จิมมี ฮอฟฟา
ฮอฟฟ่าในปี ค.ศ. 1965
เกิด เจมส์ ริดเดิล ฮอฟฟ่า 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913(1913-02-14 ) บราซิล รัฐอินดีแอนา สหรัฐ สาบสูญ 30 กรกฎาคม 1975 (อายุ 62) บลูมฟิลด์ มิชิแกน สหรัฐ สถานะ สูญหาย มาแล้ว 49 ปี 5 เดือน 13 วัน; ถูกประกาศว่าเสียชีวิตเมื่อ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1982(1982-07-30) (69 ปี)อาชีพ สหภาพแรงงาน คู่สมรส โจเซฟิน พอสซีแวก (สมรส 1936) บุตร บาบาร่า แอนน์ ครานเซอร์ ,เจมส์ พี ฮอฟฟ่า พิพากษาลงโทษ ฐานพยายามติดสินบนและปลอมแปลงคณะลูกขุน(1964) การสมรู้ร่วมคิด, การฉ้อโกงทางจดหมายและทางสาย (1964) บทลงโทษ รวมโทษจำคุก 13 ปี (แปดปีสำหรับการติดสินบน, ห้าปีสำหรับการฉ้อโกง; 1967)
เจมส์ ริดเดิล ฮอฟฟ่า (เกิด 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2456, สูญหาย 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2518, ประกาศว่าเสียชีวิต 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2525) เป็นผู้นำสหภาพแรงงาน ชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสหภาพภราดรภาพผู้ขับรถบรรทุก (IBT) ตั้งแต่ปี 1957 ถึง 1971
ตั้งแต่อายุยังน้อย ฮอฟฟาเป็นนักกิจกรรมและกลายเป็นบุคคลสำคัญระดับท้องถิ่นร่วมกับ IBT ตั้งแต่อายุราว 20 ปี โดยปี ค.ศ. 1952 เขาเป็นรองประธานระดับชาติของ IBT และขึ้นเป็นประธานระหว่าง ค.ศ. 1957 และ 1971 เขาบรรลุข้อตกลงอัตรารายได้ของกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกได้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 ด้วย ข้อตกลงการขนส่งสินค้าหลักแห่งชาติ เขามีบทบาทสำคัญที่ทำให้สหภาพมีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในสหรัฐอเมริกากว่า 2.3 ล้านคน ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งผู้นำ
ฮอฟฟาเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ อาชญากรรม ในช่วงปีแรกของการทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกจนกระทั่งเขาหายตัวไปในปี ค.ศ. 1975 เขาถูกตัดสินว่ากระทำผิด โดยคณะลูกขุน ในข้อหาพยายามติดสินบน และ ฉ้อโกง ในปี ค.ศ. 1964 เขาถูกตัดสินให้จำคุกในปี ค.ศ. 1967 เป็นเวลา 13 ปี ในกลางปี ค.ศ. 1971 เขาลาออกจากตำแหน่งประธานสหภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงขออภัยโทษ กับ ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน และได้รับการปล่อยตัวในปีให้หลัง แม้จะถูกกีดกันการทำกิจกรรมร่วมกับสหภาพจนปี ค.ศ. 1980 ฮอฟฟาหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนและกลับสู่การเป็นผู้นำของ IBT แต่ก็ไม่สำเร็จ
ฮอฟฟาหายสาบสูญเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1975 และไม่มีการพบเห็นอีกเลย เขาถูกประกาศว่าเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. 1982[ 1]
ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว
ฮอฟฟาเกิดใน บราซิล รัฐอินดีแอนา เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913 ในครอบครัวชาวอินดีแอนา จอห์น และ วิโอล่า (เนย์ ริดเดิ้ล) ฮอฟฟา พ่อของเขาซึ่งเป็นเชื้อสายเยอรมัน ในตอนนี้ถูกเรียกว่าตระกูล เพนซิลเวเนียดัตช์[ 2] เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1920 จากโรคปอด เมื่อฮอฟฟาอายุเจ็ดขวบ[ 3] แม่ของฮอฟฟาที่เป็นชาวไอริชอเมริกัน[ 4] ได้ย้ายครอบครัวไปที่ดีทรอยต์ ในปี ค.ศ. 1924 ซึ่งเป็นที่อยู่ของฮอฟฟาใช้อาศัยตลอดชีวิต ฮอฟฟาออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 14 และเริ่มทำงานด้วยตนเอง เช่น งานทาสีบ้าน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขา
ฮอฟฟาแต่งงานกับโจเซฟิน พอสซีวัก พนักงานซักรีดชาวดีทรอยต์อายุ 18 ปี เชื้อสายโปแลนด์ ในเมืองโบว์ลิงกรีน รัฐโอไฮโอ เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2480[ 5] ทั้งคู่พบกันเมื่อหกเดือนก่อน ในช่วงการประท้วงหยุดงานของคนงานซักรีด[ 6] [ 7] พวกเขามีลูกสองคน ลูกสาวคนหนึ่งชื่อ บาร์บารา แอน แครนเซอร์ และลูกชายชื่อ เจมส์ พี. ฮอฟฟา ครอบครัวฮอฟฟาสใช้เงิน 6,800 ดอลลาร์ ซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองดีทรอยต์ในปี พ.ศ. 2482[ 8] [ 9] ต่อมาครอบครัวฮอฟฟาก็ได้เป็นเจ้าของกระท่อมฤดูร้อนริมทะเลสาบในเมืองโอไรออนรัฐมิชิแกน ทางตอนเหนือของดีทรอยต์[ 9]
ก่อนทำงานกิจกรรมสหภาพแรงงาน
ฮอฟฟาเริ่มทำงานในองค์กรระดับรากหญ้าตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ผ่านงานในเครือข่ายร้านขายของชำ ที่มีปัญหาจ่ายค่าจ้างต่ำกว่ามาตรฐาน สภาพการทำงานที่ย่ำแย่ และความมั่นคงในการทำงานต่ำ เป็นเหตุให้กลุ่มคนงานไม่พอใจและพยายามจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อแบ่งส่วนของตนให้ดีขึ้น แม้ว่าฮอฟฟาจะอายุยังน้อย แต่ความกล้าหาญและความสามารถในการเข้าถึงปัญหาได้สร้างความประทับใจให้กับเพื่อนร่วมงาน และเขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำกลุ่ม
ต่อมาในปีพ.ศ. 2475 หลังจากปฏิเสธการร่วมงานหัวหน้ากะที่ปฏิบัติไม่เหมาะสม ฮอฟฟาจึงได้ออกจากร้านขายของชำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเริ่มเข้าสู่สหภาพแรงงานของเขา จากนั้นเขาได้รับเชิญให้เป็นผู้จัดงานกับ Local 299 ของกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกในเมืองดีทรอยต์[ 10]
ความก้าวหน้าในกลุ่มผู้ขับรถบรรทุก
กลุ่มผู้ขับรถบรรทุกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2446 โดยขณะนั้นในปี 2476 มีสมาชิก 75,000 คน ฮอฟฟาได้ร่วมกับผู้นำสหภาพแรงงานคนอื่น ๆ ทำการรวมกลุ่มสหภาพแรงงานขับรถบรรทุกในระดับท้องถิ่นให้กลายเป็นระดับภูมิภาคและถึงระดับชาติภายในเวลาแค่สองทศวรรษเท่านั้น โดยทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 170,000 คนภายในปี 2479 และอีก 3 ปีต่อมา ก็มีสมาชิกถึง 420,000 คน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและในช่วงหลังสงคราม จำนวนสมาชิกก็มีถึงหนึ่งล้านคนภายในปี พ.ศ. 2494[ 11]
กลุ่มผู้ขับรถบรรทุกโดยการนำของฮอฟฟาได้จัดการคนขับรถบรรทุกและพนักงานคลังสินค้าในมิดเวสต์และทั่วประเทศ ฮอฟฟามีบทบาทสำคัญในการใช้ "การนัดหยุดงานกุ๊กกิ๊ก (quickie strikes)" อย่างมีประสิทธิภาพ มีการใช้การนัดหยุดงานจากบริษัทข้างเคียงเพื่อกดดันเสริม และอื่น ๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของสหภาพแรงงานในบริษัท จากนั้นได้เข้าไปจัดระเบียบคนงาน แก้ไขสัญญาลูกจ้างให้ดีขึ้นในบริษัทต่าง ๆ ฮอฟฟาใช้เวลาหลายปีตั้งแต่ช่วงปี 2473 ทำให้กลุ่มผู้ขับรถบรรทุกก้าวไปสู่ตำแหน่งที่เป็นหนึ่งในสหภาพแรงงานที่มีอำนาจมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา[ 12]
สหภาพแรงงานรถบรรทุกในยุคนั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากองค์กรอาชญากรรม เพื่อให้ฮอฟฟาสามารถใช้ประโยชน์ในการขยายสหภาพแรงงานรถบรรทุก เขาต้องจัดหาที่พักและให้การสนับสนุนพวกอันธพาลจำนวนมาก โดยเริ่มต้นในพื้นที่ดีทรอยต์ เมื่อสหภาพแรงงานเติบโตขึ้น เหล่าอิทธิพลของอาชญากรที่เกี่ยวข้องกับ IBT เพิ่มขึ้นไปด้วย[ 13]
การขึ้นสู่อำนาจ
ฮอฟฟาทำงานปกป้องกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกจากการจู่โจมโดยสหภาพแรงงานอื่นๆ รวมถึงสภาองค์กรอุตสาหกรรม และเขาได้ขยายอิทธิพลของกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกในมิดเวสต์ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1930 จนถึงปลายทศวรรษที่ 1940 แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกมาก่อน แต่เขาก็ได้เป็นประธานของ Local 299 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489[ 14] จากนั้นเขาก็ขึ้นเป็นผู้นำในการรวมกลุ่มต่าง ๆ ของพื้นที่ดีทรอยต์ และก้าวขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้ขับรถบรรทุกมิชิแกน ในขณะเดียวกัน ฮอฟฟาได้รับการผ่อนผันจากการรับราชการทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยประสบความสำเร็จในการพิสูจน์ว่าทักษะการเป็นผู้นำสหภาพแรงงานของเขามีคุณค่าต่อประเทศชาติ โดยทำให้การขนส่งสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่นในการสงคราม
