เจาะเวลาหาอดีต (อังกฤษ : Back to the Future ) เป็นภาพยนตร์ ในปี ค.ศ. 1985 แนวผจญภัยวิทยาศาสตร์ ของผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเม็กคิส ร่วมเขียนบทโดยบ็อบ เกล และอำนวยการสร้างโดยสตีเฟน สปีลเบิร์ก นำแสดงโดย ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ รับบทวัยรุ่นที่ชื่อ มาร์ตี้ แม็กฟลาย , คริสโตเฟอร์ ลอยด์ ในบทบาทนักวิทยาศาสตร์ สติเฟื่องที่ชื่อ ด็อกเตอร์ เอ็มเม็ต แอล. บราวน์ , คริสพิน โกลเวอร์ , ลีอา ธอมป์สัน และโทมัส เอฟ. วิลสัน โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับมาร์ตี้ แม็กฟลาย วัยรุ่นที่บังเอิญย้อนเวลากลับจากปี 1985 ไปในปี 1955 เขาได้พบกับพ่อแม่ของเขาเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ในระดับไฮสคูล และบังเอิญทำให้แม่ของเขาหลงชื่นชอบตัวมาร์ตี้ เขาต้องแก้ไขความผิดพลาดที่จะทำลายประวัติศาสตร์ที่เป็นต้นเหตุโดยทำให้พ่อแม่ของเขากลับมารักกัน ขณะเดียวกันเขาก็ต้องหาวิธีกลับไปในปี 1985 ให้ได้
เซเม็กคิสและเกล ร่วมกันเขียนบทหลังจากที่เกลคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขากับพ่อของเขาเองได้เข้าเรียนด้วยกัน หลาย ๆ สตูดิโอภาพยนตร์ปฏิเสธบทภาพยนตร์นี้ จนกระทั่งภาพยนตร์ของเซเม็กคิสเรื่อง Romancing the Stone ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ จึงทำให้เกิดโครงการนี้โดยยูนิเวอร์ซัลพิกเจอร์ส โดยมีสปีลเบิร์ก เป็นผู้อำนวยการสร้าง เดิมทีอีริก สตอลต์ซ จะมารับบทเป็นมาร์ตี้ แม็กฟลาย แต่ในระหว่างการถ่ายทำเขาและผู้สร้างภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะทำการคัดตัวนักแสดงใหม่ นั่นหมายถึงการถ่ายทำใหม่เช่นกัน และขั้นตอนหลังการถ่ายทำที่ต้องดำเนินให้เสร็จในวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1985 ซึ่งเป็นวันกำหนดฉาย
เมื่อออกฉาย ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปีนั้น ด้วยรายได้รวม 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกและได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี ได้รับรางวัลออสการ์ 1 สาขา คือ สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม , รางวัลฮูโก สาขาการถ่ายทอดทางด้านดราม่ายอดเยี่ยม และรางวัลแซทเทิร์น ในสาขาภาพยนตร์แต่งแนววิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขาอื่นๆ, รางวัลบาฟต้า และรางวัลลูกโลกทองคำ ทั้งนี้โรนัลด์ เรแกน ยังเคยพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยในการแถลงนโยบายประจำปี 1986 และในปี 2007 หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ได้คัดเลือกภาพยนตร์เรื่องนี้ในหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีการออกฉายภาคต่อใน เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2 และ เจาะเวลาหาอดีต ภาค 3 ต่อเนื่องกันในปี 1989 และ 1990 ตามลำดับ และยังมีซีรีส์แอนิเมชันทางโทรทัศน์และยานในสวนสนุก
เนื้อเรื่อง
มาร์ตี้ แม็กฟลาย วัยรุ่นอายุ 17 ปี อาศัยอยู่ที่ฮิลล์วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เช้าวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1985 ดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ (แสดงโดย ลอยด์) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องเพื่อนต่างวัยของมาร์ตี้ โทรศัพท์มาขอนัดเขาเวลา 1:15 น. ที่ทวินไพน์สมอลล์ในเช้าวันถัดไป หลังจากเข้าชั้นเรียน เขากับแฟนที่ชื่อเจนนิเฟอร์ (คลอเดีย เวลส์) ถูกขอให้บริจาคเงินเพื่อบูรณะหอนาฬิกาที่หยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว หลังจากฟ้าผ่าลงหอนาฬิกา ในเย็นวันนั้นระหว่างเดินเข้าบ้าน เขาก็พบว่ารถของครอบครัวเขาพังไป ภายในบ้าน พ่อของเขาผู้อ่อนแอที่ชื่อจอร์จ (คริสปิน โกลเวอร์) กำลังถูกระรานจากหัวหน้าเขาที่ชื่อ บิฟฟ์ เทนเน็น (โทมัส เอฟ. วิลสัน) ที่ขอยืมรถของพวกเขาไปแล้วทำพัง ในมื้อเย็นวันนั้น แม่ของมาร์ตี้ที่ชื่อ ลอร์เรน (ลีอา ธอมป์สัน) เล่าความหลังถึงตอนที่เธอและจอร์จพบกันครั้งแรกโดยที่พ่อของเธอขับรถชนจอร์จ โดยบอกว่าจอร์จกำลังดูนกอยู่
