ชายแดนไทย–กัมพูชา |
---|
|
ข้อมูลจำเพาะ |
---|
พรมแดนระหว่าง | ไทย กัมพูชา |
---|
ความยาว | 798 - 817 กิโลเมตร |
---|
ประวัติ |
---|
มีผลตั้งแต่ | 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 การเข้าปกครองกัมพูชาของฝรั่งเศส |
---|
พรมแดนปัจจุบัน | พ.ศ. 2450 |
---|
สนธิสัญญา | • อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส พ.ศ. 2447 • สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส พ.ศ. 2450 • อนุสัญญาโตเกียว พ.ศ. 2484 • ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2489 มีผลยกเลิกอนุสัญญาโตเกียว |
---|
ชายแดนไทย–กัมพูชา เป็นพรมแดนระหว่างประเทศ ซึ่งมีทั้งทั้งบนบก เริ่มต้นจากสามเหลี่ยมมรกตผ่านสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก ร่องน้ำลึกต่าง ๆ[1] เทือกเขาบรรทัด และบรรจบทางน้ำบริเวณอ่าวไทย ต่อเนื่องไปจนถึงบนผืนน้ำ มีความยาวประมาณ 798[a] - 817[b] กิโลเมตร[2][3] โดยประเทศไทยอยู่บริเวณทิศตะวันตกและทิศเหนือของเส้นเขตแดน ส่วนประเทศกัมพูชาอยู่บริเวณทิศตะวันออกและทิศใต้ของเส้นเขตแดน จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับพรมแดนกัมพูชาประกอบไปด้วย จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี[1]
ความเป็นมา
ในยุคก่อนหน้าที่รัฐชาติจะใช้เส้นเขตแดนเป็นการกำหนดเขตแดน ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาไม่ได้มีอาณาเขตระหว่างกันที่ชัดเจนมากนัก ซึ่งแนวคิดของเส้นเขตแดนได้เข้ามาพร้อมกับประเทศอาณานิคมจากตะวันตก[4] โดยมีการเสียดินแดนเขมรส่วนนอกซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศราชของไทยในปี พ.ศ. 2410 ให้ขึ้นเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ต่อมาในปี พ.ศ. 2449 ได้ทำสัญญายกพื้นที่มณฑลบูรพา ประกอบด้วยเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกกับจังหวัดตราด และพื้นที่ทางทะเลที่อยู่ใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูดที่ฝรั่งเศสได้เข้ามายึดครอง[5][4]
สำหรับพรมแดนไทย–กัมพูชานั้น เป็นผลมาจากการปักปันเขตแดนร่วมกันระหว่างประเทศสยาม (ประเทศไทยในขณะนั้น) และประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของกัมพูชาในขณะนั้น ออกมาเป็นอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2447 สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2450 และพิธีสารแนบท้าย โดยได้จัดทำแผนที่เพื่อแสดงเส้นเขตแดนไว้จำนวน 2 ชุด[1] ประกอบไปด้วย
- แผนที่ 11 ระวาง จัดทำขึ้นมาตามอนุสัญญาที่ทำขึ้นในปี พ.ศ. 2447
- แผนที่ 5 ระวาง จัดทำขึ้นมาตามอนุสัญญาที่ทำขึ้นในปี พ.ศ. 2450
นอกจากนี้ได้มีการดำเนินการปักหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาไว้จำนวน 73 หลัก ระหว่างปี พ.ศ. 2452 - 2453 และปี พ.ศ. 2462 - 2463 ในแต่ละหลักมีการบันทึกวาจาปักหลักหมายเขตประกอบ (Procès-verbal d'abornement)[1]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 ประเทศไทยในการนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม[4] ที่ดำเนินนโยบายชาตินิยมเป็นหลักซึ่งขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมขณะนั้นเริ่มอ่อนแอลง จึงได้ขอปรับปรุงเขตแดนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในอดีต หลังจากลงสัตยาบันในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันและกันเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ที่ทำร่วมกันกับฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ทำให้เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนที่มีการรบกันระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส กระทั่งปลายปี พ.ศ. 2483 ญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและทำอนุสัญญากรุงโตเกียว พ.ศ. 2484 ทำให้ประเทศไทยได้ดินแดน ไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ และพระตะบอง กลับมาในการดูแล[4] กระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยต้องมอบดินแดนดังกล่าวให้กับฝรั่งเศสอีกครั้ง ตามความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (Accord de rėglement Franco-Siamois) พ.ศ. 2489[6] หรือรู้จักในชื่ออนุสัญญากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เนื่องจาประเทศญี่ปุ่นตกเป็นผู้แพ้สงคราม และไทยที่มีสถานะเป็นกลางจากการปฏิบัติงานของเสรีไทย หากจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติจะต้องทำตามข้อตกลงดังกล่าว[7] ทำให้พรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชากลับสู่สภาพเดิมตามที่เคยทำอนุสัญญาไว้กับประเทศฝรั่งเศสอีกครั้ง[4]
การปักปันเขตแดน
จากสนธิสัญญาดังกล่าว ปัจจุบันรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission) เพื่อเป็นกลไกในการหารือการปักปันเขตแดนซึ่งขณะนี้ยังคงดำเนินการอยู่เนื่องจากแนวเขตแดนยังไม่ได้รับการปักปันอย่างชัดเจนในหลายพื้นที่[8]
ความขัดแย้ง
หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2496 ได้มีปัญหาระหว่างพรมแดนไทยกับกัมพูชาหลายครั้ง อาทิ
ปราสาทพระวิหาร
คดีปราสาทพระวิหาร ที่กัมพูชากล่าวหาว่าประเทศไทยครอบครองสิทธิเหนือบริเวณปราสาทพระวิหารโดยมิชอบ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก และมีผลการตัดสินในปี พ.ศ. 2505 ว่า
"...ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตกัมพูชา ไทยมีพันธกรณีต้องถอนทหารหรือตำรวจที่ประจำอยู่ที่นั่น และให้คืนวัตถุที่นำออกจากปราสาทตั้งแต่ปี 2497 แก่กัมพูชา..."
