รักเทิดทูน[1] (ฝรั่งเศส: amour courtois) คือแนวคิดทางวรรณกรรมที่ถือกำเนิดขึ้นในยุโรปสมัยกลาง สะท้อนถึงความรักในลักษณะสูงส่ง ซื่อสัตย์ และเปี่ยมไปด้วยอุดมคติของอัศวิน แก่นเรื่องแนวรักเทิดทูนมีต้นกำเนิดมาจากบทกวีประเภทคีตกานท์ในภาษาอุตซิตา บุคคลสำคัญผู้ขับเคลื่อนแก่นเรื่องนี้คือเหล่าตรูบาดู กวีจากชนชั้นสูงในฝรั่งเศสตอนใต้ซึ่งในสมัยนั้นได้รับการยกย่องมากกว่านักขับลำที่เป็นสามัญชน
ศัพทมูลวิทยา
ที่มาของสำนวน amour courtois ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่กัสตง ปาริส นักนิรุกติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้นำสำนวนดังกล่าวมาใช้ในศาสตรนิพนธ์ที่เผยแพร่ใน ค.ศ. 1883 จนกลายเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในหมู่นักวิชาการ[2] อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยของเหล่าตรูบาดู พวกเขานิยมเรียกความรักในลักษณะนี้ว่า fin'amor ซึ่งแปลว่า "รักอันประเสริฐ" ในภาษาอุตซิตา
ประวัติ
แม้ว่าร่องรอยของรักเทิดทูนจะสามารถสืบสาวไปถึงกวีนิพนธ์อาหรับ (อิบน์ ดาวูด, อิบน์ ฮัซม์)[3] วรรณกรรมของกลุ่มแคทาร์[4] หรือบทประพันธ์ทางศาสนา แต่จุดกำเนิดที่แท้จริงของแก่นเรื่องนี้กลับอยู่ในราชสำนักของเจ้าและขุนนางชั้นสูงจากอากีแตน พรอว็องส์ ช็องปาญ บูร์กอญ และซิซิลีภายใต้การปกครองชาวนอร์มันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11[5] รักเทิดทูนเริ่มเฟื่องฟูในคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากหญิงผู้ทรงอิทธิพล เช่น อาลีเยนอร์แห่งอากีแตน (หลานสาวของกีโยมที่ 9 แห่งอากีแตน ซึ่งอาจเป็นตรูบาดูคนแรกที่ขับขานเป็นภาษาอุตซิตา หลังจากกลับจากสงครามครูเสด) หรือมารีแห่งฝรั่งเศส เคาน์เตสแห่งช็องปาญ (ผู้อุปถัมภ์กวีเครเตียง เดอ ทรัว ซึ่งเป็นผู้แต่ง ลานเซอล็อตหรืออัศวินแห่งเกวียน)
รักเทิดทูนได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงศตวรรษท้าย ๆ ของสมัยกลาง โดยแพร่หลายไปยังราชอาณาจักรคริสต์ต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตก (เช่น กิลแย็มแห่งบาร์กาดา ตรูบาดูชาวกาตาลา, มาร์ติง โกดัช นักขับลำชาวกาลิเซีย, ก็อทฟรีท ฟ็อน ชตราสบวร์ค มินเนอเซ็งเงอร์ชาวเยอรมัน, ขบวนการดอลเชสติลโนโวจากยุคสมัยของดันเต หรือแม้กระทั่งนักเขียนชาวอังกฤษอย่างเจฟฟรีย์ ชอเซอร์, จอห์น กาวเวอร์ และทอมัส แมเลอรี) โดยผสมผสานเข้ากับขบวนการก่อนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยารวมทั้งแก่นเรื่องและประเภทวรรณกรรมอื่น ๆ (โดยเฉพาะนิยายเกี่ยวกับอัศวิน)
ลักษณะ
ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงที่เขารักอย่างเทิดทูนนั้นเปรียบเสมือนความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้าในระบบฟิวดัล[6] เมื่อชายหลงใหลความงามของหญิงผู้นั้น เขาจะยกย่องและปฏิบัติตามความปรารถนาของเธอทุกประการ วรรณกรรมสมัยกลางเต็มไปด้วยตัวอย่างของอัศวินที่ออกผจญภัยและประกอบภารกิจหรือวีรกรรมต่าง ๆ เพื่อหญิงสูงศักดิ์ที่ตนเองรัก นอกจากนี้รักเทิดทูนส่วนมากจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ ในหมู่ชนชั้นสูง[7] และไม่ใช่ความรักที่ผ่านการรับศีลสมรสอย่างถูกต้องตามประเพณี หากแต่เป็นรักต้องห้ามหรือการผิดประเวณี[7][8] อย่างไรก็ตาม การผิดประเวณีในแก่นเรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งสวยงามเพราะเกิดจากความรักที่แท้จริงอันจะหาไม่ได้ในคู่แต่งงาน[1] เนื่องจากการแต่งงานในสมัยกลางมักมาจากการคลุมถุงชนเพื่อผลประโยชน์ต่าง ๆ
