วัตสะ (อักษรโรมัน: Vatsa) หรือ วังสะ (อักษรโรมัน: Vamsa Pali and Ardhamagadhi: Vaccha, literally "calf"[1]) เป็นแคว้นหนึ่งในมหาชนบท 16 แคว้นอยู่ใน รัฐอุตตรประเทศ ของประเทศอินเดียในยุคโบราณ ตามที่มีบรรยายใน อังคุตตรนิกาย แคว้นวังสะ หรือวัตสะ ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นโกศล และทางเหนือหรือตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นอวันตี อาณาเขตของแคว้นไม่มีบอกไว้ให้ชัดเจน แต่ก็กล่าวว่าไม้กว้างขวางใหญ่โตนัก ในสมัยพุทธกาลแคว้นวังสะเป็นราชอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง และมีอำนาจมากแคว้นหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองแคว้นคือพระเจ้าอุเทน เทียบกับปัจจุบัน แคว้นวังสะ ได้แก่เขตจังหวัดอลาหาบาด ของรัฐอุตตรประเทศและบริเวณใกล้เคียง[2]แคว้นวังสะมีเมืองหลวงชื่อ โกสัมพี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา ปัจจุบันได้แก่ตำบลหรือหมู่บ้านโกสัม ในเขตจังหวัดอะลาหาบาด ห่างจากตัวเมืองอัลลฮาบาดไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 59 กิโลเมตร หรือ 37 ไมล์[2] ได้มีการขุดค้นสำรวจ และได้หลักฐานเป็นที่แน่นอนแล้ว ซากกำแพงเมืองก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่การขุดค้นสำรวจซึ่งได้ทำแล้ว ณ บางจุด รวมทั้งจุดซึ่งเข้าใจเป็นวัดโฆสิตารามด้วย ได้พบโบราณวัตถุต่างชนิดรวมทั้งพระพุทธรูปมากมาย ส่วนใหญ่เวลานี้รักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองอัลลฮาบาดโกสัมพีในสมัยพุทธกาล เป็นเมืองใหญ่และเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างแคว้นที่สำคัญแห่งหนึ่ง พระอานนท์ระบุว่าเป็นเมืองหนึ่งซึ่งควรเป็นที่เสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์วัดที่โกสัมพีในพุทธสมัยมีปรากฏชื่อ 4 วัด คือวัดโฆสิตาราม วัดกุกกุฏาราม วัดปาวาริการาม หรือปาวาวิกัมพวัน ซึ่งเศรษฐีแห่งโกสัมพี 3 คน คือเศรษฐีโฆสกะหรือโฆสิตะ เศรษฐีกุกกุฏะ และเศรษฐีปาวาริกะโดยลำดับ สร้างถวายแด่พระพุทธองค์ ในโอกาสเดียวกัน กับวัดที่ 4 คือวัดพัทริการาม ซึ่งดูว่าจะอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยปรากฏตามพระคัมภีร์ว่า พระพุทธองค์ได้เสด็จประทับ ณ วัดทั้งสี่นี้บ่อย ๆ และบางโอกาสได้ประทับอยู่นาน ได้ทรงแสดงพระสูตรต่าง ๆ ณ วัดทั้งสี่นี้เป็นจำนวนมาก ทรงบัญญัติสิกขาบทรวมหลายสิขาบท รวมทั้งที่ห้ามภิกษุดื่มสุราด้วยพระพุทธองค์ทรงจำพรรษาที่ 9 ณ โกสัมพีนี้ แต่ยังค้นไม่พบว่าทรงประทับอยู่ ณ ที่ไหน
ในปีพรรษาที่ 10 พระสงฆ์ที่วัดโฆสิตารามทะเลาะกัน และแตกออกเป็นสองพวกแม้พระพุทธองค์จะได้เสด็จมาตักเตือนห้ามปราม และทรงขอให้กลับสามัคคีกัน ก็ยังไม่ทำตามพระพุทธโอวาท พระพุทธองค์ทรงมีความระอาต่อการณ์ดังกล่าวจึงได้เสด็จไปประทับจำพรรษาอยู่แต่พระองค์เดียว ที่รักขิตวันแห่งป่าปาริไลยกะ ดังได้กล่าวแล้วในเรื่องแคว้นเจตี ออกพรรษาแล้วจึงเสด็จ ต่อไปยังสาวัตถี พระที่ทะเลาะกันรู้สำนึกความผิด และคืนดีกันได้ภายในพรรษา ออกพรรษาแล้วจึงได้พร้อมใจกันไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ สาวัตถี เพื่อกราบทูลขอโทษ
ที่โฆสิตารามนี้ พระฉันนะ ถือตัวว่าเป็นคนเก่าแก่ของพระพุทธองค์ ประพฤติตนเป็นคนดื้อด้านว่ายาก ไม่ยอมฟังคำตักเตือนของผู้ใด ก่อนจะเสด็จปรินิพพานพระพุทธองค์ตรัสบอกท่านพระอานนท์ว่า ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะคือไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน และเกี่ยวข้องอะไรด้วยทั้งสิ้น เสร็จสังคายนาครั้งที่หนึ่งแล้ว โดยฉันทานุมัติจากที่ประชุมสงฆ์ ท่านพระอานนท์ พร้อมด้วยบริวารได้เดินทางจากราชคฤห์มายังโฆสิตาราม เพื่อ ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ พระฉันนะได้สำนึก ประพฤติตนดี และเอาใจใส่ในการบำเพ็ญเพียร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นอกจากที่กล่าวแล้วนี้ เรื่องอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ณ โกสัมพี ที่ทราบกันแพร่หลายที่มีเล่าในอรรถกถา ธรรมบทก็มีเรื่องโฆสกะเศรษฐี เรื่องพระพากุละหรือพักกุละเรื่องพระปิณโฑลภารทวาชะ และเรื่องของพระเจ้าอุเทน กับพระนางสามาวดีพระนางมาคันทิยา และพระนางวาสุลทัตตาเป็นต้นตามความที่ปรากฏในเรื่องของพระเจ้าอุเทน กับพระมเหสีทั้งสามที่โกสัมพีนี้ พระพุทธองค์ทรงถูกเหล่าชนมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งได้รับสินจ้างจากพระนางมาคันทิยาผู้ผูกอาฆาตในพระพุทธองค์ ติดตามด่าว่าเยาะเย้ยด้วยประการต่าง ๆ จนท่านพระอานนท์ทนฟังไม่ไหว ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่าควรจะเสด็จหนีไปเมืองอื่นเสียแต่พระพุทธองค์ไม่ทรงเห็นด้วย ตรัสว่า เรื่องเกิดขึ้นที่ไหนก็ควรทำให้สงบ ณ ที่นั้นเสียก่อน จึงค่อยไปที่อื่น แล้วตรัสพระพุทธภาษิตอันถือกันว่า เป็นธรรมะสอนใจอย่างดียิ่ง เรื่องละเอียดมีใน สามาวดีวัตถุ แห่งอรรถกถาธรรมบท[3]
อ้างอิง
แหลงข้อมูลอื่น
|
---|
อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย (600 – 300 ปีก่อนคริสตกาล) | |
---|