ในการประชุม IBT ในปี พ.ศ. 2495 ในลอสแองเจลิส ฮอฟฟาได้รับเลือกให้เป็นรองประธานระดับชาติโดยเดฟ เบค ผู้เป็นประธานคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากแดเนียล เจ. โทบิน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานมาตั้งแต่ปี 2450 ฮอฟฟาทำหน้าที่ปราบการจลาจลภายในที่ต่อต้านโทบิน มีการให้การสนับสนุนระดับภูมิภาคแก่เบ็คในการประชุม เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เบ็คจึงแต่งตั้งฮอฟฟาเป็นรองประธาน[ 15] [ 12]
IBT ย้ายสำนักงานใหญ่จากอินเดียแนโพลิส ไปยังวอชิงตัน ดี.ซี. เปิดอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ในเมืองหลวงในปี 2498 ในขณะเดียวกันก็มีการขยายพนักงานของ IBT โดยจ้างทนายความจำนวนมากเพื่อช่วยในการเจรจาสัญญา หลังจากฮอฟฟาได้รับเลือกเป็นรองประธานาในปี พ.ศ. 2495 จากภาระหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้นในการเดินทางไปยังวอชิงตันหรือทั่วประเทศ ฮอฟฟาจึงเริ่มห่างหายจากเมืองดีทรอยต์[ 16] ทนายความส่วนตัวของฮอฟฟาคือบิล บูฟาลิโน[ 17]
เป็นประธานกลุ่มผู้ขับรถบรรทุก
ฮอฟฟาเข้ารับตำแหน่งประธานของกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกในปี พ.ศ. 2500 ในการประชุมที่ไมอามีบีช รัฐฟลอริดา [ 18] เบ็ค ประธานคนก่อนหน้าได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมาธิการคัดเลือกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมในด้านแรงงานและการจัดการ ที่นำโดยจอห์น แอล. แมคเคลแลนในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2500 เบ็คใช้สิทธิ์ไม่ตอบคำถามกับศาลตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 5 ถึง 140 ครั้ง เบ็คตกเป็นผู้ต้องหาขณะมีการประชุมประธาน IBT และถูกตัดสินให้จำคุกในการพิจารณาคดีในข้อหาฉ้อโกงที่จัดขึ้นในซีแอตเทิล [ 19]
กลุ่มผู้ขับรถบรรทุกถูกขับออกจาก AFL-CIO
การประชุม AFL-CIO ในปี 1957 ซึ่งจัดขึ้นที่แอตแลนติกซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์ ลงมติเกือบ 5 ต่อ 1 เสียงเพื่อขับไล่ IBT ออกจาก AFL-CIO ขณะนั้นรองประธานอย่างวอลเตอร์ รอยเธอร์เป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อขับไล่ IBT ในข้อหาทุจริตของฮอฟฟา ประธาน จอร์จ มีนี่ ได้กล่าวสุนทรพจน์เรียกร้องให้มีการถอด IBT ออกและระบุว่าเขาสามารถกลับมาร่วมงานกับ IBT ได้หากฮอฟฟาออกจากตำแหน่ง ขณะรอการตอบกลับ ฮอฟฟาได้ให้คำตอบผ่านสื่อว่า "เราจะได้เห็นกัน" ในเวลานั้น IBT สร้างเงินกว่า 750,000 ดอลลาร์ต่อปีให้กับ AFL-CIO[ 20] [ 21]
ข้อตกลงการขนส่งสินค้าหลักแห่งชาติ
หลังจากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในปี พ.ศ. 2504 ฮอฟฟาจึงได้ทำงานเพื่อขยายสหภาพแรงงาน[ 22] ในปี พ.ศ. 2507 เขาประสบความสำเร็จในการนำคนขับรถบรรทุกบนถนนเกือบทั้งหมดในอเมริกาเหนือให้อยู่ภายใต้ข้อตกลงการขนส่งสินค้าหลักแห่งชาติเพียงฉบับเดียว ซึ่งอาจเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของกิจกรรมสหภาพแรงงาน[ 23] จากนั้นฮอฟฟาก็พยายามดึงพนักงานสายการบินและพนักงานขนส่งอื่น ๆ เข้าสหภาพ แต่ก็ไม่สำเร็จเท่าที่ควร จากนั้นเขาต้องเผชิญกับความตึงเครียดส่วนตัวอย่างใหญ่หลวงอย่างการถูกสอบสวน ขึ้นศาล ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน หรือถูกคุมขังเกือบตลอดช่วงทศวรรษ 1960[ 12]
ฮอฟฟาได้รับเลือกอีกครั้งโดยไม่มีการคัดค้านต่อในสมัยที่ 3 ในฐานะประธาน IBT แม้ว่าจะถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาปลอมแปลงเอกสารโดยคณะลูกขุนและฉ้อโกงทางจดหมายในคำตัดสินของศาลซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ ผู้แทนในไมอามีบีชได้เตรียม แฟรงก์ ฟิตซ์ซิมมอนส์ เป็นรองประธานคนที่ 1 เผื่อเป็นประธานหากฮอฟฟาต้องรับโทษจำคุก[ 24]
ข้อหาทางอาญา
ฮอฟฟา (ขวา) และเบอร์นาร์ด สปินเดลหลังการขึ้นศาลในปี พ.ศ. 2500 ซึ่งทั้งคู่ให้การปฏิเสธข้อหาดักฟัง
ฮอฟฟาเผชิญกับการสืบสวนคดีอาชญากรรมครั้งสำคัญครั้งแรกในปี พ.ศ. 2500 อันเป็นผลมาจากคณะกรรมการแมคเคลแลน เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2500 ฮอฟฟาถูกจับกุมในข้อหาพยายามติดสินบนผู้ช่วยคณะกรรมการคัดเลือก[ 2] ฮอฟฟาปฏิเสธข้อกล่าวหา (และพ้นผิดในเวลาต่อมา) แต่การจับกุมดังกล่าวทำให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม และมีการจับกุมและตั้งข้อกล่าวหาอีกในสัปดาห์ต่อมา[ 5] [ 7] เมื่อจอห์น เอฟ. เคนเนดีได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2503 เขาแต่งตั้งโรเบิร์ตน้องชายของเขาเป็นอัยการสูงสุด โรเบิร์ต เคนเนดีเคยผิดหวังในความพยายามที่จะตัดสินฮอฟฟาก่อนหน้านี้ ขณะที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับคณะอนุกรรมการแมคเคลแลน ในฐานะอัยการสูงสุดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เคนเนดีติดตามกลุ่มอาชญากรอย่างรุนแรงด้วยกลุ่มอัยการและผู้สอบสวนที่เรียกว่า "จับฮอฟฟา"[ 10] [ 11]
คำพิพากษาจำคุก
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2506 ฮอฟฟาถูกฟ้องในข้อหาแทรกแซงคณะลูกขุนรัฐเทนเนสซี โดยตั้งข้อหาพยายามติดสินบนคณะลูกขุนใหญ่ระหว่างการพิจารณาคดีสมรู้ร่วมคิดในแนชวิลล์ พ.ศ. 2505 ฮอฟฟาถูกตัดสินเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2507 ให้จำคุกแปดปีและปรับ 10,000 ดอลลาร์[ 13] ในระหว่างการประกันตัวระหว่างการยื่นอุทธรณ์ ฮอฟฟาถูกตัดสินว่ามีความผิดในการพิจารณาคดีครั้งที่สองที่จัดขึ้นในชิคาโกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 ในข้อหาสมรู้ร่วมคิด 1 กระทง และอีก 3 กระทงในการฉ้อโกงทางไปรษณีย์และทางโทรศัพท์สำหรับการใช้กองทุนบำเหน็จบำนาญของกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกอย่างไม่เหมาะสม และถูกตัดสินจำคุกห้าปี
การหายตัวไป
เค้าลาง
เมื่อฮอฟฟาเริ่มวางแผนเข้าสู่การเป็นประธานสหภาพอีกครั้ง เหล่ามาเฟียก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้าน หนึ่งในนั้นคือ แอนโทนี โปรเวนซาโน ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำท้องถิ่นของเมือง Teamsters ในรัฐนิวเจอร์ซีย์และเป็นรองประธานสหภาพแห่งชาติในช่วงวาระที่สอง ในสมัยที่ฮอฟฟาประธาน โพรเวนซาโนเคยเป็นเพื่อนกับฮอฟฟาแต่กลายเป็นศัตรูกันหลังจากมีรายงานความบาดหมางของทั้งคู่เมื่ออยู่ในคุกของรัฐบาลกลางที่ลูอิสเบิร์ก เพนซิลเวเนีย ในช่วงทศวรรษที่ 1960
ในปี พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2517 ฮอฟฟาขอให้โพรเวนซาโนสนับสนุนเพื่อกลับสู่ตำแหน่งเดิม แต่โพรเวนซาโนปฏิเสธและขู่ฮอฟฟาว่าจะมีการลักพาตัวหลานของเขา โพรเวนซาโนนั้นถือเป็นผู้นำครอบครัวของอาชญากรรมอย่าง Genovese ในนครนิวยอร์ก มีฝ่ายตรงข้ามสหภาพแรงงานของโพรเวนซาโนอย่างน้อยสองคนถูกสังหาร และผู้ที่พูดต่อต้านเขาถูกทำร้ายอีกด้วย
บุคคลสำคัญของมาเฟียรายอื่นที่เกี่ยวข้องอีก ได้แก่ แอนโธนี จิอาคาโลน ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญของมาเฟียดีทรอยต์ และวีโต้ น้องชายของเขา ผู้ที่เอฟบีไอเชื่อว่าพวกเขาวางตัวเป็น "ผู้ไกล่เกลี่ย" ระหว่างฮอฟฟาและโพรเวนซาโน พี่น้องได้ไปเยี่ยมบ้านของฮอฟฟาที่ทะเลสาบโอไรออนสามครั้ง และครั้งหนึ่งไปที่สำนักงานกฎหมายอาคารการ์เดียน จุดประสงค์ของพวกเขาในการพบกับฮอฟฟาคือการจัดตั้ง "การประชุมสันติภาพ" ระหว่างโพรเวนซาโนและฮอฟฟา เจมส์ ลูกชายของฮอฟฟากล่าวว่า "พ่อกดดันอย่างหนักเพื่อให้กลับเข้ารับตำแหน่ง ผมยิ่งกลัวว่าฝูงชนจะทำอะไรกับเรื่องนี้" เจมส์เชื่อมั่นว่า "การประชุมสันติภาพ" เป็นข้ออ้างในการ "ปลุกพ่อ" ของจิอาคาโลนให้โจมตี เนื่องจากฮอฟฟาไม่สบายใจมากขึ้นทุกครั้งที่พี่น้องจิอาคาโลนมาถึง
เหตุการณ์วันที่ 30 กรกฎาคม
ฮอฟฟาหายตัวไปในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 หลังจากที่เขาออกไปประชุมกับโพรเวนซาโนและจิอาคาโลน การประชุมจะเกิดขึ้นในเวลา 14.00 น. ที่ร้านอาหาร มาคัสเรดฟ็อกซ์ ใน Bloomfield Township ชานเมืองดีทรอยต์ สถานที่นี้เป็นที่รู้จักของฮอฟฟา เนื่องจากเคยเป็นสถานที่รับจัดงานแต่งงานของเจมส์ ลูกชายของเขา ฮอฟฟาเขียนชื่อย่อของจิอาคาโลนและเวลาและสถานที่ของการประชุมไว้ในปฏิทินสำนักงานของเขาว่า "TG—14:00 น.—เรดฟ็อกซ์"
ฮอฟฟาออกจากบ้านเวลา 13:15 น. ก่อนไปที่ร้านอาหาร เขาแวะที่สำนักงานของเพื่อนสนิทของเขา ลูอิส ลินโต ซึ่งเป็นอดีตประธานของ Teamsters Local 614 ซึ่งปัจจุบันให้บริการรถลีมูซีน ลินโต และ ฮอฟฟาเป็นศัตรูกันในช่วงต้นอาชีพของพวกเขา แต่ในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนกัน เมื่อฮอฟฟาออกจากคุก ลินโตก็กลายเป็นเลขาที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการของฮอฟฟาด้วย และเคยจัดการพบปะอาหารค่ำระหว่างฮอฟฟาและพี่น้องจาคาโลนในวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งพวกเขาแจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับการประชุมในวันที่ 30 กรกฎาคม ลินโตออกไปรับประทานอาหารกลางวัน เมื่อฮอฟฟาแวะมา ฮอฟฟาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บางคนที่อยู่ตรงนั้นและฝากข้อความถึงลินโตก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปที่ร้านมาคัสเรดฟ็อกซ์
ระหว่าง 14:15 น. ถึง 14:30 น. ฮอฟฟาที่มีอาการหงุดหงิดได้โทรหาภรรยาของเขาจากโทรศัพท์สาธารณะที่เสาด้านหน้าร้าน Damman Hardware ซึ่งอยู่ด้านหลังร้าน มาคัสเรดฟ็อกซ์ และบ่นว่าจิอาคาโลนไม่ปรากฏตัวและเขาโดนเบี้ยวนัด ภรรยาของเขาบอกเขาว่าเธอไม่เคยได้ยินจากใคร เขาบอกเธอว่าเขาจะกลับบ้านเวลา 16.00 น. เพื่อย่างสเต็กเป็นอาหารเย็น พยานหลายคนเห็นฮอฟฟายืนอยู่ข้างรถของเขาและเดินไปที่ลานจอดรถของร้านอาหาร ชายสองคนเห็นฮอฟฟาและจำเขาได้ และหยุดสนทนากับเขาชั่วครู่และเข้าจับมือเขา ฮอฟฟายังโทรหาลินโต ซึ่งเขาบ่นอีกครั้งว่าคนเหล่านี้มาสาย ลินโตให้เวลาเป็น 15:30 น. แต่ เอฟบีไอสงสัยว่าเป็นเวลาก่อนหน้านั้น โดยพิจารณาจากเวลาของการโทรศัพท์อื่น ๆ จากสำนักงานของ ลินโตในช่วงเวลานั้น เอฟบีไอประเมินว่าฮอฟฟาออกจากสถานที่โดยไม่มีการต่อสู้ในช่วงเวลาประมาณ 14:45–14:50 น. พยานคนหนึ่งรายงานว่าเห็นฮอฟฟาอยู่ท้ายรถ "ลินคอล์นหรือเมอร์คิวรี" สีแดงเลือดหมูกับคนอีกสามคน
การสืบสวน
เวลา 7.00 น. ของวันต่อมา ภรรยาของฮอฟฟาโทรหาลูกชายและลูกสาวของเธอเพื่อบอกว่าพ่อของพวกเขาไม่กลับบ้าน เมื่อเวลา 07.20 น. ลินโตไปที่ร้านมาคัสเรดฟ็อกซ์ และพบรถที่ไม่ได้ล็อคของฮอฟฟา่ในลานจอดรถ แต่ไม่มีวี่แววของเจ้าตัวและไม่บ่งชี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาโทรหาตำรวจซึ่งมาถึงที่เกิดเหตุในภายหลัง มีการนำตำรวจรัฐมิชิแกนเข้ามา และเอฟบีไอได้รับการแจ้งเตือน เวลา 18.00 น. เจมส์ ลูกชายของฮอฟฟาได้ยื่นรายงานคนหาย[ 25] ครอบครัวฮอฟฟาเสนอรางวัล 200,000 ดอลลาร์สำหรับข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการหายตัวไป[ 26]
หลักฐานทางกายภาพชิ้นหลักที่ได้รับในการสืบสวนคือรถเมอร์คิวรี่ มาร์ควิส บราวแฮม ปี 1975 สีแดงเลือดหมู ซึ่งเป็นของโจเซฟ ลูกชายของ แอนโทนี่ จิอาคาโลน รถคันนี้ถูก ชาร์ลส์ "ชัคกี้" โอไบรอัน ยืมไปก่อนหน้าในวันนั้นเพื่อส่งปลา[ 27] โอไบรอันเป็นลูกชายบุญธรรมของฮอฟฟา แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะแย่ลงในช่วงหลายปีก่อนที่ฮอฟฟาจะหายตัวไป[ 28] [ 29] ผู้สืบสวนและครอบครัวของฮอฟฟาสงสัยว่าโอไบรอันมีส่วนในการหายตัวไปของฮอฟฟา[ 30] ในวันที่ 21 สิงหาคม สุนัขตำรวจระบุกลิ่นของฮอฟฟาในรถได้[ 31]