ในคืนนั้น มาร์ตี้ได้พบด็อกตามนัดที่ลานจอดรถของทวินไพน์สมอลล์ ด็อกได้นำเสนอเดอลอรีน ดีเอ็มซี-12 ที่ดัดแปลงมาเป็นยานไทม์แมชชีน โดยให้มาร์ตี้ถ่ายทำเทปวิดีโอ ไว้ ด็อกอธิบายถึงโปรแกรมในการเดินทางข้ามผ่านเวลาที่ต้องให้รถวิ่งที่ความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยใช้พลังงานพลูโตเนียม จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ เกิดพลังงาน 1.21 จิ๊กกะวัตต์ การสาธิตอธิบายการทำงานของเครื่องยนต์ ด็อกได้กดเวลาเป้าหมาย ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1955 โดยเขาอธิบายว่าเป็นวันที่เขาเกิดแนวคิดในการสร้างเครื่องแปรพลังงาน(ฟลักซ์คาพาซิเตอร์) อุปกรณ์ที่ทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้ ก่อนที่ด็อกวางแผนที่จะเดินทางไปอนาคต จู่ ๆ กลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวลิเบีย ที่ด็อกไปขโมยพลูโตเนียมมา ไล่ล่าเขาด้วยรถแวนโฟล์คสวาเกน จนฆ่าเขาได้ มาร์ตี้กระโดดเข้าเดอลอรีนและถูกวิ่งกวดมาจนถึงความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงทำให้เดินทางข้ามเวลากลับไปที่ปี ค.ศ. 1955 โดยทันที
เมื่อมาถึงปี 1955 รถวิ่งเข้าคอกสัตว์และใช้การไม่ได้ มาร์ตี้จึงซ่อนรถไว้แล้วเดินเข้าไปในเมือง เขาพบจัตุรัสในเมืองที่บ่งบอกถึงยุคสมัย 1950 และเห็นหอนาฬิกาที่ยังใช้การได้ มาร์ตี้เดินเข้าร้านกาแฟ และพบกับพ่อของเขาเองที่กำลังถูกข่มเหงจากบิฟฟ์อยู่ จากนั้นมาร์ตี้ได้ตามจอร์จ และพบว่าจอร์จกำลังปีนต้นไม้เพื่อแอบดูผู้หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ไม่ใช่ดูนก จอร์จตกลงจากต้นไม้และจะถูกรถชน มาร์ตี้ผลักเขาออกไป ทำให้ตัวเองถูกรถชนแทน ซึ่งคนขับชนก็คือพ่อของลอร์เรน เมื่อพามาร์ตี้ไปพักรักษาที่บ้าน ผลคือลอร์เรนหลงรักมาร์ตี้แทนจอร์จ มาร์ตี้พยายามบ่ายเบี่ยงการเกี้ยวพาราสีจากแม่ของเขาเองและพบว่าครอบครัวของแม่เป็นครอบครัวที่เคร่งครัดเจ้าระเบียบไม่เหมือนกับแม่ของเขาที่รู้จัก เขาผละตัวจากเธอเพื่อพยายามตามหาด็อก บราวน์
รถเดอลอรีน
มาร์ตี้เข้าพบกับด็อก นักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นว่ามาร์ตี้เสียสติ มาร์ตี้พยายามทำให้ด็อกเชื่อว่าเขามาจากปี 1985 โดยเล่าเรื่องราวของด็อกถึงที่มาของการผลิตเครื่องแปรพลังงาน (ฟลักซ์คาพาซิเตอร์) และได้โชว์วิดีโอเทปการทดลองในปี 1985 อย่างไรก็ตามแต่เมื่อถึงตอนที่ด็อกตอนแก่ (ในวิดีโอ) อธิบายว่าจะต้องใช้พลังงานจำนวนมากที่ใช้เดินทางข้ามเวลาก็ทำให้เขาช็อกไป ด็อกบอกแก่มาร์ตี้ว่านอกจากพลูโตเนียม ซึ่งจะหาได้ยากแล้ว สิ่งเดียวที่มีพลังงานเท่านั้นคือ พลังงานจากฟ้าผ่า ซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ มาร์ตี้ก็นึกขึ้นได้ว่าจะมีฟ้าผ่าลงหอนาฬิกาที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึง ด็อกจึงได้เริ่มวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากฟ้าผ่าในการส่งมาร์ตี้กลับไปยังปี 1985
นอกจากนี้ มาร์ตี้ยังพบว่ารูปถ่ายของเขากับพี่ชายและพี่สาว เริ่มมีบางอย่างผิดปกติ โดยภาพพี่ชายของเขาเริ่มจากหายไป ด็อกสรุปว่าเป็นเพราะมาร์ตี้ ช่วยพ่อของเขาจากการถูกรถชน แล้วแม่ของเขากลับมาตกหลุมรักเขาเสียเอง เป็นการทำให้อนาคตบิดเบือนไป ซึ่งเขาจะต้องแก้ไขเรื่องที่ทำพลาดไปนี้
หลังจากล้มเหลวจากความพยายามที่นัดทั้งคู่ออกเดทกัน มาร์ตี้วางแผนว่าจะพาลอร์เลนไปงานเต้นรำที่โรงเรียน (ซึ่งตรงกับเวลาที่เขาจะเดินทางกลับอนาคต) แล้วเขาจะลวนลามเธอ จากนั้นก็ให้จอร์จเข้ามาช่วย เพื่อเป็นการพิชิตใจเธอ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาตามแผนบิฟฟ์ได้เข้ามาอย่างไม่ได้คาดการณ์ไว้และให้แก๊งค์เขาจับตัวมาร์ตี้ไปขังไว้หลังรถของนักดนตรี จากนั้นบิฟฟ์เข้าไปในรถแล้วพยายามลวนลามลอร์เรน จอร์จมาพอดีตามแผนของมาร์ตี้ที่วางไว้ แต่ก็ช็อกที่เจอบิฟฟ์แทนมาร์ตี้ บิฟฟ์บอกให้เขาไปไกล ๆ แต่จอร์จไม่อาจทนได้ที่ลอร์เรนถูกลวนลาม จึงต่อยเขาเข้าเต็ม ๆ จนหมอบลงกับพื้น ลอร์เรนจึงเกิดหลงรักจอร์จที่ช่วยเหลือเขาอย่างสุภาพบุรุษก็เข้าไปงานเต้นรำ ที่ที่ทั้งสองจูบกันครั้งแรก และทำให้มาร์ตี้กลับมามีตัวตนอีกครั้งแทนที่จะเลือนหายไป
