จอมพล ซูฮาร์โต (อินโดนีเซีย: Soeharto, Suharto) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประเทศอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานที่สุดของประเทศเป็นเวลา 31 ปี โดยได้รับฉายาจากนานาชาติโดยเฉพาะประเทศโลกตะวันตกว่า "The Smiling General"
ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซูฮาร์โตเป็นผู้นำทางทหารในยุคที่อยู่ใต้การปกครองของ ญี่ปุ่นและฮอลันดา เรื่อยมาจนได้รับยศพลตรี
ซูฮาร์โตมีบทบาทมากจากเหตุการณ์ปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย ในการเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2508 จนได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากซูการ์โนในปี พ.ศ. 2510 จนถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 จึงได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังจากการเดินขบวนต่อต้านจากนักศึกษาและประชาชน
ภายใต้ยุคของเขาที่เรียกกันว่า "ยุคระเบียบใหม่" เขาสามารถสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็งและใช้ระบบอำนาจรวมศูนย์ ทั้งยังสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้เป็นอย่างดีและมีนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากโลกตะวันตกในช่วงสงครามเย็น ในสมัยของเขาช่วงต้นนั้นประเทศอินโดนิเซียเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในด้านอุตสาหกรรม มีการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด และระดับการศึกษาที่ดีขึ้น[1][2] อย่างไรก็ดี เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในบรรดานักการเมืองที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดในโลก ด้วยตัวเลขเงินที่คอร์รัปชันไปถึง 15-35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างที่เขายังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[3][4][5]
ชื่อ
ตามวัฒนธรรมของชาวชวา เขามีชื่อเพียงชื่อเดียว ส่วนชื่อในทางศาสนามีชื่อว่า "อัลฮะจีญ์ มุฮัมมัด ซูฮาร์โต" แต่ไม่ได้ใช้ในทางราชการแต่อย่างใด ส่วนชื่อซูฮาร์โตนั้นถอดสะกดเป็นอักษรโรมันตามระบบใหม่ของอินโดนิเซียว่า "Suharto" ก่อนหน้านั้นสะกดว่า "Soeharto" ตามอักขระวิธีของภาษาดัตช์ ซึ่งเขาชื่นชอบการทับศัพท์แบบดัตช์มากกว่า สื่อภาษาอังกฤษมักจะสะกดชื่อเขาเป็น "Suharto" ในขณะที่สื่อในประเทศอินโดนิเซียสะกดเป็น "Soeharto"[6] ทั้งนี้ ชาวอินโดนิเซียจะจดจำเขาในนาม ปะก์ฮาร์โต (Pak Harto)[7] และได้รับสมญานามว่า บิดาแห่งการพัฒนาอินโดนิเซีย[8] อันเนื่องมาจากการบริหารประเทศและการดำเนินนโยบายของเขาในยุคระเบียบใหม่
ประวัติ
เขาเกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2464 ในบ้านที่มีผนังไม้ไผ่สานแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเกมุสุข ทางตะวันตกของจังหวัดยกยาการ์ตาซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเกาะชวา[9] เขาเป็นบุตรคนเดียวจากการแต่งงานครั้งที่สองของบิดาคือเคโตสูดิโร กับมารดาของเขาคือสุคิระห์ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นยกยาร์การ์ตาเอง และมีความเกี่ยวข้องกับสุลตานฮาเมงคุบูโวโนที่ 5[10]
ห้าสัปดาห์หลังจากเขาเกิดมา มารดาของเขามีอาการทางประสาท ทำให้เขาอยู่ในความดูแลของบิดาและป้าของเขาคือโกโมดีร์โจ หลังจากนั้นบิดาและมารดาของเขาได้แยกทางกัน เมื่อซูฮาร์โตอายุได้ 3 ปี เขาได้ตามไปอยู่กับมารดาที่แต่งงานใหม่กับชาวนาในพื้นที่ เขาได้ช่วยมารดาและพ่อเลี้ยงของเขาทำเกษตรกรรม ต่อมาใน พ.ศ. 2472 บิดาของเขาก็พาไปอยู่กับน้องสาวต่างมารดาของเขาซึ่งแต่งงานกับปราวิโรวิฮาดิโจ เจ้าหน้าที่กรมเกษตรในเมืองวูรยานโตโรซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งกันดาร ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองโวโนกีรี ต่อมาได้ไม่นานพ่อเลี้ยงของเขาก็พาเขากลับไปหามารดาที่หมู่บ้านเกมุสุข ส่วนบิดาของเขาก็พาเขาย้ายกลับมาอยู่วูรยานโตโรอีกครั้งหนึ่ง
ซูฮาร์โตมีรูปร่างที่คล้ายกับบิดาของเขา ใน พ.ศ. 2474 เขาได้ย้ายไปอยู่โวโนกีรีเพื่อเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา โดยอาศัยอยู่กับสุลาร์ดี ซึ่งเป็นบุตรของปราวิโรวิฮาดิโจ ต่อมาเขาได้อยู่กับฮาดิโจวิโจโน ผู้เป็นญาติทางฝั่งบิดาของเขา ขณะที่เขาอาศัยอยู่กับญาติ่งบิดานั้น เขาได้รู้จักกับดาร์จัตโม ดูคุน ซึ่งเป็นหมอผีในท้องถิ่น ทำให้ส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาในเวลาต่อมาจนกระทั่งเขามาเป็นประธานาธิบดีในภายหลัง ด้วยเหตุที่ทางครอบครัวประสบปัญหาทางการเงินและไม่มีเงินที่จะชำระค่าธรรมเนียมการศึกษาให้กับเขา ทำให้เขากลับไปอาศัยอยู่กบบิดาที่เกมุสุขอีกครั้ง และเขาได้ศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมมูฮัมมาดียะห์ที่มีค่าธรรมเนียมการศึกษาน้อยกว่าจนจบการศึกษาใน พ.ศ. 2482
การอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวเขาแตกต่างจากครอบครัวอื่นในประเทศที่สอนเกี่ยวกับความเป็นชาตินิยม โดยเฉพาะกับซูการ์โนซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศอินโดนิเซีย ในชีวิตในวัยเด็กเขาไม่ได้สนใจทางการเมืองหรือความหวาดกลัวของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกเหมือนกับซูการ์โนและคนอื่นในแวดวงการทหารและการเมือง นอกจากนี้ ซูฮาร์โตไม่ได้สนิทหรือรู้จักกับโลกภายนอก เขาจึงไม่ได้สนใจศึกษาภาษาดัตช์หรือภาษาอื่นในแถบโลกตะวันตก จนกระทั่งเขาได้มาศึกษาภาษาดัตช์ในตอนที่เขาได้รับราชการในกองทัพเนเธอร์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. 2484
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น