เรือหลวงศรีอยุธยา
|
ประวัติ |
ประเทศไทย |
ชนิด | เรือปืนยามฝั่งชั้นธนบุรี |
ชื่อ | เรือหลวงศรีอยุธยา (HTMS Sri Ayudhya) |
ตั้งชื่อตาม | กรุงศรีอยุธยา |
อู่เรือ | อู่ต่อเรือกาวาซากิ, โกเบ, ประเทศญี่ปุ่น |
ปล่อยเรือ | พ.ศ. 2479 |
เดินเรือแรก | 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 |
ส่งมอบเสร็จ | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2481 |
เข้าประจำการ | 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 |
Stricken | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2502 |
ความเป็นไป | อัปปาง 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 กลางแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ ในเหตุการณ์กบฎแมนฮัตตัน |
ลักษณะเฉพาะ
|
ชั้น: |
เรือปืนยามฝั่งชั้นธนบุรี |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): |
2,350 ตัน (เต็มที่) |
ความยาว: |
77 m (253 ft) |
ความกว้าง: |
13.41 m (44.0 ft) |
กินน้ำลึก: |
4.2 m (14 ft) |
ระบบพลังงาน: |
|
ความเร็ว: |
15.8 นอต (29.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 18.2 ไมล์ต่อชั่วโมง) (เต็มที่)
12.2 นอต (22.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 14.0 ไมล์ต่อชั่วโมง) (ความเร็วมัธยัสถ์) |
พิสัยเชื้อเพลิง: |
6,493 ไมล์ทะเล (12,025 กิโลเมตร; 7,472 ไมล์) (เต็มที่)
11,100 ไมล์ทะเล (20,600 กิโลเมตร; 12,800 ไมล์) (ความเร็วมัธยัสถ์) |
อัตราเต็มที่: |
234 นาย |
ยุทโธปกรณ์: |
- 4 × ปืน 200/50-ม.ม. (8 นิ้ว)
- 4 × ปืน 75/51 ม.ม. (3 นิ้ว)
- 4 × ปตอ. 20 ม.ม.
|
เกราะ: |
กราบเรือ: 2.5 นิ้ว (63.5 ม.ม.)
สะพานเดินเรือ: 1 นิ้ว (25 ม.ม.)
ป้อมปืน: 4 นิ้ว (102 ม.ม.) |
เรือหลวงศรีอยุธยา (อังกฤษ: HTMS Sri Ayudhya) เป็นเรือรบประเภทเรือปืนยามฝั่งสังกัดราชนาวีไทย
มีระวางขับน้ำ 2,350 ตัน เครื่องจักรดีเซล 2 เครื่อง ความเร็วมัธยัสถ์ 12.2 นอต ติดอาวุธปืน 8 นิ้ว ป้อมคู่ จำนวน 2 ป้อม ปืน 3 นิ้ว จำนวน 4 กระบอก ปืน 50 มิลลิเมตร จำนวน 2 แท่น พลประจำเรือ 234 นาย ต่อจากอู่ต่อเรือคาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นระวางประจำการ เมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 จัดเป็นเรือพี่เรือน้องกับ เรือหลวงธนบุรี ที่ได้ไปเปลี่ยนเวรรักษาการณ์ ณ เกาะช้าง จังหวัดตราด เมื่อเย็นวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2484 และเกิดยุทธนาวีกับฝรั่งเศส (ยุทธนาวีเกาะช้าง) ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเรือหลวงธนบุรีจมไปแล้ว เรือหลวงศรีอยุธยาจึงเสมือนสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญอีกลำหนึ่งของราชนาวีไทย
เรือหลวงศรีอยุธยา เคยถวายงานเป็นเรือพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ขณะมีพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ครั้งเสด็จนิวัติพระนครครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481[1] และเสด็จนิวัติพระนครครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2493 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ขณะมีพระอิสริยยศเป็น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร)[2]พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงมีพระปฏิพัทธ์กับเรือพระที่นั่งลำนี้ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ดังจะเห็นได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงต่อเรือหลวงศรีอยุธยาจำลอง ด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง[3]
เรือหลวงศรีอยุธยา มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยในกรณีกบฏแมนฮัตตัน เมื่อวันที่ 29-30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง นำโดย นาวาตรี มนัส จารุภา ได้นำกำลังทหารเรือส่วนหนึ่งพร้อมด้วยอาวุธปืนกลแมดเสน ซึ่งเป็นอาวุธหนัก บุกจู่โจมจับตัว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ขณะทำหน้าที่เป็นประธานพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกันชื่อ "แมนฮัตตัน" จากอุปทูตสหรัฐอเมริกา ที่ท่าราชวรดิฐ ในเวลา 15.00 น. ท่ามกลางแขกเหรื่อผู้มีเกียรติมากมายในพิธี ลงจากเรือแมนฮัตตัน จากนั้นได้นำตัวลงเรือข้ามฟากเพื่อนำขึ้นไปยังเรือหลวงศรีอยุธยา ที่จอดลอยลำอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเป็นตัวประกัน
เหตุที่ใช้เรือหลวงศรีอยุธยาเป็นสถานที่กักตัวประกัน ซึ่งเป็นเสมือนหัวใจสำคัญนั้น เพราะคณะผู้ก่อการมั่นใจในประสิทธิภาพของเรือ เพราะเป็นเรือเหล็กหุ้มเกราะ อาวุธเบาไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งยังมีอาวุธที่ทรงอานุภาพ คือ ปืนโฟร์ฟอร์ต 8 นิ้ว ยิงวิถีราบ ที่ถือว่ามีอานุภาพสูงกว่าอาวุธของทางทหารบก[4]
