จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (จื๋อโกว๊กหงือ: Bảo Đại, จื๋อโนม: 保大, แปลว่า ผู้เก็บรักษาความยิ่งใหญ่; 22 ตุลาคม ค.ศ. 1913 - 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1997) พระนามเดิมว่า เหงียน ฟุก หวิญ ถวิ ทรงเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 13 และพระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน ตั้งแต่ ค.ศ. 1926 - ค.ศ. 1945 ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอันนัม ในช่วงนี้พระองค์ทรงได้รับความคุ้มครองจากฝรั่งเศสโดยอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2 ใน 3 ของเวียดนามในปัจจุบัน พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1932
ญี่ปุ่นได้ขับไล่ฝรั่งเศสออกจากดินแดนนี้ในปี ค.ศ. 1945 และใช้อำนาจการปกครองผ่านจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ในช่วงนี้พระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "เวียดนาม" อีกครั้ง พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ในเดือนสิงหาคมเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม พระองค์ยังทรงเป็นประมุขรัฐเวียดนามตั้งแต่ ค.ศ. 1949 จนกระทั่ง ค.ศ. 1955 จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับฝรั่งเศสเกินไปและประทับอยู่นอกเวียดนามเป็นเวลานานในรัชสมัยของพระองค์ โง ดิ่ญ เสี่ยม นายกรัฐมนตรีได้ขับไล่พระองค์ในการลงประชามติปลดจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ออกจากการเป็นประมุขแห่งรัฐเมื่อปี ค.ศ. 1955
แม้จะเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางว่าเวียดมินห์หรือโฮจิมินห์เป็นผู้วางรากฐานเอกราชให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่อย่างไรก็ตาม สแตนลีย์ คาร์โนว์ (Stanley Karnow) ได้โต้แย้งในหนังสือ Vietnam - A History ว่า "ไม่มีอะไรที่ช่วยส่งเสริมขบวนการเวียดมินห์ไปมากกว่าการตัดสินพระทัยสละราชสมบัติกลับไปกลับมาของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ด้วยท่าทีของพระองค์ "อาณัติสวรรค์" จึงถูกส่งมอบให้แก่โฮ โดยเขาได้รับความชอบธรรมที่มีอยู่ในองค์จักรพรรดิมาแต่เดิมในสายตาของชาวเวียดนาม, สแตนลีย์ คาร์โนว์"
ช่วงต้นของพระชนม์ชีพ
สมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ประสูติในพระยศเจ้าชายเหงียน ฟุก หวิญ ถวิ (Nguyễn Phúc Vĩnh Thụy, 阮福永瑞) ณ พระราชวังดวาน-จาง-เวียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเมืองต้องห้ามสีม่วง ซึ่งเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น ภายหลังพระองค์ได้เปลี่ยนพระนามเป็น เหงียน หวิญ ถวิ (Nguyễn Vĩnh Thụy) พระราชบิดาของพระองค์คือ สมเด็จพระจักรพรรดิขาย ดิ่ญ แห่งอันนัม พระมารดาของพระองค์เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 ของพระจักรพรรดิคือ เจ้าหญิงตื่อ กุง ผู้ซึ่งได้เปลี่ยนพระนามเป็น ดวาน ฮวี เมื่อพระนางทรงอภิเษกสมรสในปี ค.ศ. 1913 พระองค์ได้ไต่เต้าเลื่อนตำแหน่งต่าง ๆ ในช่วงหลายปีนี้ซึ่งบ่งบอกได้ว่าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระราชสวามี จนกระทั่งพระนางได้เป็นสมเด็จพระพันปีหลวงในปี ค.ศ. 1933 เวียดนามถูกปกครองจากเว้โดยราชวงศ์เหงียนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1802 รัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งได้ควบคุมภูมิภาคนี้ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ได้แบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คือ รัฐอารักขาตังเกี๋ย, รัฐอารักขาอันนัม และอาณานิคมโคชินไชนา ราชวงศ์เหงียน ยังได้ปกครองอันนัมตามปกติ