เดิมทีรักเทิดทูนเป็นเพียงแก่นเรื่องที่ได้รับการคิดค้นขึ้นเพื่อความบันเทิงของชนชั้นสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป แนวคิดเกี่ยวกับความรักเหล่านี้ได้แพร่ไปสู่วัฒนธรรมประชานิยมและดึงดูดผู้รู้หนังสือในวงกว้างขึ้น ในสมัยกลางตอนกลาง "กลยุทธ์แห่งรัก" รูปแบบหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นจากแนวคิดเหล่านี้และกลายเป็นรูปแบบการปฏิบัติทางสังคมในชีวิตจริง การ "รักอย่างสูงส่ง" ถือเป็นแนวปฏิบัติที่สร้างคุณค่าและช่วยยกระดับตนเอง[9][10] โดยพื้นฐานแล้ว รักเทิดทูนเป็นประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างความปรารถนาทางเพศกับการบรรลุความเป็นเลิศทางจิตวิญญาณ "เป็นรักนอกกฎหมายแต่ยกระดับศีลธรรม เร่าร้อนแต่มีวินัย น่าอดสูแต่เชิดชูคุณค่า เป็นมนุษย์แต่ก็เหนือมนุษย์ในเวลาเดียวกัน"[11]
บุคคลสำคัญ
ผู้ปลูกฝังแก่นเรื่องแนวรักเทิดทูนที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ มาร์กาบรือ, เบร์นัต เด เบ็นตาดูร์น, กิเราต์ เด บูร์เน็ลย์ และเปย์เร บิดัล บุคคลสำคัญในยุคสมัยนั้นก็มีส่วนร่วมกับขบวนการนี้ด้วย เช่น พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอารากอน, พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ, กีโยมที่ 9 แห่งอากีแตน, ไรม์เบาต์แห่งออร็องฌ์, รูแบร์ตแห่งโอแวร์ญ มุขนายกแห่งแกลร์มง เป็นต้น
การวิเคราะห์
การตีความและอิทธิพลของรักเทิดทูนยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ ศูนย์กลางของทฤษฎีรักเทิดทูนมักจำกัดขอบเขตอยู่ที่มุมมองอันสมบูรณ์แบบและลี้ลับของความรัก แต่ฌอร์ฌ ดูว์บี[12] ตั้งข้อสังเกตว่ารักเทิดทูนอาจไม่ได้เป็นการส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงเสมอไป หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการอบรมหล่อหลอมชายวัยหนุ่มผ่านการควบคุมแรงกระตุ้นและความรู้สึกของพวกเขา ในทำนองเดียวกับการฝึกฝนร่างกายผ่านการฝึกทหารและการประลองแข่งขัน การยกย่องนางในอุดมคติไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาความสุขทางเพศกับหญิงที่มีฐานะด้อยกว่า ดังที่ปรากฏในเพลงเกี้ยวสาวเลี้ยงแกะในฝรั่งเศสและเพลงเกี้ยวสาวชาวเขาในสเปน สถานะทางสังคมของอัศวินและหญิงที่เขารักในแก่นเรื่องแนวรักเทิดทูนยังถูกใช้เป็นเครื่องมือแยกแยะพวกเขาออกจากสามัญชนและชนชั้นกระฎุมพี ต่อให้ชนชั้นกระฎุมพีมีเงินทองมาประชันขันแข่งเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบชั้นทางวัฒนธรรมกับชนชั้นสูงได้[13]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสภา (แก้ไขเพิ่มเติม). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, 2561, หน้า 137.
- ↑ Roger Boase (1986). "Courtly Love," in Dictionary of the Middle Ages, Vol. 3, pp. 667–668.
- ↑ Rachel Ariélien, «Ibn Hazm et l'amour courtois», Revue de l'Occident musulman et de la Méditerranée, 1985, vol. 40, p. 75-89.
- ↑ Henri-Irénée Marrou, Les troubadours, París, Seuil, 1971.
- ↑ Ousby, I., บ.ก. (1995). "Courtly Love". The Cambridge Guide to Literature in English. p. 213.
- ↑ "Courtly love". Middle Ages.com. 16 May 2007. สืบค้นเมื่อ 18 January 2010.
- ↑ 7.0 7.1 "Courtly love from". condor.depaul.edu. สืบค้นเมื่อ 18 January 2010.
- ↑ Debora Schwartz. "Courtly love at". Cla.calpoly.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 January 2010. สืบค้นเมื่อ 18 January 2010.
- ↑ Stevens, John (1979). Music & Poetry in the Early Tudor Court. New York: Cambridge University Press. ISBN 0-521-29417-7.
- ↑ Newman, F. X., บ.ก. (1968). The Meaning of Courtly Love. Albany: State University of New York. ISBN 0-87395-038-0.
- ↑ Newman, Francis X., บ.ก. (1968). The Meaning of Courtly Love. vii. ISBN 0-87395-038-0.
- ↑ El caballero, la mujer y el cura: El matrimonio en la Francia feudal, Penguin, 2013
- ↑ Laure Verdon, Le Moyen Âge, Paris, Le Cavalier Bleu éditions, 2003, coll. « Idées reçues », p. 96, 128 p. (ISBN 2-84670-089-3)., pgs. 97-99.