แต่ทว่าแผนการรัฐประหารในครั้งนี้เกิดความผิดพลาด เมื่อไม่เป็นไปตามแผน ซึ่งเรือหลวงศรีอยุธยาจะต้องแล่นผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้า เพื่อไปตั้งกองบัญชาการที่กรมสรรพาวุธทหารเรือ บางนา แต่ทว่าสะพานไม่เปิด จึงกลับลำที่หน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ แล้วแล่นไปจอดลอยลำหน้าท่าราชวรดิฐ ตลอดคืนวันที่ 29 มิถุนายน การปะทะกันยังไม่เกิดขึ้น แต่บรรยากาศของความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ในส่วนตัวของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ถูกจับกุมตัวไป ได้เจรจากับคณะผู้ก่อการที่นำโดย นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกกาภา และ น.ต.มนัส จารุภา ถึงเหตุผลของการกระทำ และเป็นผู้เสนอที่จะออกอากาศโดยบันทึกเสียงจากเส้นลวดบันทึกเสียง แล้วถูกนำไปออกอากาศกระจายเสียงทางวิทยุทหารเรือ ว่าเป็นแถลงการณ์จากนายกรัฐมนตรีด้วยความสมัครใจ ไม่ได้เป็นการบีบบังคับ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลได้ออกกระจายเสียงตอบโต้ไปทางวิทยุกรมการรักษาดินแดน ซึ่งทางรัฐบาลได้ตัดสินใจให้ฝ่ายทหารเรือบุกชิงตัวจอมพล ป. กลับคืนมาก่อนรุ่งสาง ไม่เช่นนั้นจะทำการยิงให้เด็ดขาดกันไป แต่ทางทหารเรือปฏิเสธเพราะเกรงว่าจอมพล ป. จะได้รับอันตราย แม้ทาง พลเรือโท ผัน นาวาวิจิต ผู้บังคับการกองเรือรบ ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของคณะผู้ก่อการ จะขออาสาขึ้นไปบนเรือเองในเวลารุ่งเช้าเพื่อเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการ[4]
จนกระทั่งเช้ามืดของวันที่ 30 มิถุนายน ทหารฝ่ายรัฐบาลระดมกำลังเข้าโจมตีทหารเรือทุกจุด การยิงต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดติดต่อกันหลายชั่วโมง เรือหลวงศรีอยุธยาหะเบสสมอจากท่าราชวรดิฐ แล่นขึ้นไปทางเหนือแล้วล่องลงมาเพื่อทำการยิงสนับสนุน ต่อมากองทัพอากาศส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิด บริเวณลานวัดพระยาทำ ขณะทหารกำลังแถวรับคำสั่ง กับบริเวณกรมอู่ทหารเรือ และที่กองเรือรบซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตมากมายทั้งทหารและพลเรือน ถึงตอนนี้เรือหลวงศรีอยุธยา ก็เครื่องยนต์เสียแล้วจากการถูกโจมตีอย่างหนัก มีเครื่องจักรใหญ่ขวาใช้ได้เพียงเครื่องเดียว ก็ล่องลงมาถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ เพื่อกลับลำ ปรากฏว่าเครื่องกลับจักรขวาเกิดชำรุดขึ้นมาอีก จึงหมดสมรรถภาพที่จะสามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้อีก ต้องลอยลำอยู่หน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ ต่อมาฐานที่มั่นของคณะผู้ก่อการที่ท่าราชวรดิฐแตก เป้าการโจมตีจึงมาอยู่ที่เรือหลวงศรีอยุธยาอย่างเดียว
จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.30 น. กองทัพอากาศ โดย พลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่งเครื่องบิน (ฝึก) เอ.ที.6 หรือ ฝ.8 จำนวนมากเข้ามารุมโจมตีเรือหลวงศรีอยุธยา พร้อมทั้งยิงกราดด้วยปืนกล ขณะเดียวกันทหารบกและตำรวจช่วยทำการยิงขัดขวางไม่ให้ทหารประจำเรือขึ้นมายิงต่อสู้เครื่องบินบนดาดฟ้า ภารกิจยิงต่อสู้จึงตกอยู่กับทหารเรือที่อยู่บนป้อมวิชัยประสิทธิ์ และพระราชวังเดิม ซึ่งต้องยิงต่อสู้ทั้งเครื่องบิน และทหารรัฐบาลฝั่งตรงข้าม การต่อสู้ก็มีแต่อาวุธเบา จนในที่สุดเรือก็ไฟไหม้ สถานการณ์ของฝ่ายผู้ก่อการแย่ลงทุกขณะ ทหารเรือ 2 คนประจำเรือจึงตัดสินใจสวมเสื้อชูชีพให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วนำกระโดดลงน้ำว่ายข้ามมา โดยมีทหารเรือที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์เป็นผู้ยิงคุ้มกันให้ [4]
จากนั้นทั้งสองฝ่ายจึงเปิดการเจรจากัน ในที่สุด คณะผู้ก่อการก็ยอมรับความพ่ายแพ้โดยการปล่อยตัวจอมพล ป. กลับคืนให้แก่รัฐบาลด้วยความปลอดภัย และแกนนำผู้ก่อการต้องแยกย้ายกันหลบหนีด้วยรถไฟไปทางภาคเหนือก่อนจะเดินเท้าข้ามพรมแดนข้ามไปยังประเทศพม่า[4]
ในส่วนของเรือหลวงศรีอยุธยา หลังจากเกิดไฟไหม้อยู่เป็นเวลานานก็อัปปางลงที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาในกลางดึกของคืนวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 [3]
ต่อมาซากเรือหลวงศรีอยุธยาได้ถูกกู้ขึ้นมาในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เมื่อเป็นอันตรายในการเดินเรือ จากคำสั่งคณะรัฐมนตรีที่ 350/21315[5]
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น