อวตาร (ภาพยนตร์)
อวตาร ใบปิดภาพยนตร์
กำกับ เจมส์ แคเมอรอน เขียนบท เจมส์ แคเมอรอน อำนวยการสร้าง
นักแสดงนำ
กำกับภาพ เมาโร ฟิโอเร ตัดต่อ
ดนตรีประกอบ เจมส์ ฮอร์เนอร์ บริษัทผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่าย ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์[ 2] วันฉาย
10 ธันวาคม ค.ศ. 2009 (2009-12-10 ) (ลอนดอน )
17 ธันวาคม ค.ศ. 2009 (2009-12-17 ) (ไทย)
18 ธันวาคม ค.ศ. 2009 (2009-12-18 ) (สหรัฐ)
ความยาว 162 นาที[ 3] ประเทศ
ภาษา อังกฤษ ทุนสร้าง 237 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 4] ทำเงิน 2.923 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 5]
อวตาร (/อะวะตาน /[ a] ; อังกฤษ : Avatar ) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวมหากาพย์บันเทิงคดีวิทยาศาสตร์ ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2009[ 6] [ 7] กำกับ, เขียนบท, อำนวยการสร้างและร่วมตัดต่อโดย เจมส์ คาเมรอน แสดงนำโดย แซม เวิร์ธธิงตัน , โซอี ซัลดานา , สตีเฟน แลง, จิโอวานนี่ ริบิซี่, มิเชลล์ ราดรีเกซ และ ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ ภาพยนตร์มีฉากหลังเป็นช่วงกลางศตวรรษที่ 22 เมื่อมนุษย์กำลังล่าอาณานิคมดาวแพนดอรา ดวงจันทร์ที่อุดมสมบูรณ์และสามารถอาศัยอยู่ได้ของดาวก๊าซยักษ์ในระบบดาวแอลฟาคนครึ่งม้า เพื่อทำการขุดแร่ อันออบเทเนียม (Unobtanium)[ 8] [ 9] แร่ตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิห้อง [ 10] การขยายตัวของอาณานิคมเหมืองแร่คุกคามการดำรงชีพของ นาวี (Na'vi) เผ่าพันธุ์คล้ายมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวแพนดอราอย่างต่อเนื่อง ชื่อเรื่องของภาพยนตร์ยังอ้างถึง การนำร่างกายของ นาวี ที่ดัดแปลงพันธุกรรม แล้วถูกควบคุมจากสมอง ของมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลซึ่งใช้ในการโต้ตอบกับชาวพื้นเมืองของแพนดอรา[ 11]
การพัฒนาของ อวตาร เริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1994 เมื่อคาเมรอนเขียนโครงร่าง 80 หน้า[ 12] [ 13] การถ่ายทำควรจะเกิดขึ้นหลังจากถ่ายทำภาพยนตร์ ไททานิค ของคาเมรอนเมื่อปี ค.ศ. 1997 เสร็จและวางแผนที่จะฉายในปี ค.ศ. 1999[ 14] แต่คาเมรอนกล่าวว่ายังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้งานเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของเขาต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้[ 15] งานเกี่ยวกับภาษาของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ของภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2005 และคาเมรอนเริ่มพัฒนาบทและจักรวาลสมมติของภาพยนตร์เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006[ 16] [ 17] อวตาร ถูกตั้งงบประมาณอย่างทางการไว้ที่ 237 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 4] การประมาณการจากสื่ออื่น ประมาณการไว้ระหว่าง 280–310 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการประชาสัมพันธ์[ 18] [ 19] [ 20] ภาพยนตร์ใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบจับการเคลื่อนไหวเกือบทั้งเรื่อง ภาพยนตร์ฉายในรูปแบบปกติ, สามมิติ (ในรูปแบบ RealD 3D, Dolby 3D, XpanD 3D, และ IMAX 3D ) และสี่มิติในโรงภาพยนตร์บางแห่งในเกาหลีใต้[ 21] การถ่ายทำภาพยนตร์สามมิติได้รับการขนานนามว่าเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของภาพยนตร์[ 22]
อวตาร ฉายครั้งแรกที่ลอนดอนเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2009 และที่สหรัฐเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวก โดยนักวิจารณ์ชื่นชมเทคนิคพิเศษที่ก้าวล้ำ[ 23] [ 24] [ 25] ระหว่างฉายอยู่นั้น ภาพยนตร์ได้ทำลายสถิติในบ๊อกซ์ออฟฟิศมากมายและกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด ทั่วโลก เช่นเดียวกับในสหรัฐและแคนาดา[ 26] แซง ไททานิก ของคาเมรอนซึ่งครองสถิติมาเป็นเวลาสิบสองปี[ 27] อวตาร เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดเกือบสิบปี ก่อนจะถูกแซงโดย อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก เมื่อปี ค.ศ. 2019 และในช่วงการฉายใหม่ในประเทศจีน อวตาร กลับมาครองตำแหน่งเดิมอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021[ 28] อวตาร เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำเงินมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 29] และเป็นภาพยนตร์ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐเมื่อปี ค.ศ. 2010 อวตาร ถูกเสนอชื่อใน งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม [ 30] และชนะเลิศ สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม , สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม และ สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
หลังจากภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ คาเมรอนเซ็นสัญญากับ ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ เพื่อสร้างภาคต่ออีกสี่เรื่อง โดย อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นและทำลายสถิติจากการฉายมากมาย โดยทำรายได้ 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในอันดับที่ 1 ของปี 2022 เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐไวเป็นอันดับ 6 ตลอดกาลด้วยเวลาเพียง 14 วัน แทนที่ภาพยนตร์ภาคแรกที่ใช้เวลา 19 วัน เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 เป็นอันดับ 4 (ตามหลัง สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม, ท็อปกัน: มาเวอริค และ จูราสสิค เวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร) เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินมากกว่า 2 พันล้านเหรียญเป็นอันดับที่ 6 ของโลก เป็นเรื่องที่สองที่ทำเงินถึงภายในเวลาไม่ถึง 40 วัน และ อวตาร 3 ได้ถ่ายทำเสร็จแล้ว มีกำหนดฉายในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2022 และ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2024 ตามลำดับ ภาคต่อที่เหลือมีกำหนดฉายในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2026 และ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2028[ 31] นักแสดงหลายคนกลับมารับบทเดิม เวิร์ธธิงตัน, ซาลดานา, แลง ริบิชี และวีเวอร์[ 32] [ 33]
โครงเรื่อง
ในปี ค.ศ. 2154 มนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกไปจนหมดสิ้น นำไปสู่วิกฤตพลังงานที่รุนแรง Resources Development Administration หรือ RDA ได้สร้างเหมืองแร่บนดาวแพนดอรา ดวงจันทร์ที่อาศัยอยู่ได้ ที่มีป่าไม้หนาแน่น โคจรรอบดาวโพลีพลีมัส ดาวแก๊สยักษ์ สมมติในระบบดาวแอลฟาคนครึ่งม้า เพื่อขุดแร่ที่มีค่าชื่อว่า อันออบเทเนียม (unobtanium)[ 9] บรรยากาศ ของดาวแพนดอรานั้นเป็นพิษต่อมนุษย์ มีเผ่าพันธุ์ที่คล้ายมนุษย์อาศัยอยู่ เรียกว่าชาวนาวี มีลักษณะสูง 10 ฟุต (3 เมตร) และมีผิวเป็นสีฟ้า[ 34] อาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติและเคารพบูชาพระแม่เอวา
เพื่อสำรวจบรรยากาศของดาวแพนดอรา นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ร่างกายของนาวีมาตัดต่อพันธุกรรมร่วมกับมนุษย์ จนสามารถควบคุมร่างกายของนาวีได้โดยการใช้พันธุกรรมที่ตรงกับมนุษย์ เรียกว่า "อวตาร" เจค ซัลลี อดีตนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นโรคอัมพาตขา มาควบคุมร่างกายของนาวีแทนพี่ชายฝาแฝดของเขาที่เสียชีวิต ดร. เกรซ ออกัสติน หัวหน้าโครงการอวตาร ไม่เห็นด้วยกับการที่ซัลลีมาแทนพี่ชายของเขา แต่ก็ยอมมอบหมายให้เขาเป็นผู้คุ้มกัน ขณะที่กำลังพาอวตารของเกรซและดร. นอร์ม สเปลแมน เพื่อนนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่ง อวตารของเจคถูกโจมตีโดย ธานาเทอร์ เจคหนีเข้าไปในป่าและได้รับการช่วยเหลือจาก เนย์ทีรี นาวีเพศหญิง เธอได้พาเจคไปที่ชุมชนของชาวนาวี โมแอท แม่ของเนย์ทีรี ผู้นำจิตวิญญาณของนาวี สั่งให้ลูกสาวของเธอสอนวิถีชีวิตของชาวนาวี่ให้แก่เจค
พันเอก ไมล์ ควอริทช์ หัวหน้ากองกำลังรักษาความปลอดภัยส่วนตัวของ RDA ได้สัญญากับเจคว่าจะช่วยรักษาขาของเขา ถ้าหากเขารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชาวนาวีและสถานที่ชุมนุมที่เรียกว่า โฮมทรี[ 35] ซึ่งตั้งอยู่เหนือพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่อันออบเทเนียมที่มากที่สุด เมื่อเกรซรู้เรื่องนี้ เธอจึงย้ายตัวเอง, เจคและนอร์มไปยังด่านหน้า ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เจคและเนย์ทีรี ต่างตกหลุมรักกัน ขณะที่เจคก็เริ่มมีความเห็นอกเห็นใจกับชาวพื้นเมือง หลังจากเจคได้รับการยอมรับให้เข้าสู่เผ่านาวีแล้ว เขากับเนย์ทีรี ต่างเลือกที่จะเป็นคู่รักต่อกัน หลังจากนั้นไม่นาน เจคเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของความจงรักภักดีของเขา เมื่อเขาพยายามปิดการใช้งานของรถปราบดิน ที่ขู่จะทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวนาวี เมื่อควอริทช์แสดงวิดีโอหลักฐานที่เจคกำลังทำลายรถปราบดินแก่ ปาร์คเกอร์ เซลฟริดจ์ ผู้ดูแลของ RDA หัวหน้าของเขาที่มองด้วยความหวาดกลัวและได้รับการกระตุ้นจากควอริทช์[ 36] และเมื่อเจคยอมรับว่าชาวนาวีจะไม่ย้ายออกจากโฮมทรี เซลฟริดจ์จึงสั่งให้ทำลายโฮมทรีทิ้งเสีย
ถึงแม้ว่าเกรซจะโต้แย้งว่าการทำลายโฮมทรีอาจทำความเสียหายแก่โครงข่ายประสาทชีวภาพ ของดาวแพนดอรา เซลฟริดจ์ให้เวลาเจคกับเกรซหนึ่งชั่วโมงเพื่อโน้มน้าวชาวนาวีให้อพยพออกจากโฮมทรีก่อนที่จะเริ่มการโจมตี เจคสารภาพกับชาวนาวีว่าเขาเป็นสายลับ ทำให้เขากับเกรซถูกจับตัวไว้ คนของควอริตช์ได้ทำการทำลายโฮมทรี ทำให้พ่อของเนย์ทีรี (หัวหน้าเผ่า) และชาวนาวีหลายคนต้องเสียชีวิต โมแอตปล่อยเจคกับเกรซเป็นอิสระ แต่พวกเขาถูกบังคบให้ถอดออกจากร่างอวตารและถูกขังโดยกองกำลังของควอริตช์ นักบิน ทรูดี ชาร์คอน ไม่ชอบความโหดเหี้ยมของควอริตช์ จึงได้ปล่อยเจค, เกรซและนอร์ม และขับเครื่องบินไปส่งทั้งสามคนที่ด่านหน้าของเกรซ แต่ระหว่างหลบหนีนั้นเกรซถูกยิงโดยควอริทช์
เจคเชื่อมต่อกับโทรุก สัตว์นักล่าคล้ายมังกรซึ่งเป็นที่เกรงกลัวและเคารพของชาวนาวี เพื่อฟื้นฟูความไว้วางใจของชาวนาวีอีกครั้ง เจคพบชาวนาวีที่ลี้ภัยมาอยู่ที่ต้นไม้แห่งวิญญาณ และขอร้องให้โมแอทช่วยรักษาเกรซ ชาวนาวีพยายามช่วยเหลือโดยการย้ายเกรซจากร่างมนุษย์ไปยังร่างอวตารผ่านต้นไม้แห่งวิญญาณ แต่เธอเสียชีวิตก่อนที่กระบวนการจะเสร็จสมบูรณ์ เจครวมเผ่านาวีให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จากการสนับสนุนของ ซูเทย์ หัวหน้าเผ่าคนใหม่ และบอกให้พวกเขารวบรวมเผ่าอื่น ๆ เพื่อมาร่วมต่อสู้ RDA ควอริทช์วางแผนโจมตีล่วงหน้าต่อต้นไม้แห่งวิญญาณ เชื่อว่าการทำลายล้างของมันจะทำลายล้างชาวพื้นเมือง ในวันก่อนสู้รบ เจคได้ขอร้องต่อเอวา ผ่านการเชื่อมต่อประสาทกับต้นไม้แห่งวิญญาณ เพื่อให้ช่วยเหลือชาวนาวี ในขณะที่ปาร์คเกอร์ได้ถ่ายโอนความทรงจำและดีเอ็นเอผสมให้กับควอริทช์ และเกิดแตกคอกันหลังปาร์คเกอร์พยายามห้ามไม่ให้ควอริทช์นำกองทัพและอาวุธไปถล่มชาวนาวี จนโดนควอริทช์ข่มขู่และต้องยอมยินยอมให้ควอริทช์ไปโดยไม่สามารถควบคุมอะไรได้
ในระหว่างสงครามนั้น ชาวนาวีได้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมถึงซูเทย์และทรูดี แต่แล้วสัตว์ป่าในแพนดอรา ได้เข้ารวมสงครามและเข้ามาช่วยเหลือชาวนาวีอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งเนย์ทีรีตีความว่าเอวาได้ตอบรับคำขอของเจค เจคได้ทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดก่อนจะถึงต้นไม้แห่งวิญญาณ ควอริทช์สวมชุด AMP หนีออกจากเครื่องบินลำดังกล่าวและพยายามทำลายเครื่องเชื่อมโยงอวตารที่มีร่างมนุษย์ของเจค เพื่อให้สัมผัสกับบรรยากาศที่เป็นพิษของแพนดอรา ควอริทช์เตรียมที่เชือดคอร่างอวตารของเจค แต่เนย์ทีรีได้ฆ่าควอริทช์และช่วยเจคจากการขาดอากาศหายใจ และเมื่อเธอได้เห็นร่างมนุษย์ของเจคครั้งแรก เธอก็ละทิ้งอคติเกี่ยวกับมนุษย์และยอมรับเจคเป็นสามี หลังจากนั้น RDA ทุกคนถูกชาวนาวี่ยกทัพโจมตี เซลฟริดจ์ยอมแพ้แต่โดยดี เจค ดร.นอร์ม และมนุษย์บางคนที่ได้รับเลือกให้อยู่ต่อ ถูกขับไล่ออกจากดาวแพนดอราและส่งกลับไปยังโลก โดยเซลฟริดจ์ได้เตือนเจคว่ามนุษย์จะไม่รามือจากดาวดวงนี้ง่าย ๆ ก่อนจะขึ้นยานอวกาศกลับโลก เจคได้ย้ายตัวตนจากร่างมนุษย์ไปร่างอวตารผ่านต้นไม้แห่งวิญญาณ อวตารเป็นชาวนาวีอย่างสมบูรณ์
นักแสดง
ชาวมนุษย์
แซม เวิร์ธธิงตัน เป็น เจค ซัลลี, อดีตนาวิกโยธินพิการ กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอวตารหลังพี่ชายฝาแฝดของเขาที่ถูกฆ่าตาย ภูมิหลังทางทหารของเขาช่วยนักรบชาวนาวีเชื่อมสัมพันธ์กับเขา คาเมรอนคัดเลือกนักแสดงชาวออสเตรเลียหลังจากการค้นหาทั่วโลกเพื่อหานักแสดงอายุน้อยที่ดูมีอนาคตและเลือกนักแสดงที่ไม่รู้จักเพื่อลดทุนสร้าง[ 37] เวิร์ธธิงตัน ซึ่งในเวลานั้นอาศัยอยู่รถของเขา[ 38] ผ่านการออดิชันสองครั้งช่วงเริ่มต้นการพัฒนา[ 39] และเขาได้เซ็นสัญญาสำหรับภาคต่อถ้ามีการสร้าง[ 40] คาเมรอนรู้สึกว่าเพราะเวิร์ธธิงตันยังไม่เคยเล่นภาพยนตร์ใหญ่ ๆ มาก่อน ทำให้เขาสามารถทำให้ตัวละคร "มีลักษณะเป็นคนจริง ๆ" คาเมรอนยังพูดว่าเขา "มีลักษณะเป็นผู้ชายที่คุณต้องการดื่มเบียร์ด้วยและในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลงโลก"[ 41]
แซม เวิร์ธธิงตัน ยังแสดงเป็น ทอมมี พี่ชายฝาแฝดนักวิทยาศาสตร์ที่เสียชีวิตแล้วของเขา
สตีเฟน แลง เป็น พันเอก ไมลส์ ควอริทช์ หัวหน้ารักษาความปลอดภัยของเหมืองแร่ เขาไม่มีความใส่ใจอย่างลึกซึ้งต่อผู้อยู่อาศัยของดาวแพนดอรา นอกจากปาร์คเกอร์ ผู้เป็นหัวหน้าผู้สั่งการงานยึดครองแพนดอรา โดยเห็นได้ชัดจากการกระทำและภาษาของเขา เขาเพิกเฉยต่อชีวิตใด ๆ ที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมนุษย์ แลงไม่ผ่านการคัดเลือกบทบาทในภาพยนตร์ เอเลี่ยน 2 ฝูงมฤตยูนอกโลก (1986) ของคาเมรอน แต่คาเมรอนจำเขาได้ คาเมรอนจึงไปหาเขาเพื่อให้เขาแสดงใน อวตาร [ 42] ไมเคิล บีห์น ผู้ที่เคยร่วมงานกับคาเมรอนใน เอเลี่ยน 2 ฝูงมฤตยูนอกโลก , ฅนเหล็ก 2029 และ ฅนเหล็ก 2029 ภาค 2 ได้รับการพิจารณาสำหรับบทบาทอยู่ช่วงหนึ่ง เขาได้อ่านบทและดูภาพบางส่วนที่เป็นสามมิติร่วมกับคาเมรอน[ 43] แต่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้รับคัดเลือกให้แสดง