เมื่อพระชนมายุ 9 พรรษา เจ้าชายเหงียน ฟุก หวิญ ถวิ ถูกส่งไปยังฝรั่งเศส เพื่อศึกษาที่โรงเรียนมัธยมปลายกงดอร์แซ (Lycée Condorcet) และหลังจากนั้นเข้าศึกษาในสถาบันรัฐศึกษาปารีส (Institut d'Études Politiques de Paris) ในปี ค.ศ. 1923 ต่อมาในปี ค.ศ. 1926 พระองค์ทรงครองราชสมบัติหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบิดา ในพระนาม บ๋าว ดั่ย (Bảo Đại "ร่องรอยแห่งความยิ่งใหญ่" หรือ "ผู้เก็บรักษาความยิ่งใหญ่") แต่พระองค์ทรงไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเต็มรูปแบบ ทรงต้องกลับไปศึกษาที่ฝรั่งเศส
อภิเษกสมรส
ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1934 ณ พระราชวังหลวงแห่งเว้ สมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงอภิเษกสมรสกับมารี-เตแรซ เหงียน หืว ถิ ลาน สามัญชนคาทอลิกชาวเวียดนามในตระกูลผู้มั่งมี พระนางทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า "นาม เฟือง" หรือ "น้ำหอมแห่งแดนใต้" ทั้งสองพระองค์มีพระโอรส-ธิดารวม 5 พระองค์ ได้แก่
พระนางทรงได้รับพระราชทานพระยศ "สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งเวียดนาม" ในปี ค.ศ. 1945
พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย มีพระมเหสีอีก 4 พระองค์ โดย 3 พระองค์แรกทรงรับเป็นพระมเหสีในระหว่างการอภิเษกสมรสกับพระจักรพรรดินีนาม เฟืองได้แก่
- เจ้าหญิงฟี อั๊ญ (Phi Ánh) ผู้เป็นพระญาติทางพระราชมารดา ทรงอภิเษกสมรสราวปี ค.ศ. 1935 ที่ฮ่องกง
- เจ้าหญิงฮหว่าง เตี๋ยว ลาน (Hoàng Tiểu Lan) หรือเจนนี่ วุง (Jenny Woong) สตรีเชื้อสายจีน ทรงอภิเษกสมรสกันในปี ค.ศ. 1946 ที่เมืองไซ่ง่อน มีพระธิดา 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงเฟือง ถาว หรือแกลร์ เฟือง ถาว (Claire Phuong Tao)
- เจ้าหญิงบู่ย หม่ง เดี่ยป (Bùi Mộng Điệp) อภิเษกสมรสกันในปี ค.ศ. 1955 มีพระโอรส-ธิดารวม 2 พระองค์คือ เจ้าหญิงเฟือง มิญ และเจ้าชายบ๋าว เอิน
- เจ้าหญิงทาย เฟือง หรือมอนิก โบโด (Monique Baudot) พลเมืองชาวฝรั่งเศส อภิเษกสมรสในปี ค.ศ. 1972 ได้รับพระยศชั้นเจ้าหญิง และเปลี่ยนพระนามเป็นหวิญ ถวิ และได้รับการเลื่อนพระยศเป็น สมเด็จพระจักรพรรดินีทาย เฟือง แห่งเวียดนามหลังพระสวามีเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1997
และมีพระสนมลับ 1 พระองค์คือ นักเต้นรำชาวเวียดนามจากฮานอย ชื่อ ลี้ เหละ ห่า (Lý Lệ Hà)
การประกาศเอกราชและการสละราชสมบัติ
ในปี ค.ศ. 1940 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประจวบกับเหตุการณ์ที่กองทัพเยอรมนีบุกฝรั่งเศส กองทัพญี่ปุ่นได้โจมตีอินโดจีนของฝรั่งเศส ขณะที่ได้ขับไล่คณะบริหารอาณานิคมของฝรั่งเศส ผู้มีอำนาจในญี่ปุ่นได้เข้ามาปกครองโดยมีระบอบวีชีอยู่เบื้องหลัง