ขณะเดียวกัน ด็อกได้ใช้สายเคเบิลเชื่อมต่อกับเสาล่อฟ้าของหอนาฬิกาเข้ากับโคมไฟสองข้างถนน โดยวางแผนว่าจะให้มาร์ตี้ใช้เดอลอรีนวิ่งผ่านสายไฟที่ขึงข้ามถนนขณะที่เกิดฟ้าผ่า ก่อนที่มาร์ตี้จะไปตั้งหลัก ด็อกก็พบกับจดหมาย ที่มาร์ตี้เขียนขึ้นในกระเป๋าเสื้อคลุม ซึ่งเตือนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าเขาจะถูกฆ่าตาย ด็อกฉีกจดหมายทิ้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน และอธิบายว่ามันอาจเป็นอันตรายต่ออนาคต มาร์ตี้จึงปรับเปลี่ยนเวลาที่จะย้อนกลับให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 นาที เพื่อหวังว่าเมื่อกลับถึงอนาคตแล้วเขาจะมีเวลาเตือนด็อกเพื่อไม่ให้ถูกยิง หลังจากที่มาถึงอนาคต รถก็ใช้การไม่ได้อีก มาร์ตี้จึงมาถึงลานจอดรถช้าเกินไปที่จะช่วยด็อก ขณะที่มาร์ตี้ร้องไห้อยู่ ร่างของด็อกก็ลุกขึ้นและรูดซิปเสื้อกันกัมมันตภาพรังสี ออก โชว์ให้เห็นเสื้อเกราะกันกระสุน ด็อกได้ให้มาร์ตี้ดูจดหมายที่มาร์ตี้เขียนไว้ในอดีตที่ทำมาปะติดใหม่ด้วยเทป จากนั้นด็อกตัดสินใจเดินทางข้ามเวลาไปยังอนาคตในอีก 30 ปีข้างหน้า
ในเช้าวันต่อมา มาร์ตี้พบว่าฐานะของครอบครัวเปลี่ยนไป ลอร์เรนดูหุ่นดีและดูไม่จู้จี้จุกจิก จอร์จเป็นนักประพันธ์ ที่ดูมีความมั่นใจ ส่วนบิฟฟ์ก็ได้รับใช้จอร์จแทน ส่วนเจนนิเฟอร์กับมาร์ตี้ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ด็อกมาพบทั้งคู่ด้วยท่าทีลนลาน บอกว่าเขากลับมาจากอนาคตและจะพาพวกเขาทั้งคู่ไปอนาคตด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูก ๆ ในอนาคตของทั้งสอง ฉากจบของเรื่อง รถเดอลอรีนได้เพิ่มสมรรถนะให้บินได้ และหายไปกับอนาคต
การพัฒนา
การเขียนบท
ผู้เขียนบทและผู้สร้าง บ็อบ เกล เกิดแนวคิดขึ้นหลังจากที่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาที่ เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เขาพบรถเก่าที่ใต้ดินของที่บ้าน เกลพบหนังสือรุ่นของพ่อเขาและพบว่าพ่อของเขาเป็นประธานนักเรียนของชั้นด้วย เกลจึงนึกถึงประธานนักเรียนรุ่นเขาเองที่เขาไม่ได้สุงสิงอะไรด้วยเลย[ 1] เขาก็นึกเล่น ๆ ถ้าเขาเป็นเพื่อนกับพ่อเขาและไปเรียนด้วยกันตอนเรียนไฮสคูล จะเป็นอย่างไร เมื่อเขากลับไปแคลิฟอร์เนีย ก็ได้เล่าให้โรเบิร์ต เซเม็กคิส เกี่ยวกับแนวคิดใหม่นี้[ 2] เซเม็กคิสก็นึกถึงเรื่องของแม่เขาที่ว่า เธอไม่เคยจูบผู้ชายเลยเมื่อสมัยเรียนไฮสคูล ซึ่งในชีวิตจริงเธอก็ผ่านมาโชกโชน[ 3] ทั้งคู่นำไปเสนอกับโคลัมเบียพิกเจอร์ส และได้พัฒนาบทในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980[ 2]
เซเม็กคิสและเกลได้กำหนดเรื่องราวในปี 1955 มีวิธีคิด กล่าวคือ คนอายุ 17 ปี กลับไปหาพ่อแม่เขาในอดีตเพื่อพบกับพ่อแม่ของเขาในวัยเดียวกับเขา ในยุคนั้นเป็นต้นกำเนิดของเพลงร็อกแอนด์โรล เป็นยุคที่สื่อให้ความสนใจกับวัยรุ่น พลังในการจับจ่ายใช้สอย และเป็นยุคการขยายตัวอยู่อาศัยในเขตชานเมือง ที่มีกลิ่นอายอยู่ในเรื่องราว[ 4] มาร์ตี้ในฉบับดั้งเดิมเป็นพวกทำวิดีโอเถื่อน ส่วนไทม์แมชชีนเป็นตู้เย็น ที่เขาต้องการพลังงานระเบิดจากการทดลองที่เนวาดาเทสต์ไซต์ ที่จะนำพาเขากลับบ้าน เซเม็กคิสตระหนักว่า "อาจจะมีเด็กที่ขังตัวเองในตู้เย็นก็ได้" และฉากสำคัญที่สุดในเรื่องก็ดูใช้เงินเยอะเกินไป รถเดอลอรีนที่ใช้เป็นไทม์แมชชีนได้ถูกคัดเลือกและออกแบบมาเพราะจะใส่มุขเกี่ยวกับครอบครัวที่ว่า ชาวไร่เข้าใจผิดว่ามันคือจานบิน นักเขียนได้เชื่อมความสัมพันธ์ในความเป็นเพื่อนข้ามวัยของมาร์ตี้กับด็อก บราวน์ ค่อนข้างยาก โดยเชื่อมเรื่องราวว่า พวกเขาสร้างแอมป์กีตาร์ขนาดใหญ่ขึ้นมา ส่วนฉากความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับมาร์ตี้ในอดีต พวกเขาเขียนคำพูดว่า "มันเป็นจูบที่เหมือนเธอจูบน้องชายเขา" ส่วนบิฟฟ์ แทนเน็นตั้งชื่อตามเน็ด เทเน็น ตำแหน่งยูนิเวอร์ซัลเอกคูทีฟ ที่ดูก้าวร้าวกับเซเม็กคิสและเกลขณะที่พบกันระหว่างเขียนบทให้ภาพยนตร์เรื่อง I Wanna Hold Your Hand [ 3]
โครงร่างแรกของ เจาะเวลาหาอดีต เสร็จสิ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1981 โคลัมเบียพิกเจอร์สต้องการให้ปรับเปลี่ยนและขายต่อ "พวกเขาคิดว่า มันค่อนข้างดี, น่ารัก, หนังอบอุ่น แต่ยังขาดเรื่องทางเพศไป" เกลพูด "พวกเขาแนะนำว่า ควรนำหนังไปให้ดิสนีย์ แต่พวกเขาตัดสินใจ ที่จะส่งไปสตูดิโอใหญ่อื่นที่ต้องการพวกเขา[ 2] ทุกค่าย ทุกสตูดิโอใหญ่ ๆ ปฏิเสธบทนี้ ขณะที่พวกเขายังพัฒนาอีก 2 บทร่าง ระหว่างต้นยุค 1980 ด้วยความนิยมของคอเมดี้วัยรุ่น (อย่างเช่น Fast Times at Ridgemont High และ Porky's ) ที่มีเนื้อหาทะลึ่งตึงตัง ดังนั้นบทภาพยนตร์ก็ถูกปฏิเสธไปเนื่องจากเนื้อหาเบาไป[ 3] เกลและเซเม็กคิสตกลงที่จะเสนอ เจาะเวลาหาอดีต ให้ทางดิสนีย์ "พวกเขาบอกว่า แม่ตกหลุมรักลูกชายของตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับภาพยนตร์ครอบครัว ภายใต้แบรนด์ของดิสนีย์" เกล พูด[ 2]