โจวานนี รีบีซี เป็น ปาร์คเกอร์ เซลฟริดจ์ ผู้บริหารดูแลการทำเหมืองแร่ขององค์กร RDA[ 44] ในขณะที่เขาเป็นคนแรกที่เต็มใจจะทำลายอารยธรรมนาวีเพื่อรักษาผลลัพธ์ทางการเงินของบริษัท เขาก็ยังลังเลที่จะอนุญาตการโจมตีต่อชาวนาวีที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขามัวหมอง แต่หลังจากการตายโดยคนของ RDA และควอริทช์ มือขวาคนสนิทและผู้ใต้บังคับบัญชาโน้มน้าวให้เขารู้ว่ามันจำเป็นและการโจมตีจะมีมนุษยธรรม เขาจึงตัดสินใจอนุญาตการโจมตีและทำให้ต้นไม้แห่งวิญญาณล้ม ขณะที่ภาพการโจมตีนั้นเผยแพร่มายังฐาน เซลฟริดจ์รู้สึกไม่สบายใจต่อความรุนแรงและหวาดกลัวในตัวควอริทช์ และพยายามจะยับยั้งควอริทช์เท่าที่จะทำได้
ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ เป็น ดร. เกรซ ออกัสติน นักชีววิทยาอวกาศและหัวหน้าโครงการอวตาร เธอยังเป็นผู้ชื้แนะของซัลลีและผู้สนับสนุนสันติไมตรีต่อชาวนาวี ด้วยการสร้างโรงเรียนเพื่อภาษาอังกฤษให้แก่พวกเขา[ 45]
มิเชลล์ ราดรีเกซ เป็น ทรูดี ชาร์คอน นักบินที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือในโครงการอวตาร เป็นผู้เห็นอกเห็นใจต่อชาวนาวี คาเมรอนต้องการที่จะทำงานร่วมกับราดรีเกซตั้งแต่เห็นเธอในภาพยนตร์ เกิรล์ไฟท์ [ 42]
โจเอล เดวิด มัวร์ เป็น ดร. นอร์ม สเปลแมน นักมานุษยวิทยาต่างดาว[ 46] ผู้ศึกษาพืชและชีวิตสัตว์เป็นส่วนหนึ่งโครงการอวตาร[ 47] เขาเดินทางมาถึงดาวแพนดอราในช่วงเวลาเดียวกับซัลลีและเป็นคนควบคุมร่างอวตาร แม้ว่าเขาจะถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำการติดต่อทางการทูตกับชาวนาวี แต่ปรากฏว่าเจคมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมกว่าที่จะได้รับความเคารพของชาวพื้นเมือง
ไดลีป เรา เป็น ดร. แมกซ์ พาเทล นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำงานในโครงการอวตารและช่วยเหลือการก่อกบฏของเจคต่อ RDA[ 48]
ชาวนาวี
โซอี ซัลดานา เป็น เนย์ทีรี ลูกสาวของหัวหน้าเผ่าโอมาติกายา (เผ่านาวีที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องภายในป่า) เธอหลงเสน่ห์ของเจคเพราะความกล้าหาญของเขา แม้ว่าเธอจะหงุดหงิดในความไร้เดียงสาและโง่เขลาของเขา เธอเป็นคนรักของเจค[ 49] ตัวละครถูกสร้างโดยการจับการเคลื่อนไหวของนักแสดงและในด้านภาพถูกสร้างโดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เช่นเดียวกับตัวละครชาวนาวีทุกคน[ 50] ซัลดานายังได้เซ็นสัญญาสำหรับภาคต่อในอนาคต[ 51]
ซีซีเอช พาวเดอร์ เป็น โมแอต ผู้นำจิตวิญญาณของเผ่าโอมาติกายา แม่ของเนย์ทีรี และภรรยาของหัวหน้าเผ่า เอย์ตูคาน[ 52]
เวส สตูดี เป็น เอย์ตูคาน หัวหน้าเผ่าโอมาติกายา พ่อของเนย์ทีรีและสามีของโมแอต
ลาซ อลอนโซ เป็น ทซูเทย์ นักรบที่เก่งกาจของเผ่าโอมาติกายา เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ในตอนแรกนั้น เขาเป็นคู่หมั้นของเนย์ทีรี
งานสร้าง
จุดกำเนิด
เมื่อปี ค.ศ. 1994[ 13] ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน เขียนโครงร่างของ อวตาร จำนวน 80 หน้า โดยได้รับแรงบัลดาลใจจาก หนังสือบันเทิงคดีวิทยาศาสตร์ทุกเล่ม ที่เขาเคยอ่านในวัยเด็กและนวนิยายผจญภัยโดย เอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส และ เอช. ไรเดอร์ แฮกเกริด[ 12] เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1996 หลังคาเมรอนถ่ายทำ ไททานิก เสร็จ เขาประกาศว่าจะถ่ายทำ อวตาร โดยจะใช้ประโยชน์จากนักแสดงที่มาจากการสังเคราะห์หรือใช้ภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์[ 15] โครงการจะมีมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมีนักแสดงอย่างน้อยหกคนในบทบาทนักแสดงนำ ที่ดูเหมือนจะมีจริง แต่ไม่มีอยู่จริงในโลกทางกายภาพ [ 53] ดิจิตอล โดเมน บริษัทสร้างเทคนิคพิเศษซึ่งคาเมรอนเป็นหุ้นส่วนได้เข้าร่วมโครงการนี้ งานสร้างควรจะเริ่มต้นช่วงกลางปี ค.ศ. 1997 และกำหนดฉาย ค.ศ. 1999[ 14] อย่างไรก็ตามคาเมรอนรู้สึกว่าเทคโนโลยีไม่สอดคล้องกับเรื่องราวและวิสัยทัศน์ที่เขาตั้งใจจะเล่า เขาตัดสินใจที่จะให้ความสนใจกับการทำสารคดีและปรับแต่งเทคโนโลยีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มีการเปิดเผยใน บูมเบิร์กบีสนิสวีก ว่า ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ ได้ให้เงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่คาเมรอนให้ถ่ายทำวิดีโอสั้นเป็นหลักฐานแนวคิดของ อวตาร ซึ่งเขาได้ฉายให้ผู้บริหารของฟอกซ์ดูเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2005[ 54]
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 คาเมรอนเปิดเผยว่า Project 880 คือ "เวอร์ชันก่อนที่จะเป็น อวตาร " ภาพยนตร์ที่เขาพยายามจะสร้างเมื่อหลายปีก่อน[ 55] อ้างถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการสร้างตัวละครที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ เช่น กอลลัม , คิงคอง และ เดวี โจนส์[ 12] คาเมรอนเลือก อวตาร เหนือโครงการ แบทเทิล แองเจิ้ล ของเขา หลังจากทดสอบกล้องเป็นเวลาห้าวันเมื่อปีก่อน[ 56]
