจีบียู-12 เพิ่มและสี่วันหลังจากนั้นจีบียู-15 ถูกทิ้งเป็นครั้งแรกของเอฟ-15อีและในที่สุดก็มีอีก 9 ลูกถูกทิ้งลงใส่เป้าหมายป้องกันทางอากาศและกองกำลังบอสเนียน-เซิร์บรอบๆ บันจา ลูคา[16]
ในพ.ศ. 2542 ปฏิบัติการอัลไลด์ฟอร์ซ (Operation Allied Force) ถูกเริ่มขึ้นหลังจากการย้ายออกของโคโซวาร์ หลังจากที่รัฐบาลเซอร์เบียปฏิเสธคำเตือนสุดท้ายของนาโต้ปฏิบัติการดังกล่าวก็เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2542 เอฟ-15อีจำนวน 26 ลำจากฝูงบินรบที่ 492 และ 494 มุ่งเน้นไปที่การโจมตีครั้งแรกในสงครามต่อกรกับที่ตั้งขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ ป้อมปืนต่อต้านอากาศยาน และสถานีเรดาร์เตือนภัยของเซิร์บ[17] สไตรค์อีเกิลเหล่านี้วางพลที่เอเวียโน่เช่นเดียวกับที่ลาเคนฮีธในสหราชอาณาจักร มีเพียงสไตรค์อีเกิลของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เท่านั้นที่ทำภารกิจสนับสนุนระยะใกล้ซึ่งเป็นความคิดใหม่ในปลายปีพ.ศ. 2533 แต่ปัจจุบันถูกนำไปใช้ในทั้งกองกำลังทางอากาศ (เอฟ-15อี เอฟ-16 และเอ-10)[18]ภารกิจส่วนใหญ่จะกินเวลา 7.5 ชั่วโมงและรวมทั้งการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศสองครั้ง และเอฟ-15อีจะทำภารกิจผสมระหว่างอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้นดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบินทั้งการลาดตระเวนทางอากาศและจากนั้นก็ทำการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายก่อนที่จะบินกลับฐาน[18]
ภัยที่ร้ายแรงที่สุดต่ออากาศยานพันธมิตรก็คือรถยิงขีปนาวุธแซม ลูกเรือเอฟ-15อีจะระวังต่อภัยคุกคามนี้อย่างมากเนื่องจากในอดีตมีอากาศยานมากมายถูกยิงตกเพราะมันและที่ดังที่สุดก็คือเครื่องเอฟ-117 ไนท์ฮอว์คที่ถูกยิงตกในสงคราม เมื่อภัยคุกคามมีมากขึ้นหรืออาวุธพิเศษเป็นที่ต้องการ เอจีเอ็ม-130 ก็ถูกใช้เพื่อทำลายเป้าหมายจากระยะปลอดภัย[19] มันถูกใช้เพื่อจัดการมิก-29 สองลำที่จอดอยู่อย่างได้ผล เอจีเอ็ม-130 เป็นอาวุธที่แพงอย่างมากและถูกใช้ต่อเป้าหมายพิเศษหรือเมื่อลูกเรือต้องการควบคุมอาวุธของพวกเขาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น ผู้ควบคุมอาวุธสามารถนำทางอาวุธเข้าสู่เป้าหมายหรือแม้กระทั่งยกเลิกและเปลี่ยนทางให้มันตกห่างจากผู้คนหากเป้าหมายนั้นอยู่ใกล้กับบริเวณชุมชนมากเกินไป ลูกเรือของนาโต้ถูกห้ามยิงใส่สิ่งก่อสร้างดังกล่าว เอฟ-15อีลำหนึ่งที่ติดอาวุธเป็นเอจีเอ็ม-130 ได้ทำลายสะพานก่อนที่รถไฟขนส่งผู้โดยสารจะผ่านเข้ามา มันส่งผลให้พลเมืองเสียชีวิต 14 ราย ในเดือนมิถุนายนพ.ศ. 2542 ซโลโบดัน มิโลเซวิคได้สั่งถอนกำลังออกจากคอซอวอ
ปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอม
หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนฝูงบินรบที่ 391 "เดอะโบลด์ไทเกอร์ส" ได้ออกจากฐานทัพอากาศอาเมด อัล วาเยอร์ในคูเวต 31 วันก่อนหน้า หน่วยดังกล่าวได้ถูกวางกำหนดการให้เข้าร่วมปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์แต่ตอนนี้กำลังเข้าสนับสนุนปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอม (Operation Enduring Freedom) ในช่วงการโจมตีแรกเอฟ-15อีพบกับกองกำลังต่อต้านเล็กน้อย เสบียงของกลุ่มตาลิบัน ฐานฝึกและถ้ำของกลุ่มอัลกออิดะห์เป็นเป้าหมายหลัก ทั้งเอจีเอ็ม-130 และจีบียู-15ถูกนำมาใช้และนี่เป็นประสบการณ์รบครั้งแรกของจีบียู-15[20] จีบียู-24 