ภาพวาดสายพันธุ์ Wisteria brachybotrys
วิสเทียเรีย/วีสเตียเรีย (อังกฤษ : Wisteria, Wistaria หรือ Wysteria ) เป็นพืชในสกุล ไม้ดอก ในพืชวงศ์ถั่ว , พืชที่มีฝัก ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบ ของสายพันธุ์ไม้เถาวัลย์ มีต้นกำเนิดในจีน , ญี่ปุ่น , เกาหลี , และฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา บางสายพันธุ์นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนและญี่ปุ่น แต่สำหรับไม้น้ำที่มีชื่อว่า 'water wisteria' ที่จริงแล้วคือพืช Hygrophila difformis ในวงศ์ Acanthaceae
การจัดกลุ่ม
นักพฤกษศาสตร์ Thomas Nuttall ตั้งชื่อสกุล Wisteria เพื่อระลึกถึงนายแพทย์ Caspar Wistar (ค.ศ. 1761–1818)[ 1] [ 2] มีข้อสงสัยในภายหลังในการสะกด Nuttall กล่าวว่าการตั้งชื่อ Wisteria จะได้ฟัง "ไพเราะ "กว่า แต่ผู้เขียนชีวประวัติของเขาให้ข้อสังเกตว่า อาจมาจาก เพื่อนของ Nuttall ที่ชื่อว่า Charles Jones Wister, Sr. ซึ่งเป็นหลานชายของ John Wister ผู้สร้างอาคาร กมเบทอร์ป Grumblethorpe ในเมืองเยอรมันในฟิลาเดลเฟีย Germantown, Philadelphia (ซึ่งเป็นแหล่งโบราณสถานแห่งชาติของสหรัฐฯ)[ 3] โดยหลักฐานของทางการเมืองฟิลาเดลเฟีย บางส่วนระบุว่าพืชชนิดนี้มีการตั้งชื่อจากชื่อสกุล Wister[ 4] [ 5] การสะกดดังกล่าวได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จึงไม่มีตัดสินการเปลี่ยนแปลงชื่อสกุลจากสถาบัน International Code of Botanical Nomenclature แต่อย่างใด[ 6] อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้ก็มีชื่อว่า "Wistaria" ด้วย[ 7] [ 8]
การจำแนกประเภทแสดงให้เห็นว่า Callerya , Afgekia และ Wisteria ต่างเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดแต่ก็ค่อนข้างแตกต่างกันกับสมาชิกในเผ่า Millettieae ซึ่ง Callerya , Afgekia และ Wisteria มีแปดโครโมโซม [ 9] [ 10]
สปีชีส์
รายละเอียด
เถาของวีสเตียเรีย จะเลื้อยโดยใช้กิ่งก้าน พันเกี่ยวเวียนไปรอบหลักยึด โดยวีสเตียเรียญี่ปุ่นจะเวียนเป็นวงตามเข็มนาฬิกา เมื่อมองจากด้านบน และวีสเตียเรียจีนจะเวียนเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวแบ่งแยกสายพันธุ์ทั้งสอง วีสเตียเรียสามารถเลื้อยได้สูงถึง 20 เมตรจากพื้นและแผ่ขยายทางด้านข้างได้ถึง 10 เมตร เถาวีสเตียเรีย ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันคือ วีสเตียเรียในเมืองเซียร์รามาเดร Sierra Madre แคลิฟอร์เนีย ซึ่งวัดขนาดได้มากกว่า 1 เอเคอร์ (0.40 เฮกเตอร์) มีน้ำหนักมากกว่า 250 ตัน โดยปลูกเมื่อปี ค.ศ. 1894 เป็นชนิดวีสเตียเรียจีนที่มีสีม่วงอ่อน[ 14]
เส้นใบ ทแยง ยาว 15-35 ซม. คล้ายขนนก ใน 1 ก้านจะมีใบย่อยประกอบ 9-19 ใบ ดอก เป็นพุ่ม ช่อดอก ยาว 10-80 ซม.ซึ่งคล้ายกับพืช วงศ์ Laburnum หรือวงศ์ราชพฤกษ์ แต่จะมีสีม่วง สีม่วงเข้ม สีชมพูหรือสีขาว และไม่มีสีเหลืองบนใบ ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ (อาจจะก่อนหรือพร้อมกับใบไม้อื่น ๆ เริ่มผลิใบ) ในบางสายพันธุ์เอเชีย และออกดอกกลางหรือปลายฤดูร้อนในสายพันธุ์อเมริกาและสายพันธุ์ W. japonica วีสเทเรียเป็นไม้ที่กลีบดอกบอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวีสเตียเรียจีน เมล็ด ของวีสเตียเรียเป็นฝักคล้ายกับต้นคูณ (ราชพฤกษ์) Laburnum และเมล็ดในวงศ์นี้เป็นเมล็ดที่มีพิษ
วีสเตียเรียเป็นพืชที่เพาะพันธุ์ง่ายมากจึงจัดอยู่ในสายพันธุ์ผู้รุกราน ในพื้นที่ต่าง ๆ ใน สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปลูกแทนที่พืชสายพันธุ์พื้นถิ่น
วีสเตียเรียมักจะเป็นอาหารของตัวอ่อน (หนอน) ของผีเสื้อกลางวัน และผีเสื้อราตรี Brown-tail
การปลูก
วิสเตียเรีย ที่สวนไนมานส์ (Nymans )เวสต์ซัสเซกซ์ อังกฤษ
วีสเตียเรีย โดยเฉพาะพันธุ์ Wisteria sinensis เป็นพันธุ์ที่ทนทานและโตเร็วมาก สามารถปลูกได้บนดินที่ธาตุอาหารค่อนข้างต่ำ แต่ยังต้องการปุ๋ย ความชื้นและ ดินที่ระบายน้ำได้ดี เจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีแดดตลอดทั้งวัน วีสเตียเรีย สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการตอนกิ่งแข็ง การตอนกิ่งอ่อน หรือเพาะเมล็ด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเพาะเมล็ดจะใช้เวลานานถึง 10 ปีกว่าจะออกดอก จึงทำให้ นักจัดสวน มักจะตอนรากหรือ ต่อกิ่งพันธุ์พืช เพื่อให้ออกดอกได้ดี[ 15] ปัญหาหนึ่งของการออกดอกคือการได้รับปุ๋ยที่มากเกินไป (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไนโตรเจน ) วีสเตียเรีย มีประสิทธิภาพในการหาไนโตรเจนได้เอง (ได้รับจากแบคทีเรียไรโซเบียม ในปมราก) ดังนั้นวีสเตียเตียเรียจึงต้องการสารอาหารเพิ่มเติมจากโปแตสเซียม และฟอสฟอรัส แต่ไม่ต้องการไนโตรเจน วีสเตียเรีย ที่ไม่ยอมออกดอกนั้นเพราะว่าการเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ วีสเตียเรียสามารถเจริญเติบโตเต็มที่โดยใช้เวลาไม่กี่ปีสำหรับ สำหรับพันธุ์ วีสเตียเรีย เคนทักกี หรือ เกือบ 20 ปีสำหรับพันธุ์ วีสเตียเรียจีน วีสเตียเรียสามารถบังคับให้เติบโตเต็มที่ได้โดยการตัดลำต้น หลัก การตัดแต่งราก หรือการให้ต้นอดน้ำ
วีสเตียเรีย ขึ้นได้เองบนพื้นดินโดยไม่ต้องการการดูแล แต่จะเติบโตได้ดีที่สุดหากได้ไต่ไปบนต้นไม้ ซุ้มไม้เลื้อย กำแพง หรือโครงสร้างอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม โครงที่รองรับวีสเตียเรียควรจะมั่นคงมากเพราะเมื่อวีสเตียเรียเติบโตจะมีลำต้น และกิ่งก้าน ที่แข็งแรงและแผ่ขยายใหญ่มาก ดังนั้นมันสามารถเลื้อยทะลุไม้ระแนง เบียดเสาไม้บาง ๆ และสามารถคลุมต้นไม้ใหญ่ได้ วีสเตียเรียที่ขึ้นบนตัวบ้านสามารถทำความเสียหายกับรางน้ำ รางน้ำทิ้ง และโครงสร้างอื่น ๆ แต่จะดูสวยมากหากช่อดอกห้อยลงมา
วีสเตียเรีย ออกดอกจากตาใกล้กับตาเดิมที่เคยออกในปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นการแต่งกิ่ง เพื่อให้เหลือตาเดิมบ้าง ควรจะเริ่มทำเมื่อใกล้เข้าถึงฤดูใบไม้ผลิเพื่อทำให้ออกดอกได้ดีขึ้น หากต้องการควบคุมขนาดของต้นวีสเตียเรีย ควรจะตัดกิ่งด้านข้างให้สั้นลงเหลือประมาณ 20 ถึง 40 ซม. ในช่วงกลางฤดูร้อน และตัดเหลือ 10 ถึง 20 ซม.ในฤดูใบไม้ร่วง สำหรับต้นวีสเตียเรียที่มีอายุหลายปีแล้ว สามารถออกดอกชุกเป็นกลุ่มได้ โดยการตัดแต่งยอดไม้เลื้อย ที่งอกใหม่ สามครั้งในระหว่างฤดูกาลที่ต้นเจริญเติบโต ในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และเดือนสิงหาคม ในซีกโลกเหนือ ดอกในบางสายพันธุ์สามารถรับประทานได้ และบางชนิดสามารถนำมาหมักไวน์ ได้ สายพันธุ์อื่นนอกจากนั้นมีพิษ[ 16] ดังนั้นการรับประทานควรจะได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับพืชป่าอื่น ๆ
ในวัฒนธรรม
สาววีสเตียเรีย (ญี่ปุ่น : 藤娘 , Fuji Musume ; Wisteria Maiden) เป็นหัวเรื่องในภาพวาดท้องถิ่นในเมืองโอตสึ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อกันว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากการฟ้อนรำยอดนิยมบางประเภท ภาพวาดเหล่านี้มักขายเป็นเครื่องรางในงานวิวาห์ นอกจากนี้ สาววีสเตียเรียยังเป็นชื่อการฟ้อนรำแบบโบราณประเภทหนึ่งในจำพวกคะบุกิ ด้วย[ 17]
ส่วนในนิยายเรื่อง เดอะบีนทรีส์ (The Bean Trees) ของบาร์บารา คิงโซฟเวอร์ (Barbara Kingsolver) เจ้าเต่าเรียกเถาวีสเตียเรียว่า ต้นถั่ว เพราะดอกวีสเตียเรียที่ยังไม่ผลิบานนั้นรูปคล้ายถั่ว แต่เจ้าเต่ากับ เทย์เลอร์ ตัวเอกของเรื่อง มารู้ทีหลังว่าวีสเตียเรียอยู่ในวงศ์ถั่ว และวีสเตียเรียกับสายพันธุ์อื่นในวงศ์ถั่ว มีความสัมพันธ์กันในเชิงสัญลักษณ์เช่นเดียวกับที่ตัวละครทั้งหลายมี
