ในจักรวรรดิการอแล็งเฌียง สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (อังกฤษ : Carolingian Renaissance ) เกิดขึ้นเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยมีจุดที่รุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ และจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา พระราชโอรส
ระหว่างช่วงเวลานี้ก็มีการศึกษาวรรณคดี , การเขียน, ศิลปะ , สถาปัตยกรรม , นิติศาสตร์ , และหนังสือทางเทววิทยาศาสนาคริสต์ กันอย่างแพร่หลาย นอกจากนั้นก็ยังเป็นสมัยของการวิวัฒนาการภาษาละตินสมัยกลาง และอักษรกาโรแล็งเฌียง กันขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างภาษาและวิธีการเขียนที่เป็นสามัญที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารไปได้เกือบทั่วทั้งยุโรป
การใช้คำว่า “renaissance” หรือ “สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา” ในการบรรยายช่วงเวลานี้ก็เป็นประเด็นที่โต้แย้งกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มนักบวชเท่านั้น และขาดการเคลื่อนไหวโยกย้ายอย่างกว้างขวางเช่นที่เกิดขึ้นในอิตาลีสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ต่อมา[ 1] แทนที่จะเป็นการรื้อฟื้นของขบวนการทางวัฒนธรรมใหม่ ยุคนี้เป็นเพียงการพยายามที่จะเลียนแบบวัฒนธรรม ของจักรวรรดิโรมัน ก่อนหน้านั้น[ 2]
ความพยายามของผู้มีการศึกษา
ความขาดแคลนผู้มีการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ของยุโรปตะวันตกก่อให้เกิดปัญหาสำหรับนักปกครองกาโรแล็งเฌียงโดยจำกัดจำนวนผู้ที่มีความสามารถที่จะเข้ารับราชการในราชสำนักในฐานะนักคัด นอกจากนั้นปัญหาที่ใหญ่กว่าต่อประมุขผู้เคร่งครัดทางศาสนาคือนักบวชบางองค์ก็ไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญพอที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาละติน (Vulgate Bible) ได้ ปัญหาอื่นก็คือภาษาละตินพื้นบ้าน ของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เริ่มที่จะขาดมาตรฐานและเพี้ยนไปเป็นภาษาท้องถิ่น ที่เป็นบรรพบุรุษของภาษากลุ่มโรมานซ์ ในปัจจุบัน ภาษาที่เพี้ยนไปก็เป็นภาษาที่ไม่มีความหมายและทำให้ผู้มีการศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ ในยุโรปไม่อาจจะสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัลควิน (กลาง) นักการศึกษาคนสำคัญของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง
ในการพยายามแก้ปัญหาดังกล่าวจักรพรรดิชาร์เลอมาญ จึงมีพระบรมราชโองการให้ก่อตั้งสถานศึกษาต่าง ๆ ขึ้น องค์ประกอบสำคัญของโครงการปฏิรูปของพระองค์คือการพยายามดึงดูดผู้นำทางการศึกษาเข้ามารับราชการในราชสำนัก กลุ่มคนแรกในบรรดาผู้ที่ทรงเรียกตัวมายังราชสำนักก็ได้แก่ชาวอิตาลี : ปีเตอร์แห่งปิซา ผู้ถวายอักษรภาษาละตินให้แก่พระองค์ระหว่าง ค.ศ. 776 จนถึงราว ค.ศ. 790 และพอลินัสที่ 2 แห่งอควิเลเอีย ระหว่าง ค.ศ. 776 จนถึง ค.ศ. 787 ผู้ที่จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงแต่งตั้งให้เป็นบิชอปแห่งอควิเลเอียในปี ค.ศ. 787 พอลเดอะดีคอน จากลอมบาร์ดี ถูกนำตัวมายังราชสำนักในปี ค.ศ. 782 และอยู่ต่อมาจนถึง ค.ศ. 787 เมื่อจักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสที่มอนเตคาสซิโน ทีโอดุลฟ์แห่งออร์เลอองส์ ผู้เป็นชาววิซิกอธ สเปน รับราชการในราชสำนักระหว่างปี ค.ศ. 782 จนถึงปี ค.ศ. 797 เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิชอปแห่งออร์เลอ็อง ทีโอดุลฟ์มีบทบาทในการสร้างมาตรฐานให้แก่คัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาละติน แข่งอย่างเป็นมิตรกับอัลคิวอิน อัลคิวอิน เป็นนักบวชจากนอร์ทธัมเบรีย ผู้มีตำแหน่งเป็นประธานของสถานศึกษาของราชสำนักระหว่างปี ค.ศ. 782 จนถึงปี ค.ศ. 796 ยกเว้นระหว่างปี ค.ศ. 790 จนถึงปี ค.ศ. 793 เมื่อเดินทางกลับไปอังกฤษ หลังจากปี ค.ศ. 796 อัลคิวอินก็ดำเนินการค้นคว้าทางวิชาการในฐานะเจ้าอาวาสอยู่ที่สำนักสงฆ์เซนต์มาร์ตินที่เมืองตูร์ [ 1] ในบรรดาผู้ติดตามอัลคิวอินข้ามจากอังกฤษไปรับราชการในราชสำนักของจักรพรรดิชาร์เลอมาญก็ได้แก่โจเซฟ สกอตตัส ชาวไอร์แลนด์ หลังจากนักการศึกษารุ่นแรกที่เป็นชาวต่างประเทศแล้ว ลูกศิษย์ที่เป็นชาวแฟรงค์ เช่นอองชิลแบร์ต ก็มีบทบาทต่อมา
ราชสำนักต่อมาของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา และ จักรพรรดิคาร์ลที่ 2 หรือ “ชาลส์เดอะบอลด์” ก็ทรงอุปถัมภ์กลุ่มนักการศึกษาเช่นเดียวกันในราชสำนัก บุคคลที่สำคัญที่สุดในบรรดานักการศึกษาเหล่านี้ก็ได้แก่โยฮันน์ส สโคทัส อีรูจินา นักปรัชญา, นักเทววิทยา และกวีชาวไอร์แลนด์
กิจการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการสร้างหลักสูตรมาตรฐานเพื่อใช้ในสถานศึกษาต่าง ๆ ที่เพิ่งทำการก่อตั้งขึ้น อัลควิน เป็นผู้นำในโครงการดังกล่าวและเป็นผู้รับผิดชอบในการเขียนตำรา, สร้างรายชื่อคำศัพท์ และวางรากฐานของไตรศาสตร์ และจตุรศิลปศาสตร์ เพื่อเป็นพื้นฐานของการศึกษา[ 3]
อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือการวิวัฒนาการอักษรกาโรแล็งเฌียง ที่ใช้เป็นครั้งแรกที่อารามคอร์บี และตูร์ ที่ประกอบด้วยการใช้อักษรตัวเล็ก (lower case) กันเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นก็ยังมีการสร้างภาษาละตินมาตรฐานที่เป็นภาษาที่สามารถสร้างคำใหม่ได้ ขณะที่ยังคงรักษาโครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาละตินคลาสสิก เอาไว้ ภาษาละตินสมัยกลาง ที่วิวัฒนาการขึ้นมากลายมาเป็นภาษากลางในการให้การศึกษา และสำหรับข้าราชการผู้บริหารและนักเดินทางสามารถเป็นที่เข้าใจในบริเวณต่าง ๆ ของยุโรป[ 4]
ศิลปะการอแล็งเฌียง
ศิลปะกาโรแล็งเฌียงรุ่งเรืองอยู่ราวราว 120 ปี ราวระหว่าง ค.ศ. 780 จนถึง ค.ศ. 900 แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นแต่ก็เป็นช่วงที่มีการสร้างงานศิลปะที่มีอิทธิพล ศิลปะของยุโรปเหนือ เริ่มเลียนแบบงานศิลปะคลาสสิกของเมดิเตอร์เรเนียนโรมันเป็นครั้งแรก ที่เป็นการวางรากฐานของศิลปะโรมาเนสก์ ที่ตามมา และต่อมาศิลปะกอธิค ในยุโรปตะวันตก งานศิลปะจากยุคนี้ที่ยังคงตกทอดมาให้เห็นก็ได้แก่งานเอกสารตัวเขียนสีวิจิตร , งานโลหะ , ประติมากรรม ขนาดเล็ก, โมเสก และ จิตรกรรมฝาผนัง
สถาปัตยกรรมการอแล็งเฌียง
สถาปัตยกรรมกาโรแล็งเฌียง เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของทางตอนเหนือของยุโรปที่เผยแพร่โดยจักรพรรดิชาร์เลอมาญ สมัยสถาปัตยกรรมเริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 จนถึง คริสต์ศตวรรษที่ 9 จนมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิออตโตที่ 1 ในปี ค.ศ. 936 และเป็นความพยายามที่จะฟื้นฟูสถาปัตยกรรมโรมัน, สถาปัตยกรรมคริสเตียนยุคแรก และ สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ผสานกับลักษณะบางอย่างของตนเองซึ่งทำให้เกิดลักษณะใหม่ขึ้น
ดนตรีการอแล็งเฌียง
ในวัฒนธรรมตะวันตก ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีนิยมที่มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยสุเมอเรียน (2500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผ่านทางบาบิโลเนี และ เปอร์เซีย เข้ามายังกรีซโบราณ และต่อมาโรม แต่การโยกย้ายถิ่นฐานของชาวเจอร์มานิค ในคริสต์ทศวรรษ 400 ทำให้ประเพณีนิยมทางด้านดนตรีต้องมายุติลง ยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ในช่วงหลายร้อยปีหลังจากนั้นไม่เข้าใจภาษากรีก ฉะนั้นโบเธียส ผู้เข้าใจสถานการณ์จึงทำการแปลงานจากภาษากรีกมาเป็นภาษาละติน ที่กลายมาเป็นรากฐานของการศึกษาในยุคนั้น การปฏิรูปทางการศึกษาของจักรพรรดิชาร์เลอมาญผู้ทรงมีความสนพระทัยทางด้านดนตรีจึงเป็นการเริ่มสมัยของการเขียนและก็อปปีงานเขียนกันในสำนักสงฆ์ ที่รวมทั้งงานที่เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีด้วย “Musica enchiriadis ” เป็นงานชิ้นแรกที่สุดชิ้นหนึ่งและเป็นงานที่น่าสนใจ จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงพยายามสร้างมาตรฐานสำหรับดนตรีที่ใช้ทางศาสนาโดยการกำจัดความแตกต่างที่มาจากอิทธิพลท้องถิ่น
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 Scott pg 30
↑ Cantor pg 190
↑ Cantor pg 189
↑ Chambers pg 204-205
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง