กลุ่มบุคคลที่ปรากฏในหนังสือกันดารวิถีของคัมภีร์ไบเบิล
บุตรหญิงของเศโลเฟหัด (อังกฤษ: Daughters of Zelophehad; ฮีบรู: בְּנוֹת צְלָפְחָד, อักษรโรมัน: Bənōṯ Ṣəlāfəḥāḏ) เป็นพี่น้องหญิงล้วน 5 คนที่ประกอบด้วย มาลาห์ (อังกฤษ: Mahlah; ฮีบรู: מַחְלָה Maḥlā), โนอาห์ (อังกฤษ: Noa; נֹעָה Nōʿā), โฮกลาห์ (อังกฤษ: Hoglah; חָגְלָה Ḥoglā), มิลคาห์ (อังกฤษ: Milcah; מִלְכָּה Mīlkā) และ ทีรซาห์ (อังกฤษ: Tirzah; תִרְצָה Tīrṣā) ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือกันดารวิถีของคัมภีร์ฮีบรู ทั้งห้าคนมีชีวิตในช่วงการอพยพของชาวอิสราเอลจากอียิปต์เพื่อจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา และทั้งห้าคนเป็นผู้เสนอต่อชุมชนชนอิสราเอลในเรื่องอรรถคดีเกี่ยวกับสิทธิของสตรีและพันธกรณีของการสืบทอดมรดกในกรณีที่ไม่มีทายาทชายในตระกูล เศโลเฟหัดเป็นชายจากเผ่ามนัสเสห์ มีบุตรหญิง 5 คนแต่ไม่มีบุตรชาย จึงไม่มีทายาทที่เป็นผู้ชาย[1]
ความในคัมภีร์ไบเบิล
ความในคัมภัร์ไบเบิลกล่าวถึงตัวเศโลเฟหัดเองเพียงเล็กน้อย โดยระบุว่าเขาเสียชีวิตขณะอายุ 40 ปีระหว่างที่ชาวอิสราเอลกำลังเร่ร่อนในถิ่นทุรกันดาร และเป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏของโคราห์[2] กันดารวิถี 16 ไม่ได้ระบุว่าเผ่ามนัสเสห์มีส่วนร่วมในการก่อกบฏต่อโมเสส
เหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดร้องเรียนต่อโมเสส, ปุโรหิตเอเลอาซาร์, เหล่าผู้นำเผ่า และชุมนุมชนทั้งหมดที่ประตูของเต็นท์นัดพบในเรื่องสิทธิของพวกตนที่จะได้สืบทอดมรดกในดินแดนอิสราเอล[3] เหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดบอกว่าเศโลเฟหัดบิดาของพวกตนไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏของโคราห์ แต่เสียชีวิต "เพราะบาปของตน"[2] เหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดแย้งว่าหากตนไม่มีสิทธิ์ในมรดก ชื่อของเศโลเฟหัดก็สูญหายไปในกลุ่มของเขา[4] โมเสสนำเรื่องไปทูลพระเจ้า[5] พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่าคำร้องเรียนของเหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดนั้นถูกต้องแล้ว และพวกเธอควรได้สิทธิ์สืบทอดมรดกของบิดา[6]
ภายหลัง หัวหน้าสกุลของตระกูลกิเลอาด (หลานของมนัสเสห์) อุทธรณ์ต่อโมเสสและพวกผู้นำเผ่า แย้งว่าหากเหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดแต่งงานกับชายจากเผ่าอื่นของชาวอิสราเอล มรดกของพวกเธอก็จะถูกย้ายไปจากเผ่ามนัสเสห์ไปยังมรดกของเผ่าที่พวกเธอแต่งงานด้วย[7] โมเสสจึงบัญชาชาวอิสราเอลตามพระดำรัสของพระเจ้าว่าคำร้องเรียนของหัวหน้าสกุลนั้นถูกต้องแล้ว และว่าเหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดสามารถแต่งงานกับใครก็ได้ตามต้องการแต่ต้องเป็นชายจากเผ่ามนัสเสห์เท่านั้น[8]
5 และโมเสสบัญชาคนอิสราเอลตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ว่า "คนเผ่าโยเซฟพูดถูกต้องแล้ว 6 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเกี่ยวกับบุตรหญิงของเศโลเฟหัด ซึ่งว่า 'จงให้พวกเธอแต่งงานกับใครก็ได้ที่เธอพอใจ เพียงแต่จะต้องแต่งงานกับคนภายในตระกูลของเผ่าแห่งบรรพบุรุษของเธอ 7 ดังนี้แหละส่วนมรดกของคนอิสราเอลจะไม่ถูกเปลี่ยนมือจากเผ่าหนึ่งไปให้อีกเผ่าหนึ่ง เพราะอิสราเอลแต่ละคนต้องปักหลักอยู่ในที่มรดกของเผ่าแห่งบรรพบุรุษของตน 8 และบุตรหญิงทุกคนผู้รับกรรมสิทธิ์ในมรดกในเผ่าใดของคนอิสราเอล ก็ให้แต่งงานกับคนใดคนหนึ่งจากตระกูลในเผ่าแห่งบรรพบุรุษบิดาของตน เพื่อคนอิสราเอลแต่ละคนจะถือกรรมสิทธิ์ในมรดกของบรรพบุรุษบิดาของเขา 9 ดังนั้นจะไม่มีมรดกที่ถูกเปลี่ยนจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง เพราะอิสราเอลแต่ละเผ่าต้องปักหลักอยู่ในที่มรดกของตน' " 10 พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสอย่างไร บุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดก็ทำอย่างนั้น 11 และบรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดคือ มาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ต่างก็แต่งงานกับพวกบุตรชายของลุงของตน 12 พวกเธอแต่งงานกับคนจากตระกูลมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ และส่วนมรดกของพวกเธอก็คงอยู่ในเผ่าของตระกูลแห่งบรรพบุรุษของเธอ[9]
เหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดทำตามที่พระเจ้าบัญชา ต่างแต่งงานกับบุตรชายของลุงของพวกตน[10] คือเป็นการสมรสระหว่างลูกพี่ลูกน้อง เมื่อชาวอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา เหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดเข้าหาปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวา (ผู้ซึ่งเวลานั้นได้รับตำแหน่งผู้นำถัดจากโมเสส) และพวกผู้นำเผ่า ย้ำเรื่องที่พระเจ้ามีบัญชาให้โมเสสให้ส่วนแบ่งมรดกในหมู่ญาติพี่น้องของพวกเธอให้พวกเธอ และเหล่าบุตรหญิงของเศโลเฟหัดจึงได้รับส่วนแบ่งของชาวมนัสเสห์ซึ่งอาจอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน[11]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น