ทั้งคู่พยายามเข้าหาสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เป็นผู้สร้างให้กับ Used Cars และ I Wanna Hold Your Hand ที่ล้มเหลวทั้งสองเรื่อง สปีลเบิร์กได้ห่างหายจากโครงการไปเพราะเซเม็กคิสทำล้มเหลว เพราะถ้ามันล้มเหลวอีกก็อยู่ภายใต้ชื่อเขา เขาจะไม่สามารถที่จะสร้างหนังได้อีก เกลพูดว่า "เรากลัวว่า เราจะได้ชื่อเสียงจากเพราะเราสองคนที่แค่ทำงานได้เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกับสตีเวน สปีลเบิร์ก"[ 5] มีผู้สร้างคนหนึ่งสนใจแต่เปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าสปีลเบิร์กไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ เซเม็กคิสจึงเลือกที่จะกำกับ Romancing the Stone แทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส เป็นอย่างดี ทำให้เขามีประวัติดี น่าเชื่อถือ เซเม็กคิสจึงเข้าหาสปีลเบิร์กด้วยแนวคิดนี้ โครงการนี้จึงเกิดขึ้นภายใต้สตูดิโอ ยูนิเวอร์ซัลพิกเจอร์ส [ 3]
ซิดนีย์ ชีนเบิร์ก ผู้บริหารได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับบทว่า ให้เปลี่ยนชื่อแม่ของมาร์ตี้ จากเม็ก เป็น ลอร์เรน (ตามชื่อภรรยาเขา ที่เป็นนักแสดงที่ชื่อ ลอร์เรน แกรี ) และเปลี่ยนสัตว์เลี้ยงของด็อกบราวน์จากลิงชิมแพนซี เป็นสุนัข [ 3] ชีนเบิร์กต้องการให้เปลี่ยนชื่อเป็น Spaceman from Pluto แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่เขาก็แนะนำว่าน่าจะให้มาร์ตี้แนะนำตัวเขาเองว่าเป็น "ดาร์ธ เวเดอร์ จาก ดาวพลูโต " ขณะที่ชุดแต่งให้แต่งตัวเหมือนมนุษย์ต่างดาว (ดีกว่ามาจากดาว วัลแคน) และที่ชาวนาโชว์การ์ตูนเป็น Spaceman from Pluto แทนที่จะเป็น Space Zombies from Pluto สปีลเบิร์กส่งข้อความกลับไปชีนเบิร์กว่า ที่เขาพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนชื่อนี่คือเรื่องตลกใช่มั๊ย ดังนั้นเขาจึงยกเลิกแนวคิดนี้ไป[ 6]
การคัดเลือกนักแสดง
ภาพการทดลองยานไทม์แมชชีน รับบทเป็นมาร์ตี้ แม็กฟลาย โดยอีริก สตอลต์ซ
ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ เป็นตัวเลือกแรกสำหรับบทมาร์ตี้ แม็กฟลาย แต่เขาได้ตอบรับที่จะแสดงในซีรีส์ Family Ties ไปแล้ว[ 7] แกรี เดวิด โกลด์เบิร์ก ผู้สร้างโชว์รู้สึกว่าฟ็อกซ์มีความจำเป็นสำหรับความสำเร็จของซีรีส์นี้และจะทำให้สับสนถ้าเขาประสบความสำเร็จจากโชว์ ภาพยนตร์กำหนดออกฉายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1985 และในช่วงปลายปี 1984 เมื่อรู้ว่าฟ็อกซ์ไม่สามารถแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้[ 3] ตัวเลือกอีก 2 คนของเซเม็กคิสคือ ซี. โทมัส ฮาวเวลล์ และ อีริก สตอลต์ซ ซึ่งภายหลังได้ทำให้ผู้สร้างประทับใจกับบท รอย แอล. เดนนิส ในเรื่อง Mask พวกเขาเลือกอีริก สตอลต์ซมารับบทเป็นมาร์ตี้ แม็กฟลาย[ 1] แต่ด้วยเพราะความยุ่งยากในขั้นตอนคัดเลือกนักแสดง ทำให้วันออกฉายเลื่อนไป 2 หน[ 8]
ในระหว่างการถ่ายทำ 4 อาทิตย์ เซเม็กคิสตัดสินใจดึงสตอลต์ซออกจากภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าเขาและสปีลเบิร์กจะรู้ดีว่าจะต้องถ่ายทำใหม่ซึ่งจะต้องใช้งบเพิ่มอีก 3 ล้านถึง 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาตัดสินใจคัดเลือกตัวนักแสดงใหม่ สปีลเบิร์กอธิบายเซเม็กคิสที่รู้สึกกับสตอลต์ซว่า ขาดอารมณ์ขันและ "มีการแสดงที่เลวร้าย" เกลอธิบายเพิ่มว่า สตอลต์ซแค่แสดงไม่สมบทบาท ขณะที่ฟ็อกซ์ด้วยตัวเขาเองแล้วบุคลิกเหมือน มาร์ตี้ แม็กฟลาย เขารู้สึกว่าสตอลต์ซดูไม่เหมาะกับการเล่นสเกตบอร์ด ขณะที่ฟ็อกซ์ดูเนียน ทางด้านสตอลต์ซรู้สึกผิดกล่าวทางโทรศัพท์กับปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช ว่า 2 อาทิตย์ระหว่างการถ่ายทำ เขารู้สึกถึงความไม่มั่นใจในทิศทางของเซเม็กคิสและเกล และเห็นด้วยว่าเขาไม่เหมาะกับบทนี้[ 3]
ฟ็อกซ์วางตารางเวลาไว้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1985 เมื่อเมเรดิธ แบ็กซ์เตอร์ จะกลับมาใน Family Ties หลังจากการตั้งครรภ์ ทีมงาน เจาะเวลาหาอดีต กลับมาหาโกล์ดเบิร์กอีกครั้ง ที่ได้สัญญากับฟ็อกซ์ว่าจะเป็นตัวละครสำคัญใน Family Ties แต่ถ้าตารางเวลาขัดกัน เขาก็ไม่ได้เล่น ฟ็อกซ์ชอบบทภาพยนตร์และเห็นถึงความใส่ใจของเซเม็กคิสและเกลที่เขาไล่สตอลต์ซออก แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดถึงสตอลต์ซมากเท่าไหร่[ 3] เพอร์ เวลินเดอร์ และโทนี ฮอว์ก โปรสเกตบอร์ดได้ช่วยในฉากเล่นสเกตบอร์ด อย่างไรก็ตามฮอว์กก็ออกไปจากภาพยนตร์เพราะเขาสูงกว่าฟ็อกซ์ ที่เดิมเขาแสดงแทนสตอลต์ซในหลายฉาก ฟ็อกซ์ยังพูดถึงมาร์ตี้ แม็กฟลายว่าดูมีความเป็นตัวเองสูง "ที่ผมทำในตอนเรียนระดับไฮสคูลคือเล่นสเกตบอร์ด ตามผู้หญิงและมีวงดนตรี ผมเคยแม้แต่ฝันว่าจะเป็น ร็อกสตาร์"[ 7]