จิอาคาโลนและโพรเวนซาโนปฏิเสธว่าไม่ได้นัดพบกับฮอฟฟา ตำรวจพบว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ใกล้ร้านอาหารในบ่ายวันนั้น[ 32] [ 33] โพรเวนซาโนบอกผู้สืบสวนว่าเขากำลังเล่นไพ่กับสตีเฟน อันเดรตต้า น้องชายของ โทมัส อันเดรตต้า ในเมืองยูเนี่ยน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นวันที่ฮอฟฟาหายตัวไป แม้จะมีการเฝ้าระวังและการดักฟังอย่างกว้างขวาง ผู้สืบสวนพบว่าสมาชิกมาเฟียที่พวกเขาคิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง มักไม่เต็มใจที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการหายตัวไปของฮอฟฟา แม้แต่ในที่ส่วนตัวก็ตาม[ 30] เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ผู้สอบสวนของรัฐบาลกลางในดีทรอยต์ได้กล่าวในศาลซึ่งมีเจมส์ พอล เชอร์ชิลล์เป็นประธานว่า พยานคนหนึ่งระบุว่าชายชาวนิวเจอร์ซีย์สามคนมีส่วนร่วมในการ "ลักพาตัวและสังหารเจมส์ อาร์. ฮอฟฟา" ชายทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทของโพรเวนซาโน ได้แก่ โทมัส อันเดรตต้า, ซัลวาตอเร บริกูกลิโอ และ แกเบรียล บริกูกลิโอ น้องชายของเขา[ 34]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 แฟรงก์ เจ. เคลลีย์ อัยการสูงสุดของรัฐมิชิแกนได้ไปที่เมืองวอเตอร์ฟอร์ดเพื่อดูแลการขุดสำรวจหาศพของฮอฟฟา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ[ 35]
หลังจากการสืบสวนหลายปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลายแห่งรวมถึงเอฟบีไอ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับชะตากรรมของฮอฟฟาและผู้ที่เกี่ยวข้อง โจเซฟินภรรยาของฮอฟฟาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2523 และถูกฝังไว้ที่สุสานไวท์ชาเปล เมมโมเรียล ในเมืองทรอย รัฐมิชิแกน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ฮอฟฟาได้รับการประกาศว่าเสียชีวิตตามกฎหมาย ณ วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 โดยผู้พิพากษาศาลโอกแลนด์ รัฐมิชิแกน นอร์แมน อาร์. บาร์นาร์ด[ 36] [ 37]
ในปี 1989 เคนเนธ วอลตัน เจ้าหน้าที่สำนักงานดีทรอยต์ของเอฟบีไอ บอกกับเดอะดีทรอยต์นิวส์ ว่าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮอฟฟา "ผมรู้สึกสบายใจที่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่จะไม่ดำเนินคดีเพราะเราจะต้องเปิดเผยผู้ให้ข้อมูล แหล่งข่าวที่เป็นความลับ"[ 38] ใน พ.ศ. 2544 เอฟบีไอจับคู่ดีเอ็นเอจากเส้นผมของฮอฟฟาซึ่งนำมาจากแปรงกับเส้นผมที่พบในรถของโจเซฟ จิอาคาโลน[ 30] แต่เป็นไปได้ว่าฮอฟฟานั่งรถไปในวันอื่น[ 33]
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2549 สำนักข่าวดีทรอยต์ฟรีได้เผยแพร่ "Hoffex Memo" ทั้งหมด ซึ่งเป็นรายงาน 56 หน้าซึ่งจัดทำโดยเอฟบีไอสำหรับการบรรยายสรุปคดีในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 ที่สำนักงานใหญ่เอฟบีไอในวอชิงตัน แม้ว่าจะไม่ได้สรุปการหายตัวไปของเขา แต่บันทึกบันทึกนี้เชื่อว่าฮอฟฟาถูกสังหารตามคำสั่งของกลุ่มอาชญากร ซึ่งมองว่าฮอฟฟาที่กำลังหาวิธีฟื้นอำนาจในทีมสเตอร์ เป็นภัยคุกคามต่อการควบคุมกองทุนบำเหน็จบำนาญของสหภาพแรงงาน[ 39] ในปี 2564 การขุดค้นยังคงดำเนินการเป็นระยะๆ ในพื้นที่ดีทรอยต์เพื่อค้นหาร่างของฮอฟฟา แต่ทฤษฎีทั่วไปในหมู่ผู้เชี่ยวชาญก็คือ ศพถูกเผาไปแล้ว[ 30]
การปรากฏในสื่อบันเทิง
ในปี ค.ศ. 1978 ภาพยนตร์เรื่อง FIST , ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน รับบทตัวละครที่อิงจากฮอฟฟ่า[ 40]
ในปี ค.ศ. 1983 ในละครทีวี เลือดอาฆาต ฮอฟฟารับบทโดย โรเบิร์ตเบลค
ในปี ค.ศ. 1992 ภาพยนตร์เรื่อง Hoffa รับบทโดย แจ็ค นิโคลสัน
นักเขียน เจมส์ เอลรอย เขียนนวนิยายประวัติศาสตร์สมมุติในชุด Underworld USA Trilogy ฮอฟฟาเป็นตัวละครรองที่มีความสำคัญที่สุดในนิยายเรื่อง อเมริกันแท็บลอยด์ (1995) และ The Cold Six Thousand (2001)