ญี่ปุ่นได้ให้สัญญาว่าจะไม่ก้าวก่ายกิจการของราชการเว้ แต่ใน ค.ศ. 1945 ได้บีบบังคับให้จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงประกาศอิสรภาพต่อฝรั่งเศสและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นในวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา ประเทศจึงกลายเป็นจักรวรรดิเวียดนาม ญี่ปุ่นได้มีผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์เวียดนามคือ เจ้าชายเกื่อง เด๋ ได้เตรียมการที่จะเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่โดยทำการกำจัดจักรพรรดิองค์ปัจจุบันด้วยการสนับสนุนของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 และเวียดมินห์ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ต้องการปลดปล่อยเวียดนามให้เป็นอิสระ เขาได้รับการรวมกลุ่มโดยสมาคมชาวญี่ปุ่น โฮจิมินห์ได้โน้มน้าวให้พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย สละราชบัลลังก์ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เพื่อเพิ่มพลังอำนาจให้เวียดมินห์ พระองค์ได้เป็น "ที่ปรึกษาสูงสุด" ให้กับเวียดนามเหนือของโฮจิมินห์ในฮานอย ที่ซึ่งเรียกร้องอิสรภาพในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 แต่โดนเพิกถอนจากฝรั่งเศสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1946
กลับคืนสู่พระราชอำนาจและสงครามอินโดจีน
ขณะที่เวียดนามได้เข้าสู่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เสด็จออกจากเวียดนามหลังจากหนึ่งปีในบทบาทเป็นที่ปรึกษา พระองค์พำนักอยู่ทั้งฮ่องกงและจีน แต่ฝรั่งเศสได้ชักชวนให้พระองค์กลับประเทศในปี ค.ศ. 1949 เพื่อให้เป็นประมุขแห่งเวียดนาม (quốc trưởng โกว๊กเจื๋อง) ไม่ใช่ยศพระจักรพรรดิ (Hoàng Đế ฮหว่างเด๊) พระองค์กลับฝรั่งเศสในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้สนพระทัยในกิจการการต่าง ๆ ของประเทศมากนักเมื่อความสนพระทัยส่วนพระองค์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง
ชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีนในปี ค.ศ. 1949 ได้ปลุกกระแสศรัทธาต่อคอมมิวนิสต์ในเวียดมินห์ สหรัฐอเมริกาได้เสนอการยอมรับแผนทางการทูตให้รัฐบาลของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1950 หลังจากที่ชาติคอมมิวนิสต์ให้การยอมรับรัฐบาลของโฮจิมินห์ การปะทุขึ้นของสงครามเกาหลี ในเดือนมิถุนายน ทำให้กองทัพสหรัฐสนับสนุนฝรั่งเศสในสงครามที่อินโดจีน ทำให้พวกต่อต้านคอมมิวนิสต์มีมากกว่าการต่อต้านอาณานิคม แต่การต่อสู้ระหว่างกองทัพฝรั่งเศสและกองทัพเวียดมินห์ยังคงดำเนินต่อไปและสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1954 สั้นๆหลังจากชัยชนะของเวียดมินห์ในสมรภูมิเดียนเบียนฟู เกิดการเจรจาสันติภาพในปี ค.ศ. 1954 ระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ในการประชุมที่เจนีวา ทำให้มีการแบ่งแยกเวียดนามออกเป็นสองส่วนตามแบบเกาหลีคือ รัฐบาลคอมมิวนิสต์บริหารเวียดนาม "ตอนเหนือ" และรัฐบาลรัฐเวียดนามบริหารเวียดนาม "ตอนใต้" พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เดินทางไปพำนักที่ ปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีพระยศใหม่คือประมุขแห่งรัฐเวียดนาม ทรงแต่งตั้งนักชาตินิยมคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก คือ โง ดิ่ญ เสี่ยมเป็นนายกรัฐมนตรี
ถูกขับออกจากอำนาจเป็นครั้งที่ 2