คริสโตเฟอร์ ลอยด์ รับบทเป็น ด็อก บราวน์ หลังจากที่ตัวเลือกแรกในบทนี้คือ จอห์น ลิธโกว์ ที่ไม่ว่างที่แสดง[ 3] ผู้สร้าง นีล แคนตัน ใน The Adventures of Buckaroo Banzai (1984) ที่เคยทำงานร่วมกับลอยด์ได้แนะนำให้มารับบทนี้ เดิมทีลอยด์ปฏิเสธที่จะเล่น แต่ก็เปลี่ยนจากหลังจากอ่านบทและคำคะยั้นคะยอจากภรรยาเขา เขายังได้ปรับเปลี่ยนการแสดงบางฉาก[ 10] โดยได้รับแรงบันดาลใจจากอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ และคอนดักเตอร์ ที่ชื่อ ลีโอโพลด์ สโตคาวสกี [ 11] บราวน์ ออกเสียง จิ๊กกะวัตต์ เป็น "จิ๊กโกวัตต์" ที่เป็นคำพูดของนักฟิสิกส์ พูดกัน เป็นข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนการหาข้อมูลเขียนบทของเซเม็กคิสและเกล
คริสพิน โกลเวอร์ รับบทเป็น จอร์จ แม็กฟลาย เซเม็กคิสพูดถึงโกลเวอร์ว่าเขาแสดงเกินบทมากเกินไป ในบทบาทจอร์จที่มีบุคลิกเฉื่อยชา อย่างเช่นการเชกแฮนด์ ผู้กำกับก็พูดติดตลกเกี่ยวกับโกลเวอร์ว่า เขาแทบไม่เข้าใจลักษณะตัวละคร อีก 50% ที่เหลือเลย[ 3]
ลีอา ธอมป์สัน รับบทเป็น ลอร์เรน แม็กฟลาย เพราะเธอรับบทคู่กับสตอลต์ซใน The Wild Life การแต่งหน้าเธอในฉากปี 1985 ต้องใช้เวลาแต่งหน้าถึง 3 ชั่วโมงครึ่งจึงจะเสร็จ[ 12]
โทมัส เอฟ. วิลสัน รับบทเป็น บิฟฟ์ แทนเน็น เพราะตัวเลือกแรกที่เลือกไว้คือ เจ. เจ. โคเฮน เมื่อพิจารณาดูแล้วจะดูเชื่อไม่ได้ว่าจะวางก้ามกับสตอลต์ซได้[ 3] แต่โคเฮนก็แสดงในบทเพื่อนของบิฟฟ์ และเมื่อมีฟ็อกซ์มาแสดง โคเฮนก็พอดูจะพอทำได้กับบทนี้ที่เขาสูงกว่าฟ็อกซ์
งานสร้าง
จตุรัสเมืองฮิลล์วัลเลย์ถ่ายทำที่คอร์ตเฮาส์สแควร์
หลังจากที่สตอลต์ซออกไป ฟ็อกซ์ได้จัดตารางเวลาโดยในช่วงวันธรรมดา ถ่าย Family Ties ในช่วงกลางวัน และถ่าย เจาะเวลาหาอดีต จาก 18.30 น. ถึง 2.30 น. ของอีกวัน เขามีเวลานอนเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ในระหว่างวันศุกร์เขาถ่ายตั้งแต่ 4 ทุ่ม ถึง 6 หรือ 7 โมงเช้า จากนั้นก็ไปถ่ายฉากข้างนอกในช่วงวันหยุด ในฉากที่ต้องถ่ายในช่วงกลางวัน ฟ็อกซ์รู้สึกเหน็ดเหนื่อยต่อการทำงาน แต่ "มันเป็นความฝันที่จะอยู่ในภาพยนตร์ และธุรกิจโทรทัศน์ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รู้ว่าผมทำควบคู่กันไป มันเป็นอะไรที่ประหลาดแต่ผมก็ต้องดำเนินต่อไป"[ 13] เซเม็กคิสก็เห็นด้วย พวกเขาถ่ายทำวันแล้ววันเล่า ทุกคืน ตอนนั้นเขามักจะอยู่ใน "ภาวะกึ่งหลับ" และ "อ้วนที่สุด ไม่อยู่ในรูปร่างที่ควบคุมและป่วยบ่อยที่สุด"[ 3] ฟ็อกซ์ใช้เวลาถ่ายเรื่องนี้ 10-12 สัปดาห์
ฉากจตุรัสเมืองฮิลล์วัลเลย์ถ่ายทำที่คอร์ตเฮาส์สแควร์ ตั้งอยู่ด้านหลังสตูดิโอของยูนิเวอร์ซัล บ็อบ เกลอธิบายว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายทำจากสถานที่จริง "เพราะไม่มีเมืองไหนที่อนุญาตให้ทีมงานภาพยนตร์ตกแต่งฉากบ้านเรือนให้เหมือนในยุค 1955" ทางทีมงานสร้างอธิบายว่า "พวกเขาตัดสินใจที่จะถ่ายทำฉากในปี 1955 ก่อน ที่ที่มีความสวยงาม จากนั้นจึงค่อยใส่ขยะ และทำให้มันน่าเกลียดในฉากยุค 1985"[ 13] ส่วนฉากภายในบ้านด็อกบราวน์ถ่ายทำที่บ้านโรเบิร์ต อาร์. แบล็กเกอร์ ขณะที่ฉากด้านนอกถ่ายทำที่บ้านแกมเบิล[ 14]
เมื่อภาพยนตร์ใกล้เสร็จ เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1985 หลังจากการถ่ายทำครบร้อยวัน ภาพยนตร์ก็ได้เลื่อนฉายจากเดือนพฤษภาคมไปเป็นสิงหาคม แต่หลังจากได้เสียงตอบรับด้านบวกในรอบทดลองฉาย ชีนเบิร์กเลือกวันออกฉายวันที่ 3 กรกฎาคม และเพื่อที่เสร็จสิ้นภายในวันที่กำหนด ผู้ตัดต่อสองคนคือ อาร์เธอร์ ชมิดต์และแฮร์รี เคอรามิดาส รับหน้าที่ในการตัดต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะที่ผู้ตัดต่อเสียงจำนวนมากทำงาน 24 ชั่วโมง มีส่วนที่ถูกตัดทิ้งไป 8 นาที เช่นฉากมาร์ตี้ดูแม่เขาโกงการสอบ, จอร์จติดอยู่ในบูธโทรศัพท์ ก่อนที่จะช่วยเหลือลอร์เรน รวมถึงฉากที่มาร์ตี้แสร้งทำเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ส่วนฉากจอห์นนี บี. กู้ด ก็เกือบถูกตัดทิ้งไปโดยเซเม็กคิส ที่เขารู้สึกว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหา แต่ผู้ชมรอบทดสอบกลับชื่นชอบมัน ทำให้เขาต้องเก็บเอาไว้
อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ แมจิก ทำงานด้านฉากเอฟเฟกต์ 32 ช็อต ซึ่งเซเม็กคิสและเกลก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร จนกระทั่งในสัปดาห์สุดท้ายก่อนภาพยนตร์จะเสร็จสิ้น[ 3]
ดนตรี
อลัน ซิลเวสตริ เคยร่วมงานกับเซเม็กคิสในภาพยนตร์เรื่อง Romancing the Stone ซึ่งทางสปีลเบิร์กก็ไม่ชอบผลงานเพลงบรรเลงเรื่องนี้ เซเม็กคิสแนะนำซิลเวสตริว่าให้ประพันธ์เพลงบรรเลงอย่างอลังการ ฟังดูเหมือนเป็นมหากาพย์ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์เล็ก ๆ เพื่อจะได้สร้างความประทับใจให้กับสปีลเบิร์ก ซิลเวสตริเริ่มบันทึกเสียงเพลงบรรเลงก่อนรอบปฐมทัศน์ 2 สัปดาห์ เขายังได้แนะนำ ฮิวอี ลูวิส แอนด์ เดอะ นิวส์ ให้แต่งเพลงธีมภาพยนตร์ ความพยายามครั้งแรกก็ได้รับการปฏิเสธจากยูนิเวอร์ซัล จากนั้นพวกเขาบันทึกเสียง "The Power of Love" ซึ่งทางสตูดิโอก็ชื่นชอบเพลงสุดท้ายนี้ แต่ก็ผิดหวังเมื่อมันไม่ได้มีอยู่ในไตเติลของหนัง พวกเขาจึงส่งข้อความให้สถานีวิทยุโดยให้พูดถึงว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่อง เจาะเวลาหาอดีต [ 3] ในตอนท้ายของหนังมีเพลงที่ชื่อ "Back in Time" ขึ้นมาในช่วงที่มาร์ตี้กลับมาถึงในปี 1985 และอีกครั้งตอนเครดิตตอนจบ ฮิวอี เลวิส ยังร่วมแสดงเป็นครูในโรงเรียนที่ผิดหวังกับวงของมาร์ตี้ และวิจารณ์ว่า เพลงเสียงดังไป[ 13]
การตอบรับ
การออกฉาย
เจาะเวลาหาอดีต ออกฉายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1985 ด้วยจำนวนโรงฉาย 1,200 โรงในอเมริกาเหนือ เซเม็กคิสกังวลว่าภาพยนตร์จะไม่ประสบความสำเร็จดีเนื่องจาก ฟ็อกซ์ ต้องไปถ่ายซีรีส์ Family Ties ตอนพิเศษในลอนดอน จึงไม่สามารถมาร่วมประชาสัมพันธ์ได้ เกลก็รู้สึกไม่พอใจกับคำเปรยของยูนิเวอร์ซัลพิกเจอร์สที่เขียนไว้ว่า "คุณกำลังบอกใช่มั๊ยว่า แม่ของผมชอบผมเหรอ" แต่ เจาะเวลาหาอดีต ก็ทำรายสถิติอยู่ที่อันดับ 1 นาน 11 สัปดาห์[ 3] เกลพูดว่า "ในสัปดาห์ที่ 2 มียอดสูงกว่าในสัปดาห์แรก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคงเป็นคำพูดแบบปากต่อปาก ภาพยนตร์เรื่อง National Lampoon's European Vacation ที่ออกในเดือนสิงหาคม เขี่ยพวกเราลงจากอันดับ 1 ได้สัปดาห์เดียวจากนั้นพวกเขาก็ขึ้นไปที่อันดับ 1 ใหม่อีกครั้ง"[ 5] ภาพยนตร์ทำรายได้ 210.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอเมริกาเหนือ และ 170.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในต่างประเทศ รวมยอดทั่วโลกที่ 381.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 15] นอกจากนี้ เจาะเวลาหาอดีต ยังเปิดตัวในสุดสัปดาห์ สูงสุดเป็นอันดับ 4 และมีรายได้มากที่สุดประจำปีนั้นอีกด้วย[ 16] ถ้าคิดจากค่าเงินเฟ้อ แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รายได้สูงสุดในอเมริกาเหนือ เป็นอันดับที่ 58 จากการคำนวณเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2008[ 17]
โรเจอร์ อีเบิร์ต รู้สึกว่า เจาะเวลาหาอดีต มีธีมคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ของแฟรงก์ คาปรา หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง It's a Wonderful Life อีเบิร์ตยังวิจารณ์ผู้สร้างว่า "สตีเวน สปีลเบิร์ต ได้เลียนแบบหนังในอดีตที่ยิ่งใหญ่ ของหนังตระกูลคลาสสิกของฮอลลีวูด โดยมีความเหมาะสมในการเลือกผู้กำกับ (โรเบิร์ต เซเม็กคิส) กับโครงการที่เหมาะสมกันยิ่ง"[ 18] แจเน็ต แมสลิน จาก เดอะนิวยอร์กไทมส์ เชื่อว่าภาพยนตร์มีเนื้อเรื่องที่สมดุลกัน "ถือเป็นการประดิษฐ์ทางภาพยนตร์ที่น่าพึงพอใจและเรื่องเล่าที่แปลกประหลาดที่นาน ๆ ทีจะมี"[ 19] คริสโตเฟอร์ นูลล์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ยังวัยรุ่น เรียกว่า "เป็นหนังที่เป็นแก่นสารของยุค 1980 ที่รวมเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์ , บู๊, ตลก และความรัก รวมเข้าอย่างสมบูรณ์ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี"[ 20] เดฟ เคอร์ จาก ชิคาโกรีดเดอร์ รู้สึกถึงว่าบทภาพยนตร์ที่เขียนโดยเกลและเซเม็กคิสช่างสมบูรณ์และสมดุลระหว่างนิยายวิทยาศาสตร์ สาระ และอารมณ์ขัน[ 21] วาไรตี้ ยกย่องการแสดง การเถียงกันของฟ็อกซ์และลอยด์ ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างมาร์ตี้กับด็อก บราวน์ ซึ่งชวนให้ระลึกถึง กษัตริย์อาเธอร์ และ เมอร์ลิน [ 22] บีบีซี ยกย่องความสลับซับซ้อนของบทที่ดำเนินการอย่างโดดเด่น และยังพูดว่า "ไม่มีใครเลยที่ไม่สำคัญในเนื้อเรื่องนี้"[ 23] และจากนักวิจารณ์ 44 คนใน ร็อทเทนโทเมโทส์ มี 95% ที่รู้สึกสนุกกับภาพยนตร์เรื่องนี้[ 24]