ปี ค.ศ. 2003 ภาพยนตร์คอมเมดี้/ ดราม่า เรื่อง 7 วันนี้ พี่ขอเป็นพระเจ้า ตัวละครตามชื่อเรื่องได้พลังจากพระเจ้าที่ให้ใช้ร่างกายของฮอฟฟากู้คืนอาชีพนักข่าวของเขา
ในปี ค.ศ. 2019 ภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี เรื่อง คนใหญ่ไอริช ฮอฟฟารับบทโดย อัล ปาชิโน
อ้างอิง
↑ "Jimmy Hoffa's Legacy" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 1994-07-24. ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-11 .
↑ 2.0 2.1 Sloane 1991 , p. 3 harvnb error: no target: CITEREFSloane1991 (help ) . "Hoffa's father was a coal miner and of Pennsylvania Dutch (German) lineage."
↑ Martin, John Bartlow (1959). Jimmy Hoffa's Hot: A Crest special . Fawcett Publications . p. 28. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ May 5, 2016. สืบค้นเมื่อ October 27, 2014 .
↑ "Out of the Jungle" . The New York Times . September 9, 2001. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ December 11, 2019. สืบค้นเมื่อ December 11, 2019 .
↑ 5.0 5.1 "The Blade | Toledo's breaking news, sports, and entertainment watchdog" . The Blade (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-11
↑ 7.0 7.1 "Santa Cruz Sentinel 14 September 1980 — California Digital Newspaper Collection" . cdnc.ucr.edu .
↑ "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-11
↑ 9.0 9.1 "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-11
↑ 10.0 10.1 "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-11
↑ 11.0 11.1 Ralph James and Estelle James (1965). Hoffa and the Teamsters: A Study of Union Power . Van Nostrand. pp. 13–15.
↑ 12.0 12.1 12.2 "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-11
↑ 13.0 13.1 "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-11
↑ "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-14
↑ "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-14
↑ "Guide to James R. Hoffa Documentation Collection, 1954–1976". Special Collections Research Center, Estelle and Melvin Gelman Library, The George Washington University. Archived from the original on 2014-12-09.
↑ Fowler, Glenn (1990-05-15). "William Bufalino Sr., 72, Lawyer For Hoffa and Teamsters' Union" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-17 .
↑ "Hoffa is Elected Teamsters Head; Warns of Battle", New York Times, p. 1 (October 5, 1957)
↑ "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-17
↑ The IBT was readmitted to the AFL-CIO in 1985 but was again disaffiliated from the AFL-CIO in 2005.
↑ "Jimmy Hoffa" , Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-08, สืบค้นเมื่อ 2023-07-17
↑ "Chicago Tribune: Chicago news, sports, weather, entertainment" . Chicago Tribune . 2023-07-16.
↑ Moldea 1978 . pp. 171–172. ISBN 0-441-34010-5 .
↑ "Teamsters Reelect Hoffa President," Chicago Tribune . July 8, 1966. p. 1.
↑ "Hoffa Is Reported Missing" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 1975-08-01. ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ Times, William K. Stevens Special to The New York (1975-08-06). "Investigators in Hoff a Case Trying to Find Foster Son" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ "Jimmy Hoffa 44 Years Later: 'Irishman' Has Story All Wrong" . www.audacy.com (ภาษาอังกฤษ). 2019-07-30.
↑ "Jimmy Hoffa 44 Years Later: 'Irishman' Has Story All Wrong" . www.audacy.com (ภาษาอังกฤษ). 2019-07-30.