จากบทสัมภาษณ์ของนักแสดงชาวอินเดีย โควินทา เปิดเผยว่า เจมส์ คาเมรอน ได้ติดต่อเขาเพื่อยื่นข้อเสนอให้เขาสวมบทบาทเป็น เจ็ค ซัลลี ซึ่งเขาปฏิเสธโดยไม่เห็นด้วยกับการใช้สีทาร่างกายเช่นเดียวกับแผนการถ่ายทำที่มีระยะเวลายาวนาน[ 57] เขาอ้างว่าชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้แนะนำโดยเขาให้กับคาเมรอนหลังจากมั่นใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จมาก สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้หลายคนล้อเลียนเขาในสื่อสังคม[ 58] [ 59] ในการให้สัมภาษณ์ของเขาในภายหลังเรียกปฏิกิริยาของผู้ใช้สื่อสังคมว่าเป็น 'พฤติกรรมที่มีอคติ'[ 60] [ 61]
การพัฒนา
คาเมรอนเริ่มเขียนบทและพัฒนาวัฒนธรรมของนาวี เอเลี่ยนในภาพยนตร์ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน ค.ศ. 2006 โดยภาษานาวีนั้นถูกสร้างโดน ดร. พอล ฟรอมเมอร์ นักภาษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย [ 12] โดยภาษานาวีนั้นมีพจนานุกรมคำศัพท์ประมาณ 1000 คำ เพิ่มโดยคาเมรอนอีก 30 คำ หน่วยเสียง ของลิ้นประกอบด้วย พยัญชนะเสียงกักเส้นเสียงลมออก (เช่น "kx" ใน "skxawng") พบในภาษาอัมฮาริคในเอธิโอเปีย , และคำที่ขึ้นต้นด้วย "ng" คาดว่าคาเมรอนนำมาจากภาษามาวรีของนิวซีแลนด์ [ 17] นักแสดงหญิง ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ และ นักออกแบบฉาก ได้พบกับ จอดี เอส. ฮอล์ต ศาสตราจารย์ด้านสรีรวิทยาของพืชที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ริเวอร์ไซด์ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการที่นักพฤกษศาสตร์ ใช้ในการศึกษาและเก็บตัวอย่างพืชและหารือเกี่ยวกับวิธีการอธิบายการสื่อสารระหว่างสิ่งมีชีวิตของแพนดอราที่ปรากฏในภาพยนตร์[ 62]
คาเมรอนทำงานร่วมกับนักออกแบบจำนวนหนึ่งตั้งแต่ ค.ศ. 2005–2007 รวมถึงนักวาดภาพแฟนตาซีที่มีชื่อเสียงอย่าง เวย์น บาร์โลว์ และศิลปินแนวคิดที่มีชื่อเสียง จอร์ดู เชลล์ เพื่อออกแบบรูปร่างของ นาวี ด้วยภาพวาดและประติมากรรมทางกายภาพ เมื่อคาเมรอนรู้สึกว่าการเรนเดอร์แบบ 3 มิติไม่ตรงกับวิสัยทัศน์ของเขา[ 63] โดยทำงานด้วยกันในห้องครัวที่บ้านของคาเมรอนที่ มาลิบู [ 64] เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 คาเรมอนประกาศว่าเขาจะถ่ายทำ อวตาร เพื่อให้ฉายในช่วงกลางปี ค.ศ. 2008 โดยวางแผนเริ่มต้นการถ่ายทำร่วมกับนักแสดงในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 ต่อมาในเดือนสิงหาคม บริษัทสร้างเทคนิคพิเศษ เวตา ดิจิตอล ได้เซ็นสัญญาในการช่วยคาเมรอนผลิต อวตาร [ 66] สแตน วินสตัน ผู้เคยร่วมงานกับคาเมรอนในอดีต เข้ามาช่วยเหลือในการออกแบบภาพยนตร์ อวตาร [ 67] การออกแบบงานสร้างของภาพยนตร์ใช้เวลาหลายปี ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักออกแบบการผลิตที่แตกต่างกันสองคนและแผนกศิลปะสองแห่งแยกกัน โดยที่หนึ่งในนั้นมุ่งเน้นไปที่พืช และสัตว์ ของแพนดอราและอีกที่หนึ่งมุ่งเน้นในการสร้างเครื่องจักรมนุษย์และปัจจัยมนุษย์[ 68] เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 คาเมรอนประกาศว่าเขาจะใช้ระบบกล้องเสมือนจริงของเขาถ่ายทำแบบสามมิติ โดยระบบจะใช้กล้องความละเอียดสูงสองตัวในตัวกล้องเดียวเพื่อสร้างการรับรู้เชิงลึก[ 69]
ขณะที่การเตรียมการยังดำเนินการอยู่ ฟอกซ์ยังคงลังเลที่อนุมัติการสร้าง อวตาร เพราะเคยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดกับค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปและความล่าช้าของ ไททานิก ภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของคาเมรอน ถึงแม้ว่าคาเมรอนจะเขียนบทใหม่เพื่อให้ตัวละครหลาย ๆ ตัวมารวมกัน และเสนอลดค่าตัวของเขาในกรณีที่ภาพยนตร์ล้มเหลว[ 54] คาเมรอนติดตั้งไฟจราจรโดยเปิดสัญญาณไฟสีเหลืองที่ด้านนอกห้องของ จอน แลนเดา เพื่อแสดงถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของภาพยนตร์เรื่องนี้[ 54] กลางปี ค.ศ. 2006 ฟอกซ์บอกคาเมรอนว่า "พูดตรง ๆ ว่าพวกเขาไม่อนุมัติภาพยนตร์เรื่องนี้," ดังนั้นเขาจึงเริ่มเสนอขายภาพยนตร์นี้ให้กับสตูดิโออื่นและเข้าหา วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์ โดยแสดงหลักฐานแนวคิดของเขาให้กับ ดิก คุก ประธานบริษัทดู[ 54] อย่างไรก็ตาม, เมื่อ ดิสนีย์ พยายามจะซื้อภาพยนตร์นี้, ฟอกซ์ใช้ สิทธิที่จะปฏิเสธก่อน [ 54] เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 ในที่สุดฟอกซ์ก็อนุมัติการสร้าง อวตาร หลังอินจิเนียสมีเดียตกลงที่จะสนับสนุนภาพยนตร์นี้ ทำให้ความเสี่ยงทางการเงินของฟอกซ์ลดลงเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจากทุนสร้างอย่างเป็นทางการ 237 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ[ 54] มีผู้บริหารคนหนึ่งของฟอกซ์ที่ไม่เชื่อแล้วก็ส่ายหัวบอกกับคาเมรอนและแลนเดาว่า "ผมไม่รู้ว่าเราบ้ากว่าหรือเปล่าที่ปล่อยให้คุณทำสิ่งนี้, หรือคุณบ้ากว่าเพราะคิดว่าคุณ สามารถ ทำได้ ..."[ 70]
เสียงจากแหล่งข้อมูลภายนอก เอฟ. เอ็กซ์. ฟีนีย์สัมภาษณ์เจมส์ คาเมรอนเกี่ยวกับการเขียนอวตาร สัมภาษณ์ [ 71]
เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2006 คาเมรอนอธิบาย อวตาร ว่า "เรื่องราวในอนาคตตั้งอยู่บนดาวเคราะห์ 200 ปีต่อจากนี้ ... การผจญภัยในป่าที่ล้าสมัยพร้อมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม [ที่] มุ่งสู่การเล่าเรื่องในระดับเทพนิยาย"[ 72] เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 ในงานแถลงข่าวได้อธิบายภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น "การเดินทางของการไถ่บาปและการปฏิวัติที่สะเทือนอารมณ์" และยังบอกอีกว่า "อดีตนาวิกโยธินที่บาดเจ็บได้รับการผลักดันอย่างไม่เต็มใจไปสู่ความพยายามที่จะสร้างและใช้ประโยชน์จากดาวเคราะห์แปลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งในที่สุดก็ข้ามไปยังเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองในการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด" เรื่องราวจะเป็นของโลกทั้งใบที่เต็มไปด้วยระบบนิเวศของพืชและสิ่งมีชีวิตแบบเพ้อฝันและคนพื้นเมืองที่มีวัฒนธรรมและภาษาที่หลากหลาย[ 51]
มีการประมาณการว่าต้นทุนของภาพยนตร์อยู่ที่ประมาณ 280–310 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการสร้างภาพยนตร์, ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการตลาด และประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ในเครดิตภาษีที่จะช่วยลดผลกระทบทางการเงินต่อสตูดิโอและผู้ออกทุนสร้าง[ 18] [ 19] [ 20] โฆษกของสตูดิโอกล่าวว่าทุนสร้างนั้น "237 ล้านดอลลาร์สหรัฐบวกกับอีก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการโปรโมต, จบข่าว"[ 4]
แก่นเรื่องและแรงบันดาลใจ
เจมส์ คาเมรอนกล่าวว่า ฉากดาวแพนโดรานั้น ได้รับอิทธิพลมาจากทิวทัศน์ของของเทือกเขาสูงในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะเขาหวงซาน ทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย [ 73] และอุทยานแห่งชาติอู่หลิงยฺเหวียน เมืองจางเจียเจีย มณฑลหูหนาน
ภาพยนตร์ถ่ายทำนักแสดงด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า "โมชั่นแคปเจอร์ " โดยใช้กล้องที่ออกแบบเป็นพิเศษติดตั้งที่ศีรษะของนักแสดง เพื่อถ่ายภาพความเคลื่อนไหวของดวงตา ลักษณะสีหน้า และการแสดงอารมณ์ มีเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จากนั้นจึงนำไปประมวลผลเป็นแอนิเมชัน ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ [ 74] ภาพทั้งหมดจะไปปรากฏที่กล้องที่ออกแบบเป็นพิเศษ เรียกว่า "virtual camera" มีลักษณะเป็นจอคอมพิวเตอร์ มือถือ ใช้งานโดยแคเมรอน เพื่อจำลองภาพที่จะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ได้อย่างอิสระรอบทิศทาง ขณะนักแสดงกำลังแสดงบทบาทตัวละคร
งานเทคนิคคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัท Weta Digital ที่เมืองเวลลิงตัน นิวซีแลนด์ โดยใช้พนักงานกว่า 900 คน [ 75] ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ฮิวเลตต์-แพคการ์ด 4,000 เครื่อง จำนวน 35,000 ซีพียู [ 76] ภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ของยานพาหนะ ต่างๆ ในเรื่อง และฉากการต่อสู้ รับผิดชอบโดยอินดัสเตรียลไลต์แอนด์แมจิก (ILM) บริษัทย่อยของลูคัสฟิล์ม [ 77]
รางวัล
อวตาร ได้รับรางวัลจากสมาคมทางภาพยนตร์จำนวนมาก แต่รางวัลที่มีชื่อเสียง ได้แก่
ภาคต่อ
หมายเหตุ
↑ คำภาษาอังกฤษ "avatar" (อ่าน "แอวาทาร์" /ˈævəˌtɑr/) มาจากคำในภาษาสันสกฤต "อวตาร" (อักษรเทวนาครี : अवतार, อ่าน อะวะตาระ ) ซึ่งในภาษาไทยมีคำใช้อยู่แล้ว คือ "อวตาร" (อ่าน อะวะตาน ) ดังนั้น คำและชื่อภาพยนตร์ "อวตาร" ไม่อ่านว่า "อะวะทาร์" เพราะมิใช่คำทับศัพท์ (ดู ดิกเชินแนรีดอตคอม )
อ้างอิง
↑ LaFraniere, Sharon (January 29, 2010). "China's Zeal for 'Avatar' Crowds Out 'Confucius' " . The New York Times . สืบค้นเมื่อ January 18, 2020 .
↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 "Avatar (2009)" . AFI Catalog of Feature Films . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ July 7, 2018. สืบค้นเมื่อ July 6, 2018 .
↑ "AVATAR [2D] version" . British Board of Film Classification . December 8, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ August 27, 2016. สืบค้นเมื่อ August 19, 2014 .
↑ 4.0 4.1 4.2 Patten, D. (December 3, 2009). " 'Avatar's' True Cost – and Consequences" . The Wrap. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ December 5, 2009. สืบค้นเมื่อ December 12, 2009 .
↑ "Avatar " . Box Office Mojo . IMDb . สืบค้นเมื่อ October 2, 2022 .
↑ French, Philip (March 14, 2010). "Avatar was the year's real milestone, never mind the results" . The Observer . UK. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ March 17, 2010. สืบค้นเมื่อ March 29, 2010 .
