เซฺว เยฺว่ (จีน : 薛岳 ; พินอิน : Xuē Yuè ; เวด-ไจลส์ : Hsüeh Yüeh ; 26 ธันวาคม ค.ศ. 1896 – 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 เป็นนายพล ผู้บัญชาการทหารแห่งพรรคก๊กมินตั๋ง (จีนคณะชาติ)
ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ได้รับสมญานามจากแคลร์ ลี เชนนลต์ นายทหารอเมริกันฝ่ายสัมพันธมิตร ให้เซฺว เยฺว่ เป็น "นายพลแพตตัน แห่งเอเชีย"[ 1] และได้รับสมญานามจากชาวจีนว่าเป็น พยัคฆ์แห่งฉางชา เนื่องจากได้เอาชนะกองทัพญี่ปุ่นจากการบุกเมืองฉางชาได้สำเร็จถึง 3 ครั้งในยุทธการฉางชา
ชีวิตช่วงแรกและอาชีพ
อดีตคฤหาสน์ของนานพลเซฺว เยฺว่ ที่นครหนานจิง
เซฺว เยฺว่ เกิดที่เฉากวาน มณฑลกวางตุ้ง ในครอบครัวชาวจีนแคะ ที่ประกอบอาชีพเป็นชาวนา
เซฺวเข้าร่วมสมาคมถงเหมิงฮุ่ย ในปี ค.ศ. 1909 ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1912 เขาเข้าเรียนโรงเรียนประถมทหารกวางตุ้ง ในปี ค.ศ. 1917 เขาได้เข้าเรียนในชั้นที่หกของ โรงเรียนการทหารเป่าติ้ง อย่างไรก็ตามในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1918 เขาออกเดินทางไปทางใต้เพื่อไปกวางโจวและเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติชาติจีน ที่ก่อตั้งรวบรวมอาสาสมัครโดย ดร.ซุน ยัตเซ็น และเฉิน เจียงหมิง พร้อมกับยศร้อยเอก หลังจากนั้นเขากลายเป็นผู้บัญชาการกองพันแรกของผู้องครักษ์คุ้มกันของ ดร.ซุน ยัตเซ็น เมื่อ ดร.ซุนกับเฉินเจียงหมิงขัดแย้งและสู้รบกันเอง เซฺวก็พาภริยาของ ดร.ซุน ซ่ง ชิงหลิง หลบหนีการสู้รบได้อย่างปลอดภัย
สมัยขุนศึก
เซฺวเป็นหนึ่งในผู้บังคับการทหารพรรคก๊กมินตั๋งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ เพื่อรวบรวมแผ่นดินจีนที่อยู่ระหว่างสมัยขุนศึก เมื่อเจียงไคเชก รวบแผ่นดินจีนสำเร็จและตั้งรัฐบาลชาตินิยม ที่กรุงหนานจิง ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในพรรคก๊กมินตั๋ง เกิดการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ภายในพรรค ในช่วงแรกเซฺวได้คัดค้านการกวาดล้างดังกล่าวและกลับไปเข้ากับขุนศึกทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ของกองทัพที่ 1 หลังจากเหตุการณ์ 12 เมษายน เซฺวกลับมาที่มณฑลกวางตุ้งเพื่อรับใช้เป็นผู้บัญชาการกองพลภายใต้หลี่ จีเฉิน จากการเคลื่อนย้ายของกองทัพที่ 1 หลังจากความวุ่นวายทางการเมืองที่เห็นว่าเจียงไคเชกกลับสู่อำนาจ เซฺวได้เข้าร่วมจาง ฟากุ้ย และรับใช้ในกองทัพกวางตุ้งที่ 4
ในช่วงการจลาจลกวางโจว กองทัพของเซฺวถูกเรียกตัวเข้ามาในเมืองเพื่อช่วยปราบปรามคอมมิวนิสต์ เนื่องจากความสูญเสียที่ได้รับอย่างหนักในช่วงหลังของปี ค.ศ. 1927 กองทัพที่ 4 ยอมรับข้อเสนอของเจียงไคเชกเพื่อจัดระเบียบใหม่ อย่างไรก็ตามหน่วยงานภายในเห็นว่าผู้บังคับบัญชาที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ เหมียว เผ่ยหนาน ถูกบังคับให้ออกและเรียกตัวจาง ฟากุ้ยกลับมาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้บัญชาการของกองทัพที่ 4 ของมณฑลกวางตุ้ง เซฺวได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองจาง
ในระหว่างสงครามที่ราบภาคกลาง เป็นการแตกแยกภายในพรรคก๊กมินตั๋งอีกครั้ง กองทัพที่ 4 ของมณฑลกวางตุ้งได้สนับสนุนกลุ่มขุนศึกกวางสีใหม่ ในฐานะอยู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับเจียงไคเชก ระหว่างการรวมกำลังเข้าสู่เหิงหยาง แนวรบของขุนศึกถูกบีบให้ล่าถอยโดยเจียง กวางไน และข่าย ถิงไค แห่งกองทัพพรรคก๊กมินตั๋ง(ฝ่ายเจียงไคเชก) ในการรบที่เหิงหยางต่อมากองทัพกวางตุ้ง-กวางสีที่รวมตัวกันต่อสู้กับกองทัพพของเจียงไคเชกและได้รับความพ่ายแพ้ในที่สุด กองทัพที่ 4 ของมณฑลกวางตุ้งถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมกับเจียงไคเชก ทำให้จาง ฟากุ้ยถูกบังคับให้ลาออก ส่วนเซฺว เยฺว่ ยอมสารภาพผิดและได้รับการอภัยโทษโดยรัฐบาลชาตินิยม อีกทั้งยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพในภายหลัง
รัฐบาลชาตินิยมหนานจิง
เซฺว เยฺว่ (คนที่สองขวามือแถวหลัง) ในระหว่างการศึกษาด้านการทหารในกองทัพแวร์มัคท์
รัฐบาลชาตินิยมที่กรุงหนานจิงได้ตัดสินใจรับความช่วยเหลือด้านการทหารจากนาซีเยอรมนี เซฺวได้รับมอบหมายให้ไปศึกษาด้านการทหารที่เยอรมนี แต่ศึกษาได้ไม่นานก็ถูกรัฐบาลหนานจิงเรียกตัวกลับ เมื่อกลับมาจีนเซฺวได้แนะนำให้เจียงไคเชก ดำเนินการกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในฐานะต่อต้านการปฏิวัติ ในช่วงแรกของสงครามกลางเมืองจีน จอมทัพเจียงไคเชกได้สั่งให้นายพลเซฺวนำทัพกวางตุ้งคนแรกมาโจมตีพวกคอมมิวนิสต์จีนในช่วง การรณรงค์การล้อมรอบที่ห้าครั้งต่อมณฑลเจียงซีโซเวียต บีบบังคับให้กองทัพปลดปล่อย ของคอมมิวนิสต์ต้องทำการเดินทัพทางไกล และกองทัพของเขาไล่ล่าคอมมิวนิสต์ที่ล่าถอยไปตลอดทางจนถึงเสฉวน และกุ้ยโจว
จนกระทั่งกองกำลังคอมมิวนิสต์จะถอยข้ามผืนน้ำขนาดใหญ่และหลบหนีไปในหลบซ่อนที่มณฑลฉ่านซี ในที่สุด จากนั้นเซฺวได้นำทัพของเขาล่าตระเวนกวาดล้างไปรอบๆบริเวณที่ภาคกลางของจีนและเอาชนะผู้บัญชาการกองทัพแดงที่มีชื่อเสียงอย่างเช่นเหอ หลง และเย ถิง ประจำพื้นที่ควบคุมของคอมมิวนิสต์งและบังคับพวกเขาออกจากฐานที่มั่นเหล่านี้ สำหรับความสำเร็จเหล่านี้เจียงไคเชกยกย่องเซฺวในฐานะ "ตัวอย่างที่แท้จริงของนายทหารจีน"
สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง
เซฺว เยฺว่ (ตรงกลาง) ขณะวางแผนการรบในยุทธการฉางชา
เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เริ่มรุกรานประเทศจีน แต่ขณะเดียวกันเจียงไคเชกติดพันกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ เริ่มมีความเห็นแตกแยกในพรรคก๊กมินตั๋งให้เจียงยุติการรบกันเอง โดยยื่นข้อเสนอร่วมมือกับคอมมิวนิสต์และขับไล่ผู้รุกรานชาวญี่ปุ่น จนกระทั่งเกิดอุบัติการณ์ซีอาน ทำให้การสู้รบกันเองของฝ่ายก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิสต์ยุติลงชั่วคราว อย่างไรก็ตามความจงรักภักดีของเซฺว เยฺว่ ต่อเจียงไคเชกถูกตั้งข้อสงสัย หลังจากที่เขามีส่วนร่วมสั่งการให้จับกุมจอมทัพเจียงไคเชกและพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอส่งตัวให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์จีน ถ้าหากเจียงปฏิเสธที่จะสู้รบกับญี่ปุ่นโดยทันทีเสียก่อน แม้ว่าเขาจะคืนดีกับเจียงไคเชกในทันทีแต่ความสัมพันธ์ของเขากับพรรคก๊กมินตั๋งนั้นตึงเครียดตลอดสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง
เซฺวมีส่วนร่วมในการร่วมยุทธการที่อู่ฮั่น [ 2] ในฐานะผู้บังคับบัญชากองทัพที่ 1 ในภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของอู่ฮั่น เซฺว ประสบความสำเร็จในการทำลายกองพลที่ 106 ของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น ในระหว่างการต่อสู้ เจ้าหน้าที่ทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายและญี่ปุ่นใช้พลร่ม 300 คนเข้าไปเสริมกำลังฝ่าวงล้อมออกมาโดยการกระโดดร่มลงในสนามรบ นี่เป็นโอกาสเดียวที่ทำให้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ต้องใช้กลยุทธ์ทางอากาศเพื่อป้องกันกองทัพของตนจากการถูกทำลายล้างโดยกองทัพจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เซฺว เยฺว่ ยังเป็นผู้มีส่วนร่วมต่อชัยชนะของแนวหน้าที่ 9 อีกด้วย ในการรบป้องการเมืองฉางชา จากการยึดครองของกองทัพญี่ปุ่นครั้งแรก , ครั้งที่สอง และครั้งที่สาม ของยุทธการฉางชา[ 3] กองทัพของเขาในแนวหน้าที่ 9 ยังได้รับชัยชนะที่การต่อสู้ของฉางเต๋อ ในท้ายที่สุดเซฺวพยายามป้องกันฉางชาอีกครั้งก่อนที่จะพ่ายแพ้ในยุทธการฉางชาครั้งที่สี่
อ้างอิง