เจาะเวลาหาอดีต ยังได้รับรางวัลออสการ์ สาขาตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม ขณะที่เพลง "The Power of Love" รวมถึงผู้ออกแบบเสียง รวมถึงเซเม็กคิสและเกล (สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิม) ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง[ 25] ภาพยนตร์ยังได้รับรางวัลฮูโก สาขาการถ่ายทอดทางด้านดราม่ายอดเยี่ยม [ 26] และรางวัลแซทเทิร์น ในสาขาภาพยนตร์แต่งแนววิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม ส่วนไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ และนักออกแบบวิชวลเอฟเฟกต์ก็ได้รับรางวัลจากการแจกรางวัลแซทเทิร์นด้วย เซเม็กคิสและอลัน ซิลเวสตริ นักประพันธ์เพลง ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และนักแสดงสมทบ ลีอา ธอมป์สัน, คริสพิน โกลเวอร์ และ โธมัส เอฟ. วิลสัน ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเช่นกัน[ 27] ภาพยนตร์ยังประสบความสำเร็จในงานแจกผลรางวัลบาฟต้า ครั้งที่ 39 ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์, วิชวลเอฟเฟกต์, การออกแบบงานสร้างและการตัดต่อ[ 28] ในงานแจกรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 43 ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงหรือตลก), เพลงดั้งเดิม (สำหรับเพลง "The Power of Love"), นักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เพลงหรือตลก (ฟ็อกซ์) และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยเซเม็กคิสและเกล[ 29]
สิ่งสืบเนื่อง
ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน เคยพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ในการแถลงนโยบายประจำปี 1986 โดยเขาพูดว่า "ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นมากกว่านี้ในชีวิต เวลาที่ปลุกความบรรลุผลอันกล้าหาญ อย่างที่พวกเขาเคยพูดในหนังเรื่อง เจาะเวลาหาอดีต ...ที่ที่เราจะไป เราไม่ต้องการถนน"[ 30] เมื่อเขาเห็นมุขตลกครั้งแรกเกี่ยวกับการเป็นประธานาธิบดีของเขาเองในหนังที่ว่า "โรนัลด์ เรแกน? นักแสดง? ฮา! แล้วใครเป็นรองประธานาธิบดี ล่ะ, เจอร์รี ลูวิส เหรอ?" เขาก็ให้ผู้ฉายหนังในโรงหยุดและย้อนฟิล์มกลับไปดูใหม่[ 1] จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ก็เคยพูดถึง เจาะเวลาหาอดีต ในการกล่าวสุนทรพจน์ด้วย[ 31]
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังติดอันดับ 28 ของการจัดอันดับ 50 ภาพยนตร์ไฮสคูลที่เยี่ยมที่สุด จากการจัดของนิตยสาร เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี [ 32] ในปี 2006 ยังได้รับการลงคะแนนจากผู้อ่าน เอมไพร์ ในอันดับที่ 20 ของภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมา[ 33] เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2007 เจาะเวลาหาอดีต ยังถูกเลือกให้เก็บไว้ในหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ จากการคัดเลือกโดยหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ในฐานะ "เกี่ยวกับวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ หรือโดดเด่นทางด้านสุนทรียศาสตร์"[ 34] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008 อเมริกันฟิล์มสติติวต์ ออกมาประกาศ 10 อันดับภาพยนตร์คลาสสิกอเมริกันที่ดีที่สุดตามประเภทต่าง ๆ หลังจากการสำรวจความเห็นจากคนจำนวน 1,500 จากกลุ่มคนใช้ความคิดสร้างสรรค์ เจาะเวลาหาอดีต ติดอยู่ที่อันดับ 10 ของภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในหมวดนิยายวิทยาศาสตร์[ 35]
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 1.2 Back to the Future, The Complete Trilogy - "The Making of the Trilogy, Part 1" (DVD). Universal Home Video. 2002.
↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Michael Klastornin; Sally Hibbin (1990). Back To The Future: The Official Book Of The Complete Movie Trilogy . London: Hamlyn. pp. 1–10. ISBN 0-600-571041 . {{cite book }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 Ian Freer (January 2003). "The making of Back to the Future". Empire . pp. 183–187.
↑ Klastornin, Hibbin, p.61-70
↑ 5.0 5.1 Scott Holleran (2003-11-18). "Brain Storm: An Interview with Bob Gale" . Box Office Mojo . สืบค้นเมื่อ 2008-10-19 .
↑ Joseph McBride (1997). Steven Spielberg: A Biography . New York City: Faber and Faber. pp. 384 –385. ISBN 0-571-19177-0 .
↑ 7.0 7.1 Klastornin, Hibbin, p.11-20
↑ Norman Kagan (May 2003). "Back to the Future I (1985) , II (1989) , III (1990)". The Cinema of Robert Zemeckis . Lanham, Maryland: Rowman & Littlefield. pp. 63–92. ISBN 0-87833-293-6 .
↑ Klastornin, Hibbin, p.31-40
↑ Robert Zemeckis and Bob Gale Q&A, Back to the Future [2002 DVD], recorded at the University of Southern California
↑ Klastornin, Hibbin, p.21-30
↑ 13.0 13.1 13.2 Michael J. Fox , Robert Zemeckis , Bob Gale , Steven Spielberg , Alan Silvestri , The Making of Back to the Future (television special ) , 1985, NBC
↑ Klastornin, Hibbin, p.41-50
↑ "Back to the Future" . Box Office Mojo . สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ "1985 Domestic Totals" . Box Office Mojo . สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ "Domestic Grosses Adjusted for Ticket Price Inflation" . Box Office Mojo . สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ Roger Ebert (1985-07-03). "Back to the Future" . Chicago Sun-Times . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-09-13. สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ Janet Maslin (1985-07-03). "Back to the Future" . The New York Times . สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ Christopher Null. "Back to the Future" . FilmCritic.com . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-12. สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ Dave Kehr. "Back to the Future" . Chicago Reader . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-03-04. สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ "Back to the Future" . Variety . 1985-07-01. สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ "Back to the Future (1985)" . bbc.co.uk . สืบค้นเมื่อ 2006-11-29 .
↑ "Back to the Future" . Rotten Tomatoes . สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ "58th Academy Awards" . Academy of Motion Picture Arts and Sciences . สืบค้นเมื่อ 2008-10-26 .
↑ "1986 Hugo Awards" . The Hugo Award . สืบค้นเมื่อ 2008-10-26 .
↑ "Past Saturn Awards" . Saturn Awards.org . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-09-06. สืบค้นเมื่อ 2008-10-26 .
↑ "Back to the Future" . British Academy of Film and Television Arts . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-11-05. สืบค้นเมื่อ 2008-10-09 .
↑ "Back to the Future" . Hollywood Foreign Press Association . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-10-11. สืบค้นเมื่อ 2008-10-26 .
↑ "President Ronald Regan's Address Before a Joint Session of Congress on the State of the Union" . C-SPAN . 1986-02-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-12-14. สืบค้นเมื่อ 2006-11-26 .
↑ Bob Gale; Robert Zemeckis (1990). "Foreword". Back To The Future: The Official Book Of The Complete Movie Trilogy . London: Hamlyn. ISBN 0-600-571041 . {{cite book }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ "The 50 Best High School Movies" . Entertainment Weekly . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-09-05. สืบค้นเมื่อ 2006-11-26 .
↑ "201 Greatest Movies of All Time". Empire . No. 201. March 2006. p. 97.
↑ "National Film Registry 2007, Films Selected for the 2007 National Film Registry" . สืบค้นเมื่อ 2008-02-04 .
↑ "AFI Crowns Top 10 Films in 10 Classic Genres" . ComingSoon.net . 2008-06-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-08-18. สืบค้นเมื่อ 2008-06-18 .
แหล่งข้อมูลอื่น