↑ Times, Agis Salpukas Special to The New York (1975-08-27). "Hoffa Grand Jury Ready to Start, With 70 Witnesses Scheduled; Foster Son Subpoenaed" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ 30.0 30.1 30.2 30.3 "New clue found in Jimmy Hoffa disappearance - CNN" . web.archive.org . 2012-10-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-01. สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ "Time line of the Hoffa investigation" . Detroit Free Press (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "CNN.com - FBI: Tip on Jimmy Hoffa prompts search - May 17, 2006" . edition.cnn.com . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-02-12. สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ 33.0 33.1 Filkins, Dexter (2001-02-26). "Anthony J. Giacalone, 82, Man Tied to Hoffa Mystery" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ Times, Agis Salpukas Special to The New York (1975-12-05). "HOFFA ABDUCTORS REPORTED NAMED" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ "CRIME: Hunting for Hoffa" . Time (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 1975-10-13. ISSN 0040-781X . สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .
↑ "Harris O. Machus, owner of the Red Fox restaurant, Jimmy Hoffa's vanishing point" . web.archive.org . 2009-01-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-26. สืบค้นเมื่อ 2023-07-07 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ "James R. Hoffa declared legally dead - UPI Archives" . UPI (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Lawman says he knows who killed Jimmy Hoffa - UPI Archives" . UPI (ภาษาอังกฤษ).
↑ www.uncharted.ca (PDF) http://www.uncharted.ca/images/stories/articles/labour/hoffex0616.pdf .
↑ "Screen: 'F.I.S.T.', Drama of Unionism:Stallone Returns" . The New York Times . April 26, 1978. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2021-03-08.
อ่านเพิ่ม
Vendetta: Bobby Kennedy Versus Jimmy Hoffa (2016) by James Neff, excerpt
Jimmy Hoffa's Hot , by John Bartlow Martin, 1959, Fawcett Publications, Greenwich, Conn.
Hoffa and the Underworld , by Paul Jacobs, Dissent , vol. 6, no. 4 (Autumn 1959), pp. 435–445.
The Enemy Within: The McClellan Committee's Crusade Against Jimmy Hoffa and Corrupt Labor Unions , by Robert F. Kennedy , 1960, Harper and Brothers, New York.
The State of the Unions , by Paul Jacobs, 1963, Atheneum, New York.
Tentacles of Power , by Clark Mollenhoff , 1965, World Publishing Company, Cleveland and New York.
Hoffa! Ten Angels Swearing , by Jim Clay, 1965, Beaverdam Books, Beaverdam, Va.
Hoffa and the Teamsters: A Study of Union Power , by Ralph James and Estelle James, 1965, Van Nostrand, New York.
The Ominous Ear , by Bernard Spindel, 1968, Award House, New York.
The Trials of Jimmy Hoffa: An Autobiography , by James R. Hoffa as told to Donald I. Rogers, 1970, Henry Regnery, Chicago, LCCN 72--95364 .
Kennedy Justice , by Victor Navasky , 1971, Atheneum, New York.
The Fall and Rise of Jimmy Hoffa , by Walter Sheridan, 1972, Saturday Review Press, New York.
Hoffa: The Real Story , by James R. Hoffa as told to Oscar Fraley , 1975, Stein and Day, New York, ISBN 978-0-8128-1885-7 .
The Strange Disappearance of Jimmy Hoffa , by Charles Ashman and Rebecca Sobel, 1976, Manor Books, New York.
The Teamsters , by Steven Brill , 1978, Simon & Schuster, New York, ISBN 0-671-22771-8 .
Mafia Kingfish: Carlos Marcello and the Assassination of John F. Kennedy , by John H. Davis (author) , 1989, McGraw-Hill, New York.
Hoffa , by Arthur A. Sloane, 1991, MIT Press, Boston, ISBN 0-262-19309-4 .
Hoffa , by Ken Englade, 1992, Harper Paperbacks, New York, ISBN 0-06-100613-0 (Novelization based on David Mamet 's screenplay of the 1992 film by 20th Century Fox ).
The Hoffa Wars: Teamsters, Rebels, Politicians and the Mob , 1978, first edition, by Dan Moldea , Paddington Press, New York and London, ISBN 0-448-22684-7 .
The Hoffa Wars: Teamsters, Rebels, Politicians and the Mob , 1993, second edition, by Dan Moldea , SPI, New York.
Mob Lawyer , by Frank Ragano and Selwyn Raab , 1994, Charles Scribner's Sons, ISBN 0-684-19568-2 .
All-American Mobster , by Charles Rappleye and Ed Becker, [about John Roselli] Barricade Books, 1995, ISBN 1-56980-027-8 .
Out of the Jungle: Jimmy Hoffa and the Remaking of the American Working Class , by Thaddeus Russell, 2001, Alfred A. Knopf , New York, ISBN 0-375-41157-7 .
Watergate: The Hidden History , by Lamar Waldron, 2012, Counterpoint, Berkeley, California .
I Heard You Paint Houses : Frank "The Irishman" Sheeran and the Inside Story of the Mafia, the Teamsters, and the Last Ride of Jimmy Hoffa [Paperback], by Charles Brandt
แหล่งข้อมูลอื่น
นานาชาติ ประจำชาติ วิชาการ อื่น ๆ