และจีบียู-28 ถูกใช้จัดการเป้าหมายที่แน่นหนา ศูนย์บัญชาการ และทางเข้าถ้ำ เอฟ-15อีมักจะทำงานคู่กับเอฟ-16ซี ภายในไม่กี่สัปดาห์เป้าหมายเกือบทั้งหมดถูกทำลายและมันเริ่มยากที่จะหาเป้าหมายที่มีค่า ตาลิบันใช้ขีปนาวุธเคลื่อนย้ายได้แบบเอสเอ-7 และเอฟไอเอ็ม-92 สติงเกอร์ซึ่งดูเหมือนไม่อันตรายต่ออากาศยานของสหรัฐฯ ตราบใดที่พวกเขาบินสูงกว่า 7,000 ฟุตและที่ตั้งของขีปนาวุธแซมที่อยู่ใกล้เมืองอย่างมาซาร์ ไอ ชาริฟและบาแกรมก็ถูกทำลายไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ ดังนั้นสภาพแวดล้อมจึงมีความอันตรายน้อยมาก[21]
ภายในสามสัปดาห์อากาศยานเริ่มบินภารกินสนับสนุนให้กับกองกำลังภาคพื้นดินที่ซึ่งเอฟ-15อีมักใช้ระเบิดเอ็มเค-81และจีบียู-12 แต่ก็ยังมีอาวุธแบบอื่นร่วมด้วย[21] เป้าหมายที่ตกเป็นเป้าบ่อยที่สุดในช่วงท้ายสงครามก็คือผู้คน ยานพาหนะและขบวนรถ และไม่ใช่ว่ามีเพียงระบบเบิดเท่านั้นที่ถูกใช้ เอฟ-15อียังใช้ปืนกลในหลายครั้งเช่นกัน[22] ในช่วงสามเดือนในปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอม ลูกเรือสี่นายของฝูงบินรบที่ 391 ได้ทำการบินที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ มันกินเวลา 15.5 ชั่วโมงและ 9 ชั่วโมงใช้ไปกับบริเวณเป้าหมาย เอฟ-15อีสองลำเข้าโจมตีศูนย์บัญชาการของตาลิบันสองแห่ง อาคารสองแห่งที่คาดว่าเป็นที่หลบภัยของนักรบตาลิบัน และที่กั้นถนนของตาลิบัน เอฟ-15อีเติมเชื้อเพลิง 12 ครั้งในภารกิจครั้งนี้[23] ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2546 ฝูงบินรบที่ 391ถูกส่งกลับบ้านและฝูงบินรบที่ 335 เข้าทำหน้าที่แทน ฝูงบินรบที่ 391 ยังทำการบินเข้าเขตศัตรูแปดครั้งต่อวันในช่วงที่พวกเขาวางพล ฝูงบินรบที่ 391 โดดเด่นด้วยการใช้บีแอลยู-118/บีเป็นครั้งแรกในการต่อสู้ มันถูกใช้เพื่อจัดการกับนักรบตาลิบันที่ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์
ความโดดเด่นอื่นนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคมเมื่อกลุ่มของเอฟ-15อีเข้าสนับสนุนในยุทธการเทือกเขาโรเบิร์ต เอฟ-15อีทำการบินครั้งแรกในภารกิจเข้าสนับสนุนระยะใกล้สำหรับ"เท็กซัส 14" โดยทำลายจุดสังเกตการณ์ของตาลิบัน 16 นาทีต่อมา"มาโค 30" ตกอยู่ภายใต้การยิงของปืนครกและเอฟ-15อีมุ่งเข้าตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ต่อมาก็พบว่าทหารที่ทำการติดต่อกับเอฟ-15อีนั้นไม่ใช้ผู้ควบคุมทางอากาศแต่เป็นนาวี ซีล และทีมกำลังค้นหาเอ็มเอช-47อี ชินุกที่ถูกซุ่มโจมตีในหุบเขาซาอาห์ ไอ คอท[24] อย่างไรก็ตามเอฟ-15อีได้ทิ้งระเบิดจีบียู-12 แต่หน่วยซีลก็ยังคงถูกยิงเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกทำให้สองนายบาดเจ็บและหนึ่งนายเสียชีวิต ระเบิดลูกที่สองถูกทิ้งแต่เนื่องมาจากพิกัดที่ผิดพลาดทำให้ระเบิดพลาดเป้า[24] ในขณะทำการสนับสนุนทีมซีลเอ็มเอช-47 ลำหนึ่งที่บรรทุกทีมช่วยเหลือถูกยิกตกโดยอาร์พีจี[25]
ตลอดทั้งหมดนี้เอฟ-15อีเพียงเพิ่งเติมเชื้อเพลิงเสร็จและถูกมอบหมายให้ทำงานกับ"เท็กซัส 14" ทีมที่สามบนเทือกเขา เอฟ-15อีทิ้งระเบิดจีบียู-12 ไปสิบเอ็ดลูกเพื่อช่วยเหลือกองกำลังภาคพื้น ไม่นานเอฟ-15อีได้ทำการสนับสนุนผู้รอดชีวิตจากเอ็มเอช-47 ที่ถูกยิงตกซึ่งพบศัตรูหากไป 75 เมตรจากตำแหน่งของพวกเขา สไตรค์อีเกิลไม่สามารถใช้ระเบิดได้ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ปืน พวกเขาใช้เฮลิคอปเตอร์ที่ตกเป็นจุดอ้างอิงและเริ่มทำการยิง[25] สไตรค์อีเกิลลำหนึ่งต้องกลับไปเติมเชื้อเพลิงและเอฟ-15อีเพียงลำเดียวคุยกับเอแวกส์ (AWACS) เพื่อเรียกให้อากาศยานลำอื่นเข้ามาทำการยิงในตำแหน่งดังกล่าว กลุ่มของเอฟ-16 จากฝูงบินรบที่ 18 มาถึงและทำหน้าที่ ไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจว่าต้องทิ้งระเบิดเนื่องจากทั้งสไตรค์อีเกิลและฟอลคอนหมดกระสุน เอฟ-15อีได้รับคำสั่งให้กลับฐานโดยเอแวกส์แต่พวกเขาสามารถสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นและกลับฐานทันทีหลังจากนั้น หลังจากที่มีปัญหากับวิทยุและอาวุธที่ไม่สามารถทำการทิ้งระเบิดได้ เอฟ-15อีก็ทำการทิ้งจีบียู-12 หนึ่งลูกและขออนุญาตทิ้งระเบิดที่เหลือแต่ก็ถูกสั่งให้บินกลับอัล จาเบอร์ในคูเวต[26]
ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เอฟ-15อีหนึ่งลำที่ถูกเรียกให้ทำการสนับสนุนระบะใกล้ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาจากิในอัฟกานิสถานได้ทิ้งระเบิดผิดใส่กองกำลังของอังกฤษและสังหารพลทหารไปสามนาย[27]
ปฏิบัติการปลดปล่อยอิรัก
ในปลายปีพ.ศ. 2545 ความตึงเครียดในอาวุธของอิรักเพื่อขึ้นและไม่นานกลุ่มบินที่ 4 ที่ฐานทัพอากาศเซร์เมอร์ จอห์นสันในนอร์ทแคโรไลนาก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมเอฟ-15อีอย่างน้อยหนึ่งฝูงบินให้พร้อมในการเข้าวางพลในอ่าวเปอร์เซีย ฝูงบินรบที่ 336 ถูกเลือกให้วางพลครั้งแรกที่ฐานบินอัล ยูดีอิดในกาต้า ในระหว่างวันที่ 11 มกราคมและ 17 มกราคมอากาศยานจำนวน 24 ลำถูกวางพลและการเตรียมพร้อมก็เริ่มขึ้นซึ่งมีการร่วมจากฝ่ายซาอุดิอาระเบีย ฝูงบินรบที่ 336 ยังไม่ขึ้นบินจนกระทั่งวันที่ 27 มกราคมเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ และกาต้าสรุปปัญหาทางการเมืองและอนุญาตให้ทำการบินได้ในที่สุด[28] เอฟ-15อีเริ่มทำการบินในการเข้าสนับสนุนปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจตราและสอดแนมเช่นเดียวกับภารกิจ"สไตรค์แฟมิเลียไรซ์เซชั่น" (Strike Familiarization) ซึ่งโดยพื้นฐานหมายถึงลูกเรือจะบินภารกิจจำลองพร้อมกับเป้าหมายที่เป็นไปได้ในอิรัก และหากจำเป็นพวกเขาก็สามารถเข้าโจมตีได้พร้อมกับทำตามกฎของการเข้าปะทะ ทำงานร่วมกับเอแวกส์ และทำการบินเหนือเขตของศัตรู[28] ในปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์เอฟ-15อีได้เข้าโจมตีเป้าหมายส่วนใหญ่ในทางตอนใต้และตะวันตกของอิรัก เรดาร์ สถานีวิทยุ ที่ตั้งเครื่องมือสื่อสาร เป้าหมายที่เป็นผู้นำ และตำแหน่งป้องกันทางอากาศ ในคืนหนึ่งเอฟ-15อีจำนวนสี่ลำได้ทิ้งระเบิดจีบียู-24 ใส่ศูนย์บัญชาการของริพับลิกันการ์ดในบาสราห์ในขณะที่ฝูงบินสี่ลำอีกเที่ยวบินหนึ่งได้เข้ากวาดล้างฐานป้องกันทางอากาศอีกแห่งด้วยจีบียู-10O[29]
เมื่อสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ฝูงบินรบที่ 336 ได้รับลูกเรือเพิ่มซึ่งประกอบด้วยนักบินและผู้ควบคุมอาวุธ 150 นาย พวกเขาหลายคนถูกเกณฑ์มาจากฝูงบินที่ไม่ได้วางพลในเซย์เมอร์ จอห์นสันและฝูงบินรบที่ 391 นั่นแปลว่าเอฟ-15อีหนึ่งลำมีลูกเรือประจำสี่นาย[29] ในต้นเดือนมีนาคมทหารและอากาศยานจากฝูงบินรบที่ 335 ถูกวางพลและเข้าร่วมกับฝูงบินรบที่ 336 ที่อัล ยูดีอิด เป้าหมายหนึ่งในตอนสิ้นสุดของปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์คือการเข้าจัดการการป้องกันทางอากาศและเรดาร์เตือนภัยของอิรักที่อยู่ใกล้กับชายแดนจอร์แดนเพื่อให้เอฟ-16 และเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษสามารถเข้าปฏิบัติการในจอร์แดนได้เลยเมื่อสงครามเริ่มต้น ที่มั่นของเรดาร์และสถานีวิทยุมากมายถูกโจมตีในทางตะวันตกของอิรักใกล้กับสนามบิน"เอช3" ในช่วงปฏิบัติภารกิจเหล่านี้เจ็ทของรัฐบาลร่วมต้องเจอกับปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานขนาดหนัก[30]
วันเวลาที่แน่นอนในการเริ่มสงครามของเอฟ-15อีนั้นไม่ทราบแน่ชัดเนื่องจากความเข้มงวดของกฎของการเข้าปะทะ เมื่อเอฟ-117 ไนท์ฮอว์คได้ทิ้งระเบิดเหนือแบกแดดในวันที่ 19 มีนาคมใส่บ้านที่เชื่อกันว่าซัดดัม ฮุสเซนอาศัยอยู่ เอฟ-15อีได้ทิ้งระเบิดจีบียู-28 รอบๆ สนามบินเอช3 และเอฟ-15อีลำอื่นๆ เข้าโจมตีส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์ และเมื่อขีปนาวุธโทมาฮอว์คพุ่งขึ้นสู่ทางเหนือของแบกแดด เอฟ-15อีก็กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่อิรักเพื่อเข้าสนับสนุนปฏิบัติการเซาธ์เทิร์นวอชท์ ในัวนที่ 20 มีนาคมเอฟ-15อีได้ทิ้งระเบิดเอจีเอ็มจัดการการสื่อสาร สิ่งก่อสร้างบัญชาการ และเป้าหมายผู้นำในแบกแดดแต่ก็มีส่วนน้อยที่พลาดเป้าหมาย อาวุธถูกเชื่อว่าได้รับผลกระทบจากอีเอ-6บี โพรว์เลอร์ที่ทำการรบกวนสัญญาณในบริเวณใกล้เคียง[31] เอฟ-15อีมักทำงานควบคู่กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ทำหน้าที่ลึกเข้าไปในอิรัก ภารกิจเหล่านี้มีความเฉพาะตัวสูงและมีเพียงนักบินเอฟ-15อีที่ผ่านศึกเท่านั้นที่จะมีส่วนร่วมในภารกิจเช่นนี้ เอฟ-15อีมักจะบินเป็นวงกลมรอบบริเวณและหน่วยปฏิบัติการพิเศษจะกำกับสไตรค์อีเกิลให้จัดการกับเป้าหมายในบริเวณดังกล่าว ในบางครั้งลูกเรือของเอฟ-15อีจะใช้ปืนยิงกราดใส่เป้าหมายอย่างรถที่ดูเหมือนเป็นภัยต่อหน่วยทีมปฏิบัติการพิเศษเพราะเป้าหมายอาจอยู่ใกล้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเกินไปที่จะใช้ระเบิดได้
ในัวนที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2546 นักบินเอฟ-15อีหนึ่งนายได้ทำผิดพลาดและทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์เข้าใส่ที่ที่เชื่อว่าเป็นฐานขีปนาวุธพื้นสู่อากาศทำให้สังหารจ่าโดนัลด์ โอคส์ จ่าทอดด์ รอบบินส์ และจ่าสิบเอกแรนดัลล์ เอา เรห์นและทำให้ทหารอีกห้านายบาดเจ็บ[32]
ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2546 เอฟ-15อีลำหนึ่งที่บินโดยร้อยเอกเอริก "บูท" ดาสและวิลเลี่ยม "ซอลตี้" วัทกินส์ได้ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายรอบๆ ทิกริทเมื่อพวกเขาตก[33] พวกเขาได้รับเหรียญกล้าหาญในวันก่อนที่จะเสียชีวิตและได้รับเหรียญเพอร์เพิลฮาร์ท[34]
ในสงครามเอฟ-15อีได้รับชื่อเสียงด้วยการทำลาย 60% ของกองกำลังทั้งหมดของอิรักหรือริพับลิกันการ์ด พวกมันยังทำแต้มด้วยมิก 65 ลำที่จอดอยู่บนพื้น[30] และได้ทำลายจุดสำคัญในการป้องกันทางอากาศและสิ่งก่อสร้างการสื่อสารซึ่งเอฟ-15อีได้บินลึกเข้าไปในบริเวณที่มีการป้องกันเป็นอย่างดีของแบกแดด ในสงครามเอฟ-15อีได้ทำงานร่วมกับเจ็ทอื่นๆ ที่วางพลในอัล ยูดีอิดที่รวมทั้งเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทของกองทัพอากาศออสเตรเลีย เอฟ-16 และเอฟ-117 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ และเอฟ-14 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ อากาศยานทั้งหมดใช้เอฟ-15อีเพื่อหาและระบุเป้าหมายให้พวกเขา รวมทั้งบี-1 แลนเซอร์ บี-52 เอฟ/เอ-18 เอวี/8บี และเอฟ-14 ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ
ในช่วงกลางพ.ศ. 2546 ฝูงบินรบที่ 335 และ 336 ถูกส่งกลับบ้าน ฝูงบินรบที่ 494 ถูกวางพลที่อัล ยูดีอิดเพื่อใช้สไตรค์อีเกิลต่อไป
ผู้ใช้งานที่ไม่ใช่สหรัฐฯ
เอฟ-15ไอถูกใช้งานโดยกองทัพอากาศอิสราเอลในฝูงบินหมายเลข 69 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ใช้เอฟ-4แฟนทอม เอฟ-15ไอทำภารกิจต่อสู้ครั้งแรกในเลบานอนเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2542 อากาศยานดังกล่าวได้สามารถบรรทุกขีปนาวุธอินฟราเรดแบบเอไอเอ็ม-9แอลและไพธอน และขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาร์แบบเอไอเอ็ม-7 สแปร์โรว์และเอไอเอ็ม-120 แอมแรม ขีปนาวุธไพธอนสามารถทำมุมได้ 90 องศาโดยที่นักบินจะใช้หมวกที่สวมอยู่เพื่อทำการเล็ง สำหรับเป้าที่อยู่ไกลเกิน 37 ก.ม.ก็จะใช้ได้ทั้งเอไอเอ็ม-7 หรือเอไอเอ็ม-120
ในพ.ศ. 2542 อิสราเอลได้ประกาศความตั้งใจที่จะเพื่ออากาศยานต่อสู้และเอฟ-15ไอก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตามอาจเป็นไปได้ที่สัญญาจะลงกับเอฟ-16ไอที่เป็นรุ่นใหม่ของไฟท์ติ้งฟอลคอน
แบบต่างๆ
เอฟ-15ไอ
เอฟ-15ไอ ถูกใช้โดยกองทัพอากาศอิสราเอลที่ซึ่งมันถูกเรียกว่าราอัม (Ra'am - רעם) ที่แปลว่า"พายุ" มันเป็นอากาศยานจู่โจมภาคพื้นดินแบบสองที่นั่งโดยมีเครื่องยนต์แพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ เอฟ-100-พีดับบลิว-229 สองเครื่องยนต์และมีพื้นฐานมาจากเอฟ-15อี
หลังจากสงครามอ่าวซึ่งเมืองของอิสราเอลถูกโจมตีโดยขีปนาวุธสกั๊ดที่ยิงมาจากอิรัก ทางรัฐบาลอิสราเอลตัดสินว่าต้องการอากาศยานจู่โจมพิสัยไกล ในปีพ.ศ. 2536 อิสราเอลได้ประกาศขอข้อมูลจากบริษัทอากาศยานใดๆ ก็ตามที่สนใจที่จะทำการผลิตเครื่องบินรบใหม่ให้กับอิสราเอล
ล็อกฮีด มาร์ตินได้เสนอรุ่นใหม่ของเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนและแมคดอนเนลล์ ดักลาสได้เสนอทั้งเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทและเอฟ-15อี ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2537 รัฐบาลอิสราเอลได้ประกาศว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำการซื้อเอฟ-15อีจำนวน 21 ลำ แบบของเอฟ-15อีนั้นถูกดัดแปลงให้ตรงกับความต้องการของอิสราเอลที่รวมทั้งหมวกพิเศษที่เรียกว่าแดช (DASH) และถูกตั้งชื่อใหม่ว่าเอฟ-15ไอ ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 รัฐบาลสหรัฐฯ มอบเอฟ-15ไอมากถึง 25 ลำให้กับอิสราเอล ในเดือนพฤศจิกายนปี 2538 อิสราเอลได้ซื้อเอฟ-15ไอเพิ่มอีก 4 ลำจนเต็มข้อจำกัดของสหรัฐฯ
การเปลี่ยนแปลงของเอฟ-15ไอ
เอฟ-15ไอ ราอัม (ภาษาฮิบบริวแปลว่า พายุ) คล้ายคลึงกับเอฟ-15อีอย่างมากแต่เอฟ-15ไอนั้นมีระบบการบินแบบพิเศษตามความต้องการของอิสราเอล เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในตอนทำภารกิจกลางคืนเอฟ-15ไอจึงมีตัวจับเป้าที่แม่นยำซึ่งถูกออกแบบมาให้กับเอฟ-15ของอิสราเอล ระบบดังกล่าวด้อยกว่าแบบแลนเทิร์น (LANTIRN ) ที่ใช้โดยเอฟ-15อี ดังนั้นเมื่อสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอให้อิสราเอลซื้อแลนเทิร์นพวกเขาจึงรับมัน การซื้อนี้ทำให้เอฟ-15ไอสมบูรณ์ในตอนกลางคืนด้วยแลนเทิร์นที่เพิ่มเข้ามา หลังจากการดัดแปลงเหล่านี้เอฟ-15ไอก็เกือบเหมือนกับเอฟ-15อี ความแตกต่างเดียวระหว่างเอฟ-15อีกับเอฟ-15ไอก็คือเอฟ-15ไอไม่มีตัวรับเรดาร์เตือนภัย ทางอิสราเอลได้ติดตั้งเครื่องมือดังกล่าวเอง ส่วนที่หายไปของเอฟ-15ไอถูกแทนที่ด้วยระบบอิเลคทรอนิคที่เรียกว่าอีลิสร่า เอสพีเอส-211 คอมพิวเตอร์หลักและระบบจีพีเอส/ไอเอ็นเอสยังถูกติดตั้งเข้าไปด้วย เซ็นเซอร์ของมันทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอและหมวกซึ่งทำให้นักบินทั้งสองมีระบบจับเป้าที่มีประสิทธิภาพซึ่งเอฟ-15อีไม่มี ระบบที่ล้ำหน้าของราอัมยังมีทั้งเรดาร์แบบเอพีจี-70 ที่สามารถให้แผนที่ภูมิประเทศได้ ภาพที่คมชัดของเอพีจี-70 ไม่ต้องพึ่งสภาพอากาศและแสง ทำให้มันสามารถหาเป้าหมายที่ยากจะพบได้ ตัวอย่างเช่น มันสามารถหาแท่นยิงขีปนาวุธ รถถัง และอาคารได้แม้แต่ในสภาพอากาศที่ไม่เป็นมิตร อย่าง หมอกที่หนาทึบ ฝนตกหนัก หรือในคืนที่มืดมิด
เอฟ-15เค
เอฟ-15เค สแลมอีเกิล (เกาหลี: F-15K 슬램이글) เป็นเอฟ-15อีที่ดัดแปลงซึ่งถูกสั่งและกำลังถูกส่งให้กับกองทัพอากาศเกาหลี
ในปีพ.ศ. 2545 กองทัพอากาศเกาหลีได้เลือกเอฟ-15เคเข้าโครงการเครื่องบินขับไล่เอฟ-เอ็กซ์หลังจากมีการแข่งขันอย่างดุเดือดของเครื่องบินรบอีกสี่แบบคือ เอฟ-15เคจากโบอิง แดสซอล ราเฟลจากแดสซอล-เบอกวท ยูโรไฟท์เตอร์ไทฟูน และซู-35จากซุคฮอย อากาศยานทั้งหมด 40 ลำถูกสั่งซื้อพร้อมการส่งในปีพ.ศ. 2548[35]
เอฟ-15เคมีจุดเด่นมากมายที่เอฟ-15อีไม่มี อย่าง อินฟราเรดค้นหาและติดตาม ระบบหมวกเชื่อมต่อ และเรดาร์เอเอ็น/เอพีจี-63(วี)1 นอกจากนี้เอฟ-15เคยังสามารถใช้อาวุธได้มากมาย อย่าง ขีปนาวุธโจมตีพื้นดินจากระยะห่างและเอจีเอ็ม-84เอช เครื่องยนต์เจเนรัลอิเลคทริค เอฟ110-จีอี-129 ให้แรงขับ 29,400 ปอนด์สองเครื่อง
ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2551 รัฐบาลเกาหลีได้ประกาศการซื้อหมู่ที่สองของเอฟ-15เคจำนวน 21 ลำที่มีมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งสินค้ากำหนดไว้ในระหว่างปีพ.ศ. 2553 และ 2555 มันไม่เหมือนกับเอฟ-15เคกลุ่มแรก กลุ่มที่สองนี้จะใช้เครื่องยนต์แพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ เอฟ100-พีดับบลิว-229 เครื่องยนต์ 64 เครื่องจะถูกสร้างโดยซัมซุงเทควินภายใต้สิขสิทธิ เกาหลีเสริมว่าเครื่องยนต์ดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับเอฟ-16[36][37]
เอฟ-15เอส
เอฟ-15เอสเป็นแบบหนึ่งของเอฟ-15อีที่ส่งให้กับกองทัพอากาศซาอุดิอาระเบีย มันเกือบเหมือนกับเอฟ-15อีของกองทัพอากาศสหรัฐฯ และความแตกต่างอย่างเดียวก็คือเรดาร์เอเอ็น/เอพีจี-70 ในเดือนตุลาคมพงศ. 2550 เจเนรัลอิเลคทริคได้ประกาศทำสัญญากับซาอุดิอาระเบียสำหรับเครื่องยนต์ เอฟ110-จีอี-129ซีที่ทำให้กับเอฟ-15เอสในสัญญาที่มีมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์[38]
เอฟ-15เอสจี
เอฟ-15เอสจี (อดีตคือเอฟ-15ที) เป็นแบบหนึ่งของเอฟ-15อีถูกสั่งซื้อเป็นหลักโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์ หลังจากช่วงเจ็ดปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินขับไล่อีกห้าแบบที่อยู่ภายใต้การพิจารณา เอฟ-15เอสจีถูกเลือกในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2548[39]
เอฟ-15เอสจีมีความคล้ายคลึงกับเอฟ-15เคที่ขายให้กับเกาหลีใต้แต่แตกต่างตรงเรดาร์เอพีจี-63(วี)3 ที่พัฒนาโดยเรย์ธีออน เอฟ-15เอสจีมีขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์เจเนรัลอิเลคทริค เอฟ110-จีอี-129 ให้แรงดัน 29,400 ปอนด์