↑ Johnston, Rich (December 11, 2009). "Review: AVATAR – The Most Expensive American Film Ever ... And Possibly The Most Anti-American One Too" . Bleeding Cool . สืบค้นเมื่อ March 29, 2010 .
↑ Choi, Charles Q. (December 28, 2009). "Moons like Avatar's Pandora could be found" . MSNBC . สืบค้นเมื่อ February 27, 2010 .
↑ 9.0 9.1 Horwitz, Jane (December 24, 2009). "Family Filmgoer" . Boston Globe . สืบค้นเมื่อ January 9, 2010 .
↑ This property of Unobtanium is stated in movie guides, rather than in the film. Wilhelm, Maria; Dirk Mathison (November 2009). James Cameron's Avatar: A Confidential Report on the Biological and Social History of Pandora . HarperCollins . p. 4 . ISBN 978-0-06-189675-0 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Time
↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 Jeff Jensen (January 10, 2007). "Great Expectations" . Entertainment Weekly . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 24, 2007. สืบค้นเมื่อ January 28, 2007 .
↑ 13.0 13.1 Alexander Marquardt (January 14, 2010). "Did Avatar Borrow from Soviet Sci-Fi Novels?" . ABC News . สืบค้นเมื่อ March 8, 2012 .
↑ 14.0 14.1 "Synthetic actors to star in Avatar " . St. Petersburg Times . August 12, 1996. สืบค้นเมื่อ February 1, 2010 .[ลิงก์เสีย ]
↑ 15.0 15.1 Judy Hevrdejs; Mike Conklin (August 9, 1996). "Channel 2 has Monday morning team in place". Chicago Tribune .
↑ "Crafting an Alien Language, Hollywood-Style: Professor's Work to Hit the Big Screen in Upcoming Blockbuster Avatar" . USC Marshall . University of Southern California Marshall School of Business. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ May 26, 2011. สืบค้นเมื่อ May 31, 2011 .
↑ 17.0 17.1 "Avatar Language" . Nine to Noon . December 15, 2009.
↑ 18.0 18.1 Barnes, Brooks (December 20, 2009). " 'Avatar' Is No. 1 but Without a Record" . The New York Times . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ November 13, 2011. สืบค้นเมื่อ December 20, 2009 .
↑ 19.0 19.1 Fritz, Ben (December 20, 2009). "Could 'Avatar' hit $1 billion?" . Los Angeles Times . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ December 22, 2009. สืบค้นเมื่อ December 20, 2009 .
↑ 20.0 20.1 Keegan, R. (December 3, 2009). "How Much Did Avatar Really Cost?" . Vanity Fair . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ January 14, 2010. สืบค้นเมื่อ December 23, 2009 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ 4-D
↑ "James Cameron's 'Avatar' Film to Feature Vocals From Singer Lisbeth Scott" (Press release). Los Angeles: PRNewswire . October 29, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ December 6, 2009. สืบค้นเมื่อ December 6, 2009 – โดยทาง Newsblaze.
↑ D'Alessandro, Anthony (December 19, 2009). " 'Avatar' takes $27 million in its first day" . Variety . สืบค้นเมื่อ January 11, 2010 .
↑ Douglas, Edward (December 21, 2009). "Avatar Soars Despite Heavy Snowstorms" . ComingSoon.net. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ December 23, 2009. สืบค้นเมื่อ December 21, 2009 .
↑ Reporting by Dean Goodman; editing by Anthony Boadle (December 20, 2009). " "Avatar" leads box office, despite blizzard" . Reuters. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 19, 2010. สืบค้นเมื่อ December 20, 2009 . {{cite news }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ รายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในแคนาดาและสหรัฐ#ไม่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ดูเพิ่มเติมที่ รายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในแคนาดาและสหรัฐ#ปรับตามอัตราเงินเฟ้อของราคาตั๋ว
↑ "All Time Worldwide Box Office Grosses" . Box Office Mojo . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 28, 2010. สืบค้นเมื่อ January 27, 2010 .
↑ Tartaglione, Nancy (March 13, 2021). " 'Avatar' Overtakes 'Avengers: Endgame' As All-Time Highest-Grossing Film Worldwide; Rises To $2.8B Amid China Reissue – Update" . Deadline Hollywood . สืบค้นเมื่อ March 13, 2021 .
↑ " 'Avatar' Wins Box Office, Nears Domestic Record" . ABC News. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ February 3, 2010. สืบค้นเมื่อ February 2, 2010 .
↑ "List of Academy Award nominations" . CNN. February 2, 2010. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ February 5, 2010. สืบค้นเมื่อ February 2, 2010 .
↑ Galuppo, Mia (2019-05-07). "Three New 'Star Wars' Films Get Release Dates in Disney Schedule Reset" . The Hollywood Reporter . สืบค้นเมื่อ 2019-05-07 .
↑ Anthony D'Alessandro (August 7, 2017). "Matt Gerald Returning To James Cameron's 'Avatar' World; Boards Crackle's 'The Oath' " . Deadline Hollywood . สืบค้นเมื่อ September 25, 2017 .
↑ "Avatar 2 Filming Starts This Week!" . SuperHeroHype . September 25, 2017. สืบค้นเมื่อ September 25, 2017 .
↑ Rottenberg, Josh. "James Cameron Talks Avatar : Brave Blue World," Entertainment Weekly No. 1081 (December 18 , 2009): 48.
↑ Cameron, James. "Avatar" (PDF) . Avatar Screenings . Fox and its Related Entities. p. 25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ May 25, 2010. สืบค้นเมื่อ February 9, 2010 .
↑ Cameron, James. "Avatar" (PDF) . Avatar Screenings . Fox and its Related Entities. pp. 8 and 15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ May 25, 2010. สืบค้นเมื่อ February 9, 2010 .
↑ Conan O'Brien (December 18, 2009). "The Tonight Show with Conan O'Brien ". The Tonight Show with Conan O'Brien . ฤดูกาล 1. ตอน 128. NBC . I was cheap
↑ Kevin Williamson. "Paraplegic role helps Worthington find his feet" . lfpress.com. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 30, 2010. สืบค้นเมื่อ January 1, 2010 .
↑ Jeff Jensen (January 10, 2007). "Great Expectations (page 2)" . Entertainment Weekly . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2011-10-17. สืบค้นเมื่อ January 17, 2010 .
↑ "This week's cover: James Cameron reveals plans for an 'Avatar' sequel" . Entertainment Weekly . January 14, 2010. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2010. สืบค้นเมื่อ January 24, 2010 .
↑ John Horn. "Faces to watch 2009: film, TV, music and Web" . Los Angeles Times . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ December 31, 2008. สืบค้นเมื่อ December 28, 2008 .
↑ 42.0 42.1 Anne Thompson (August 2, 2007). "Lang, Rodriguez armed for 'Avatar' " . Variety . สืบค้นเมื่อ August 3, 2007 .
↑ Barnes, Jessica (March 26, 2007). "Michael Biehn Talks 'Avatar' – Cameron Not Using Cameras?" . Cinematical . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ January 12, 2010.
↑ Leslie Simmons (September 21, 2007). " 'Avatar' has new player with Ribisi" . The Hollywood Reporter . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ October 3, 2007. สืบค้นเมื่อ September 21, 2007 .
↑ Clint Morris (August 2, 2007). "Sigouney Weaver talks Avatar " . Moviehole.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ September 29, 2007. สืบค้นเมื่อ August 2, 2007 .
↑ Cameron, James (2007). "Avatar" (PDF) . Avatar Screenings . Fox and its Related Entities. p. 10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ May 25, 2010. สืบค้นเมื่อ May 6, 2010 . Archived version May 6 , 2010
↑ Lux, Rachel (December 14, 2009). "Close-Up: Joel David Moore" . Alternative Press . Alternative Press Magazine, Inc. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 2, 2010. สืบค้นเมื่อ May 6, 2010 . Archived version May 6 , 2010
↑ Lewis Bazley (May 25, 2009). "Drag Me to Hell Review" . inthenews.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ June 11, 2009. สืบค้นเมื่อ June 2, 2009 .
↑ Brennan, David (February 11, 2007). "Avatar Scriptment: Summary, Review, and Analysis" . James Cameron's Movies & Creations . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2010 .
↑ Thompson, Anne (January 9, 2007). " "Titanic" director sets sci-fi epic for '09" . Reuters. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 22, 2010. สืบค้นเมื่อ December 26, 2009 .
↑ 51.0 51.1 20th Century Fox (January 9, 2007). "Cameron's Avatar Starts Filming in April" . ComingSoon.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ August 22, 2008. สืบค้นเมื่อ October 10, 2009 .
↑ "Pounder Talks Avatar" . April 30, 2007. สืบค้นเมื่อ December 25, 2009 .
↑ " "Avatar": James Cameron's New SciFi Thriller -The Official Trailer (VIDEO)" . The Daily Galaxy --Great Discoveries Channel . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ October 14, 2017. สืบค้นเมื่อ October 14, 2017 .
↑ 54.0 54.1 54.2 54.3 54.4 54.5 Grover, R; Lowry, T.; White, M. (January 21, 2010). "King of the World (Again)" . Bloomberg BusinessWeek . Bloomberg . pp. 1–4. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 25, 2010. สืบค้นเมื่อ January 26, 2010 .
↑ Harry Knowles (February 28, 2006). "Harry talks to James Cameron, Cracks PROJECT 880, the BATTLE ANGEL trilogy & Cameron's live shoot on Mars!!!" . Ain't It Cool News . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ October 13, 2006. สืบค้นเมื่อ October 18, 2006 .
↑ John Horn (January 8, 2007). "Director Cameron to shoot again" . Los Angeles Times .
↑ [1] Govinda Reveals He Suggested Avatar Title To Director James Cameron’s Film
↑ [2] Govinda says he turned down Avatar by James Cameron. So Internet made the best jokes and memes
↑ [3] Govinda's Rather Tall Avatar Claim Has Been Turned Into Rude But ROFL Memes On Twitter
↑ [4] Govinda: I am fine with people wondering how someone like Govinda could refuse a James Cameron film
↑ [5]
↑ Kozlowski, Lori (January 2, 2010). " 'Avatar' team brought in UC Riverside professor to dig in the dirt of Pandora" . Los Angeles Times . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ January 4, 2010. สืบค้นเมื่อ January 3, 2010 .
↑ "Avatar Concept Designer Reveals the Secrets of the Na'vi" . io9 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2021-01-22. สืบค้นเมื่อ April 20, 2010 .
↑ Kendricks, Neil (March 7, 2010). "Cameron, the Science Geek Who Became a Movie Titan for the Ages" . U-T San Diego . สืบค้นเมื่อ April 20, 2010 .
↑ Smith, Lynn (August 4, 2006). "Special-Effects Giant Signs on for 'Avatar' ". Los Angeles Times .
↑ Duncan, Jody; James Cameron (October 2006). The Winston Effect . Titan Books . ISBN 1-84576-150-2 .
↑ "Avatar Started As A Four-Month, Late-Night Jam Session At James Cameron's House" . December 10, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-02-26. สืบค้นเมื่อ 2019-12-20 .
↑ Waters, Jen (September 28, 2006). "Technology adds more in-depth feeling to the movie experience" . The Washington Times . สืบค้นเมื่อ December 22, 2006 .
↑ Duncan, Jody; Lisa Fitzpatrick (2010). The Making of Avatar . United States: Abrams Books . p. 52 . ISBN 978-0-8109-9706-6 .
↑ "Written By homepage" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ November 30, 2010. สืบค้นเมื่อ November 20, 2010 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ king
↑ "Stunning Avatar" . Global Times. 24 December 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-12-28. สืบค้นเมื่อ 24 January 2010 .
↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-03-06. สืบค้นเมื่อ 2010-02-15 .
↑ Philip Wakefield (December 19, 2009). "Close encounters of the 3D kind" . The Listener . สืบค้นเมื่อ February 4, 2010 .
↑ Jim Ericson (December 21, 2009). "Processing AVATAR" . SourceMedia . Information Management magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-12-25. สืบค้นเมื่อ February 2, 2010 .
↑ by Daniel Terdiman (December 19, 2009). "ILM steps in to help finish 'Avatar' visual effects" . CNet .
แหล่งข้อมูลอื่น
{{#switch:||หมวดหมู่={{#if:Avatar (2009 film)
| {{#if:Avatar (2009 film)
|
| {{#ifeq:Avatar (2009 film)|อวตาร (ภาพยนตร์)
|
ภาพยนตร์ ตัวละคร คอนเซปต์ เพลงประกอบ วิดีโอเกม สื่ออื่น ๆ ล้อเลียน
กำกับภาพยนตร์
เขียนบท เฉพาะอำนวยการสร้าง บทความที่เกี่ยวข้อง