ในปี ค.ศ. 1955 โง ดิ่ญ เสี่ยมได้จัดการลงประชามติเพื่อขับไล่พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ออกจากราชบัลลังก์และเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐโดยเขาเป็นประธานาธิบดี การรณรงค์ครั้งนี้นำไปสู่การลงประชามติที่ถูกคั่นด้วยการโจมตีเรื่องส่วนพระองค์กับอดีตจักรพรรดิ ผู้สนับสนุนของพระองค์ไม่มีวิธีใดที่จะหักล้างพวกเขาเลย เป็นผลให้มีการรณรงค์ให้พระองค์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม 23 ตุลาคม การลงประชามติเป็นที่โจษจันกันอย่างกว้างขวางว่ามีการโกงเกิดขึ้น โดยผลการลงประชามติกลับลงความเห็นว่าร้อยละ 98 ควรเป็นสาธารณรัฐ เมื่อผลการเลือกตั้งถูกเปิดเผยขึ้น ปรากฏว่าผลการเลือกตั้งนั้น ผู้ลงคะแนนออกเสียงให้เป็นสาธารณรัฐมีมากกว่าผู้มีสิทธิลงประชามติ 380,000 คน อันเป็นสัญญาณอย่างชัดเจนว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
ในปี ค.ศ. 1954 เมื่อพระองค์ถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งประมุขแห่งรัฐเวียดนาม พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งไซ่ง่อน ทว่าด้วยการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยในขณะที่ยังทรงดำรงตำแหน่ง ทำให้พระองค์แทบไม่เหลือทรัพย์สินเงินทองอยู่เลย ทำให้ต้องเร่ขายตำแหน่งนี้ด้วยเงินราคา 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่บรรดามาเฟียในเมืองไซ่ง่อน[1]
พระชนม์ชีพในช่วงลี้ภัย
ในปี ค.ศ. 1957 ระหว่างเสด็จเยือนแคว้นอาลซัส พระองค์ได้พบกับคริสตียาน บล็อก-การ์เซอนัก (Christiane Bloch-Carcenac) ซึ่งพระองค์ได้มีความสัมพันธ์เป็นเวลาหลายปี ความสัมพันธ์นี้ได้ให้กำเนิดพระราชโอรสองค์สุดท้าย ปาทริก เอดเวิร์ด บล็อก (Patrick Edward Bloch) ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในแคว้นอาลซัสในฝรั่งเศส
ในปี ค.ศ. 1975 ในเวลานั้น พระองค์ได้พำนักอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโมนาโก ซึ่งพระองค์จะประทับและทรงเกษมสำราญอยู่บนเรือยอร์ชส่วนพระองค์ที่เป็นหนึ่งในเรือที่ใหญ่ที่สุดของท่าเรือมอนเตคาร์โล (Monte Carlo) พระองค์ยังได้รับการกล่าวขานว่าพระองค์ยังมีอิทธิพลต่อนักการเมืองในจังหวัดกว๋างจิและจังหวัดเถื่อเทียนเว้มาก รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือได้ส่งผู้แทนมาฝรั่งเศสหวังให้พระองค์เป็นสมาชิกในรัฐบาลผสม ที่ซึ่งเป็นการรวมตัวใหม่ของเวียดนาม ในการหวังโน้มน้าวใจพระองค์ช่วยการรวมภูมิภาคที่ซึ่งพระองค์มีพระบารมีต่อผู้คนแถบนั้น
จากการพบกันครั้งนี้ พระองค์ได้พูดอย่างเป็นทางการทรงแสดงท่าทีต่อต้านทหารอเมริกันที่เข้ามาในเวียดนามใต้ในช่วง สงครามเวียดนาม พระองค์ทรงวิจารณ์ระบอบการปกครองของประธานาธิบดีเหงียน วัน เถี่ยว ของเวียดนามใต้ พระองค์เรียกร้องให้นักการเมืองทุกคนมีความคิดสร้างอิสระ เป็นกลาง และรักสันติภาพ ซึ่งจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ตึงเครียดในประเทศได้
ในปี ค.ศ. 1982 พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย, หวิญ ถวิ (พระมเหสี) และพระราชวงศ์เวียดนามได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา พระราชกรณียกิจของพระองค์คือการกำกับดูแลและประกอบพิธีให้ศีลให้พรแก่ชาวเวียดนามที่นับถือที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาเกาได๋ในแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส
ตลอดชีวิตของพระองค์ในทั้งเวียดนามและในฝรั่งเศส พระองค์ยังคงไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนชาวเวียดนามในขณะที่พระองค์ถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดทางการเมืองของลัทธิล่าอาณานิคมฝรั่งเศส จากการที่พระองค์ไร้อำนาจทางการเมืองใด ๆ และให้ความร่วมมือกับฝรั่งเศสและเพื่อแนวคิดการสนับสนุนฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม พระจักรพรรดิได้ทรงชี้แจงไว้ว่า รัชกาลของพระองค์นั้นประสบกับการต่อสู้ระหว่างผู้จงรักภักดีต่อพระองค์และผู้รักชาติกับผู้ที่จงรักภักดีต่อผู้มีอำนาจฝรั่งเศสอยู่เสมอ ท้ายที่สุดแล้วพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์ของพระองค์ก็ถูกริบ และพระองค์ก็จำเป็นต้องร่วมมือกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ และก็ต้องเผชิญหน้ากับการประเมินอิทธิพลของประธานาธิบดีโง ดิ่ญ เสี่ยม
สวรรคต
สมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เสด็จสวรรคตที่โรงพยาบาลวาล-เดอ-กรัส กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1997 พระบรมศพของพระองค์ได้ฝังที่สุสานปาซี หลังจากพระองค์สวรรคต พระราชโอรสของพระองค์ คือ มกุฎราชกุมารเหงียน ฟุก บ๋าว ล็อง ได้สืบทอดตำแหน่งพระประมุขของราชวงศ์เหงียน
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
- ฮหวิ่ญ อัญ ต๊วน นักแสดงชาวเวียดนาม ได้แสดงเป็นจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ในละครเวียดนามปี ค.ศ. 2004 เรื่อง หง่อนเน้นฮหว่างกุง (แท่งเทียนแห่งพระราชวัง)
เหรียญจักรพรรดิบ๋าวดั่ย
เหรียญเวียดนามเหรียญสุดท้ายของโลกได้ใช้พระนาม บ๋าว ดั่ย เป็นอักษรจีน เหรียญจักรพรรดิมีอยู่สามประเภท เหรียญที่มีค่าที่สุดมีค่าประมาณ 10 หวัน เหรียญถูกออกใช้ในปี ค.ศ. 1933
-
เหรียญบ๋าว ดั่ย ใหญ่
-
เหรียญบ๋าว ดั่ย กลาง
-
เหรียญบ๋าว ดั่ย เล็ก
พระราชดำรัส
- ในปี ค.ศ. 1945 เมื่อนายพันญี่ปุ่นยึดครองป้อมปราการเว้และบอกพระองค์ว่าเขาได้ (สอดคล้องกับคำสั่งของผู้บัญชาการทหารฝ่ายสัมพันธมิตร) รับรองความปลอดภัยต่อพระราชวังของพระองค์และจะเข้าไปเพื่อจัดการถ้าหากเกิดการรัฐประหารจากกลุ่มเวียดมินห์ พระองค์กลับขับไล่ทหารเหล่านั้นและกล่าวว่า
ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ทหารต่างชาติต้องหลั่งเลือดประชาชนของข้าพเจ้า
- ทรงอธิบายการสละราชสมบัติของพระองค์ว่า
ข้าพเจ้ายินดีเป็นสามัญชนอย่างเสรีดีกว่าเป็นทาสคนหนึ่งในฐานะจักรพรรดิ
- เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสพยายามที่จะตอบโต้ความนิยมของโฮจิมินห์และเพิ่มการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาโดยการสร้างรัฐบาลหุ่นเชิดกับพระองค์ พระองค์ตรัสว่า
สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าวิธีการแก้ปัญหาของบ๋าว ดั่ย เมื่อตัดออกไปแล้ว จะกลายเป็นเพียงแค่วิธีการแก้ปัญหาของฝรั่งเศส
- ในการปรากฏพระองค์ในปี ค.ศ. 1972 พระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงร้องขอให้ชาวเวียดนามปรองดองกันเพื่อประเทศชาติ แถลงว่า
โอกาสนี้ได้มาเพื่อจุดจบของสงครามฆ่าพี่ฆ่าน้อง เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความปรองดองกัน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
- ↑ สงครามเวียดนาม, "แฟนพันธุ์แท้". เกมโชว์ทางช่อง 5: ศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2556
แหล่งข้อมูลอื่น
|
---|
นานาชาติ | |
---|
ประจำชาติ | |
---|
ประชาชน | |
---|
อื่น ๆ | |
---|