โดยฝ่ายไทยได้ประท้วงและสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต ทำให้เกิดการประทะกันตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ด้วยกำลังทหารในช่วงปี พ.ศ. 2551 ส่งผลมาถึงการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารอีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 โดยศาลโลกได้ตัดสินยืนตามคำสั่งเดิมเฉพาะตัวปราสาท ไม่รับการตีความพื้นที่พรมแดนโดยรอบปราสาท รวมถึงได้สั่งให้ถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราวโดยรอบปราสาท
เกาะกูด
พื้นที่เกาะกูด เป็นพื้นที่ที่ถูกกล่าวอ้างถึงการทับซ้อนระหว่างพรมแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนกันทางทะเลมากกว่า 2.6 หมื่นตารางกิโลเมตร[9] โดยส่งผลถึงการจัดการสัมปทานแหล่งพลังงานในพื้นที่ทางทะเลดังกล่าว
ฝั่งไทยยืนยันว่าเกาะกูดไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นพื้นที่ของประเทศไทย ตามสนธิสัญญาในปี พ.ศ. 2450[10] ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมที่ปกครองประเทศกัมพูชาในขณะนั้นมีการระบุถึงการยกเกาะกูดให้กับประเทศไทย เพื่อป้องกันปัญหาการอ้างสิทธิในอนาคต[9] มีข้อความว่า
"...รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราดกับเกาะทั้งหลายซึ่ง อยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม..."[10]
แนวพรมแดน
แนวพรมแดนไทย–กัมพูชาตามที่ได้มีการทำอนุสัญญากับฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2447 และปี 2450[1] ประกอบไปด้วย
- แนวเขตเริ่มต้นจากสามเหลี่ยมมรกต ที่บรรจบระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว มาตามแนวเส้นสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก ความยาว 364 กิโลเมตร ตามแนวจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์[3]
- แนวเขตแดนตามลำน้ำต่าง ๆ ที่แบ่งกั้นระหว่างประเทศ ความยาว 216 กิโลเมตร ตามแนวจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดจันทบุรี[3]
- แนวเขตแดนตามแนวเส้นตรง ความยาว 57 กิโลเมตร ตามแนวจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดจันทบุรี[3]
- แนวเขตแดนตามแนวเส้นสันปันน้ำของเทือกเขาบรรทัด ความยาว 160 กิโลเมตร ตามแนวจังหวัดตราด[3]
- แนวเขตแดนตามแนวเส้นตรง ความยาว 1 กิโลเมตร ตามแนวจังหวัดตราด[3] และต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตเศรษฐกิจจำเพาะในอ่าวไทย[11]
ปัจจุบันแนวพรมแดนไทย–กัมพูชายังคงอยู่ในระหว่างกระบวนการปักปันเขตแดนในหลายพื้นที่ ผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission)[12]
เขตการปกครองที่ติดพรมแดน
จุดผ่านแดน
จุดผ่านแดนถาวร
ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีจุดผ่านแดนถาวรจำนวน 7 แห่ง[13] ในพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบไปด้วย
จุดผ่านแดนชั่วคราว
ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางต่าง ๆ อาทิ การนำเข้าและส่งออกสัมปทานไม้ในอดีต[14] โดยปัจจุบันมีไว้สำหรับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่จะใช้เป็นจุดผ่านแดนถาวรในอนาคต[13]
จุดผ่านแดนชั่วคราวล่าสุดที่เปิดทำการคือ จุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานหนองเอี่ยน - สตึงบท[15]
จุดผ่อนปรนการค้า
จุดผ่อนปรนการค้า เป็นจุดผ่อนปรนที่ได้มีการประกาศโดยกระทรวงมหาดไทยเพื่ออนุญาตให้ทำการค้าขายระหว่างประเทศได้ ปัจจุบันมีอยู่ 9 แห่ง[13] ในพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบไปด้วย
ลำดับ
|
ประเทศไทย
|
ประเทศกัมพูชา
|
หมายเหตุ
|
จังหวัด
|
จุดผ่านแดน
|
จังหวัด
|
จุดผ่านแดน
|
เวลาทำการ[13]
|
1
|
อุบลราชธานี
|
จุดผ่อนปรนช่องอานม้า
|
พระวิหาร
|
บ้านสะเตียลกวาง อำเภอจอมกระสาน
|
09.00 - 15.00
|
|
2
|
บุรีรัมย์
|
จุดผ่อนปรนช่องสายตะกู
|
อุดรมีชัย
|
บ้านจุ๊บโกกี, อำเภอบันเตียอำปึล
|
08.00 - 15.00
|
|
3
|
สระแก้ว
|
จุดผ่อนปรนบ้านตาพระยา
|
บันเตียเมียนเจย
|
บ้านบึงตะกวน
|
09.00 - 17.00
|
|
4
|
จุดผ่อนปรนบ้านหนองปรือ
|
มาลัย
|
|
5
|
จันทบุรี
|
จุดผ่อนปรนบ้านซับตารี
|
พระตะบอง
|
บ้านโอลำดวน อำเภอพนมปรึก
|
06.00 - 18.00
|
|
6
|
จุดผ่อนปรนบ้านสวนสม
|
บ้านโอลั๊วะ อำเภอพนมปรึก
|
|
7
|
จุดผ่อนปรนบ้านบึงชนังล่าง
|
บ้านสวายเลง อำเภอกร็อมเรียง
|
|
8
|
ตราด
|
จุดผ่อนปรนบ้านหมื่นด่าน
|
บ้านศาลเจ้า อำเภอสัมลูด
|
08.30 - 17.00
|
|
9
|
จุดผ่อนปรนบ้านมะม่วง
|
บ้านฉอระกา, อำเภอสำรูด
|
06.00 - 18.00
|
|
จุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว
จุดผ่อนปรนพิเศษเพื่อการท่องเที่ยว มีอยู่เพียงแห่งเดียวสำหรับพรมแดนระหว่างไทยและกัมพูชา[13]
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 "ข้อมูลเขตแดน | กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย". treaties.mfa.go.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-05-19. สืบค้นเมื่อ 2022-06-18.
- ↑ "Thailand", The World Factbook (ภาษาอังกฤษ), Central Intelligence Agency, 2022-06-06, สืบค้นเมื่อ 2022-06-18
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 "เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน - สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ". www.saranukromthai.or.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-12-08. สืบค้นเมื่อ 2022-06-18.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 "พระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณ "รอยสยาม" และ "สามจังหวัด"กัมพูชา". สารคดี (ภาษาอังกฤษ). 2010-10-22.
- ↑ "การเสียดินแดน ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5". www.baanjomyut.com.
- ↑ "Franco-Thai settlement treaty of 1946", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2022-01-14, สืบค้นเมื่อ 2022-06-18
- ↑ United Nations Treaty Series, vol. 344, pp. 59-89.
- ↑ "ราชอาณาจักรกัมพูชา". กระทรวงการต่างประเทศ.
- ↑ 9.0 9.1 ""ค้นความจริงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา"". คมชัดลึกออนไลน์. 2009-09-25.
- ↑ 10.0 10.1 "เขตทับซ้อนทางทะเลไทยและกัมพูชา". www.tcijthai.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "อาณาเขตทางทะเล". www.mkh.in.th.
- ↑ ""พล.อ.ประวิตร" ประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ยกระดับความสัมพันธ์". สำนักข่าวไทย อสมท. 2020-05-28.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 "ข้อมูลช่องทางผ่านแดนและความตกลงเรื่องการสัญจรข้ามแดน - ตารางจุดผ่านแดนทั่วประเทศ 19 มี.ค. 2561 (ด้านกัมพูชา)". www.fad.moi.go.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-06-06. สืบค้นเมื่อ 2022-06-18.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การผ่อนผันเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อให้บริษัทปลูกสร้างสวนป่าและอุตสาหกรรมไม้ไทย - ญี่ปุ่น จำกัด นำสินค้าไม้เข้ามาในราชอาณาจักรและออกไปปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสในกัมพูชา. เล่ม 108 ตอนที่ 151, วันที่ 29 สิงหาคม 2534, หน้า 8389-8390
- ↑ "การขอเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำพรมโหด". ryt9.com.
|
---|
พรมแดนธรรมชาติ | | |
---|
ด่านพรมแดนถาวร | |
---|
จุดผ่อนปรน | |
---|
อื่น ๆ | |
---|
|