ในระหว่างที่กระบวนการเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 2ของล็อกฮีด มาร์ตินดำเนินไป กองทัพอากาศสิงคโปร์ได้สั่งซื้ออากาศยานอีก 12 ลำพร้อมกับอีก 8 ลำเพื่อมาแทนที่เอ-4เอสยูแบบเดิมของพวกเขา การซื้อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ที่นำมาแทนที่ที่มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเป็นการสั่งซื้อที่แพงที่สุดของกองทัพอากาศสิงคโปร์
กระทรวงกลาโหมของสิงคโปร์ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เลือกการซื้อเอฟ-15เอสจีเพิ่มอีก 8 ลำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2548 พร้อมกับการซื้อนี้มีการสั่งซื้อเพิ่มอีสี่ลำทำให้มีเครื่องบินขับไล่ในรายการทั้งสิ้น 24 ลำ[40] การเปิดตัวครั้งแรกจองเอฟ-15เอสจีเกิดขึ้นในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551 การส่งเอฟ-15เอสจีจะเริ่มในไตรมาสที่สามของปี 2551 จนถึง 2554[41]
แบบนำเสนอ
เอฟ-15เอฟ อีเกิล เป็นสไตรค์อีเกิลหนึ่งที่นั่งที่ถูกนำเสนอซึ่งเดิมทีมาจากเอฟ-15 ซาอุดิอาระเบียได้สั่งซื้อเอฟ-15เอฟจำนวน 24 ลำพร้อมกับแบบสองที่นั่งเพื่อการฝึกแต่ก็ไม่เคยถูกสร้าง[42]
เอฟ-15เอช สไตรค์อีเกิล เป็นเอฟ-15อีรุ่นส่งออกให้กับกรีซในช่วงพ.ศ. 2533 ซึ่งถูกเลือกโดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพอากาศของกรีซ[43] แต่รัฐบาลได้เลือกเอฟ-15แบบใหม่และมิราจ 2000-5 แทน[44]
ประเทศผู้ใช้งาน
- อิสราเอล
- กองทัพอากาศอิสราเอลมีเอฟ-15ไอ "ราอัม" 25 เครื่อง
- เกาหลีใต้
- กองทัพอากาศเกาหลีได้รับเอฟ-15เค "สแลมอีเกิล" 40 เครื่อง (รวมทั้งสูญเสียในอุบัติเหตุ 1 ลำ) จากทั้งหมด 61 เครื่องในรายการสั่งซื้อในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551[45]
- ซาอุดีอาระเบีย
- กองทัพอากาศซาอุดิอาระเบียใช้เอฟ-15เอสจำนวน 72 เครื่อง
- สิงคโปร์
- กองทัพอากาศสิงคโปร์สั่งซื้อเอฟ-15เอสจีจำนวน 24 เครื่อง
- สหรัฐอเมริกา
- กองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้งานเอฟ-15อีจำนวน 224 เครื่องในประจำการ
รายละเอียดของเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล
- ลูกเรือ 2 นาย
- ความยาว 19.4 เมตร
- ระยะระหว่างปลายปีกทั้งสอง 13.05 เมตร
- ความสูง 5.63 เมตร
- พื้นที่ปีก 56.5 ตารางเมตร
- น้ำหนักเปล่า 14,300 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด 36,700 กิโลกรัม
- ขุมกำลัง เครื่องยนต์สันดาปของแพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ เอฟ100-229 สองเครื่องยนต์ ให้แรงขับดัน 29,000 ปอนด์ในแต่ละเครื่อง
- ความเร็วสูงสุด 3,017 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป (2.5 มักขึ้นไป)
- พิสัยในการขนส่ง 3,900 กิโลเมตรพร้อมกับถังเชื้อเพลิงทั้งนอกและใน
- เพดานบินทำการ 60,000 ฟุต
- อัตราการไต่ระดับ 50,000 ฟุตต่อนาที
- อาวุธ
- ปืน ปืนกลแกทลิ่งเอ็ม61 วัลแคนขนาด 1x20 ม.ม. ใช้กระสุนทั้งแบบเอ็ม-56 และพีจียู-28 จำนวน 510 นัด
- ขีปนาวุธ
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 James R. Ciborski. The F-15 Eagle: A Chronology เก็บถาวร 2007-09-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. History Office, Aeronautical Systems Center, Air Force Materiel Command, Wright-Patterson AFB, Ohio. June 2002.
- ↑ "Raytheon claims AESA upgrade contract for F-15E", Flightglobal.com, 1 November 2007.
- ↑ "Boeing Selects Raytheon to Provide AESA Radar for U.S. Air Force F-15E Strike Eagles", Boeing, 1 November 2007.
- ↑ Making the Best of the Fighter Force เก็บถาวร 2008-09-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Air Force magazine, March 2007.
- ↑ Dr Richard P. Hallion. A Troubling Past:Air Force Fighter Acquisition since 1945. Airpower Journal. Winter 1990.
- ↑ Jenkins 1998, p. 35-36.
- ↑ Davies 2003, pp. 63-36.
- ↑ 8.0 8.1 "Tim Bennett's War" เก็บถาวร 2012-03-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Air Force magazine online, January 1993.
- ↑ Davies 2005, Chapter Two - Desert Shield and Desert Storm, pp. 17-24.
- ↑ Davies 2005, Chapter Two - Desert Shield and Desert Storm, pp. 25.
- ↑ Davies 2005, Chapter Two - Desert Shield and Desert Storm, pp. 29-30.
- ↑ Davies 2005, Chapter Two - Desert Shield and Desert Storm, pp. 30-31.
- ↑ Davies 2005, Chapter Three - No-Fly Zones, p. 33.
- ↑ Davies 2005, Chapter Three - No-Fly Zones, p. 35-36.
- ↑ Davies 2005, Chapter Four - Deny Flight and Allied Force, pp. 43.
- ↑ 16.0 16.1 Davies 2005, Chapter Four - Deny Flight and Allied Force, p. 44.
- ↑ Davies 2005, Chapter Four - Deny Flight and Allied Force, p. 46.
- ↑ 18.0 18.1 Davies 2005, Chapter Four - Deny Flight and Allied Force, p. 47.
- ↑ Davies 2005, Chapter Four - Deny Flight and Allied Force, p. 59.
- ↑ Davies 2005. Chapter Five - Afghan Rebels, p. 63.
- ↑ 21.0 21.1 Davies 2005, Chapter Five - Afghan Rebels, p. 64.
- ↑ Davies 2005, Chapter Five - Afghan Rebels, p. 65.
- ↑ Davies 2005, Chapter Five - Afghan Rebels, p. 68-69.
- ↑ 24.0 24.1 Davies 2005, Chapter Five - Afghan Rebels, p. 72.
- ↑ 25.0 25.1 Davies 2005, Chapter Five - Afghan Rebels, p. 73.
- ↑ Davies 2005, Chapter Five - Afghan Rebels, p. 76.
- ↑ "Outcry as 'friendly fire' kills three UK soldiers" เก็บถาวร 2007-08-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. The Telegraph. 25 August 2007.
- ↑ 28.0 28.1 Davies 2005, Chapter Six - Operation Iraqi Freedom, p. 77-78.
- ↑ 29.0 29.1 Davies 2005, Chapter Six - Operation Iraqi Freedom, p. 80.
- ↑ 30.0 30.1 Davies 2005, Chapter Six - Operation Iraqi Freedom, p. 82.
- ↑ Davies 2005, Chapter Six - Operation Iraqi Freedom, p. 83.
- ↑ Dao, James. A Trail of Pain From a Botched Attack in Iraq in 2003. The New York Times, 15 April 2005.
- ↑ Das and Watkins, Unofficial Arlington National Cemetery page.
- ↑ Das Given Posthumous Awards Former Amarilloan honored in death เก็บถาวร 2011-06-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Air Force Times via Ammarillo Globe-News, 18 August 2003.
- ↑ F-15K’s First Flight Successful, Defense Industry Daily, 7 March 2005.
- ↑ Yonhap News, served by Naver
- ↑ Boeing F-15K Eagle เก็บถาวร 2020-03-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Flug Revue, 5 May 2008.
- ↑ "General Electric Aerospace article". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-24. สืบค้นเมื่อ 2009-02-20.
- ↑ "Singapore finally opts for F-15T", Flight International, 13 September 2005.
- ↑ Singapore Exercises Option for Additional F-15SGs เก็บถาวร 2020-02-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Singapore Ministry of Defence, October 22, 2007.
- ↑ "Boeing Rolls Out 1st F-15SG to Singapore", Boeing, 3 November 2008.
- ↑ http://www.aerospaceweb.org/aircraft/bomber/f15e/ - McDonnell Douglas (now Boeing) F-15E Eagle Fighter Bomber
- ↑ F-16.net - Thirty new F-16 block 52+ aircraft for Greece
- ↑ [https://web.archive.org/web/20081024071745/http://www.aeroworldnet.com/1tw05039.htm เก็บถาวร 2008-10-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน AeroWorldNet(tm) - Greece Buys 50 F-16s and 15 Mirage 2000s [May 3, 1999]]
- ↑ Duk-kun, Byun. "Air Force receives last shipment of F-15K fighter jet", Yonhap News, 8 October 2008.