การเบ่งบานของดอกวิสเตียเรียหรือ (藤, ฟูจิ ) จำนวนมากที่ สวนดอกไม้อาชิคางะ ในเมือง อาชิคางะ จังหวัดโทจิงิ ญี่ปุ่น จากต้นวีสเตียเรียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งปลูกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 และในปี 2008 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,990 ตารางเมตร (1 / 2 เอเคอร์)
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
↑ Nuttall, Thomas (1818). The Genera of North American Plants and a Catalogue of the Species, to the Year 1817 . Vol. I. D. Heartt. p. 115. สืบค้นเมื่อ 2011-05-15 .
↑ "Wisteria" . Ohio State University. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-12. สืบค้นเมื่อ 2 June 2009 .
↑ Graustein, Jeannette E. (1967). Thomas Nuttall, Naturalist: Explorations in America, 1808–1841 . Harvard University Press. p. 123 . OCLC 678906703 .
↑ John L. Cotter; Daniel Roberts; Michael Parrington (29 December 1992). The Buried Past: An Archaeological History of Philadelphia (1st ed.). Philadelphia: University of Pennsylvania Press. p. 339 . ISBN 978-0812231427 .
↑ Edwin C. Jellett (1904). "Germantown Old and New: Its Rare and Notable Plants". Vol. 22. Germantown, PA: Germantown Independent Gazette. p. 83. OCLC 848577094 .
↑ Charters, Michael L. "Page W" . California Plant Names: Latin and Greek Meanings and Derivations . สืบค้นเมื่อ 2011-05-15 .
↑ Bryson, Bill (2003). "Ch. 6 — Science Red in Tooth and Claw". A Short History of Nearly Everything (1st ed.). New York, NY: Broadway Books. ISBN 0-375-43200-0 .
↑ Dixon, Richard; Howard, Philip (June 5, 2009). "Wisteria? Wistaria? Let's call the whole thing off" . The Times . London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-29. สืบค้นเมื่อ 2011-05-16 . {{cite news }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Hu, Jer-Ming; Lavin, Matt; และคณะ (2000). "Phylogenetic systematics of the tribe Millettieae (Leguminosae) based on chloroplast trnK/matK sequences and its implications for evolutionary patterns in Papilionoideae" . American Journal of Botany . 87 (3): 418–30. doi :10.2307/2656638 . PMID 10719003 . [ลิงก์เสีย ]
↑ Li, Jianhua; Jiang, Jin‐Huo; และคณะ (2014). "Molecular systematics and biogeography of Wisteria inferred from nucleotide sequences of nuclear and plastid genes" (PDF) . Journal of Systematics and Evolution . 52 (1): 40–50.
↑ "Wisteria macrostachya" . Tropicos . Missouri Botanical Garden . สืบค้นเมื่อ 22 February 2016 .
↑ "Wisteria venusta Rehder & E.H. Wilson" . Tropicos . Missouri Botanical Garden . สืบค้นเมื่อ 19 August 2018 .
↑ Wei, Zhi; Pedley, Les. "Wisteria venusta" . Flora of China . สืบค้นเมื่อ 22 February 2016 – โดยทาง eFloras.org. Missouri Botanical Garden , Harvard University Herbaria .
↑ R. Daniel Foster (16 March 2018). "Your once-a-year shot to see a freakishly large wisteria vine" . Los Angelis Times.
↑ Maureen Gilmer (8 April 2006). "Wisteria has a long and tangled history" . Tribune News Service – โดยทาง The Orange County Register.
↑ "Canadian Poisonous Plants Information System, Wisteria floribunda " . Canadian Biodiversity Information Facility. 2014-04-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2020-03-10. สืบค้นเมื่อ 2020-01-06 .
↑ " "Fuji Musumè" ( 藤娘 ) or "Wisteria Maiden" shown in flight" . Zen Garden. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2015-03-18. สืบค้นเมื่อ 2018-01-08 .
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิพจนานุกรม