คางทูม
คางทูม(Mumps) ชื่ออื่น Epidemic parotitis เด็กป่วยคางทูม สาขาวิชา โรคติดเชื้อ อาการ ไข้ , ปวดกล้ามเนื้อ , ปวดศีรษะ , อ่อนเพลีย , ต่อมน้ำลายพาโรทิดอักเสบ [ 1] ภาวะแทรกซ้อน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ตับอ่อนอักเสบ , สูญเสียการได้ยิน , เป็นหมัน (เพศชาย)[ 1] การตั้งต้น ~17 วันหลังได้รับเชื้อ[ 1] [ 2] ระยะดำเนินโรค 7–10 วัน[ 1] [ 2] สาเหตุ ไวรัสโรคคางทูม [ 2] วิธีวินิจฉัย การเพาะเชื้อไวรัส , การตรวจแอนติบอดี ในเลือด[ 2] การป้องกัน วัคซีนโรคคางทูม [ 1] การรักษา การรักษาประคับประคอง [ 3] ยา ยาแก้ปวด , การรักษาด้วยอิมมูโนกลอบูลิน [ 4] พยากรณ์โรค อัตราเสียชีวิตประมาณ 1 ใน 10,000[ 1] ความชุก พบได้บ่อยกว่าในประเทศกำลังพัฒนา[ 5]
คางทูม (อังกฤษ : mumps ) เป็นโรคติดเชื้อไวรัส ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูม [ 2] อาการแรกเริ่มของผู้ป่วยได้แก่มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และรู้สึกอ่อนเพลีย [ 1] [ 6] จากนั้นจึงมีต่อมน้ำลายพาโรทิด บวมโตและเจ็บ อาจโตข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง[ 4] [ 6] อาการเหล่านี้มักเริ่มเป็นหลังจากได้รับเชื้อมาแล้ว 16-18 วัน[ 1] [ 2] และเมื่อเป็นแล้วมักหายได้เองในเวลา 7-10 วัน[ 1] [ 2] ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่มักมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยวัยเด็ก[ 1] คนที่รับเชื้อนี้ประมาณหนึ่งในสามจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ เลย[ 1] ภาวะแทรกซ้อน ที่อาจพบได้ ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (15%) ตับอ่อนอักเสบ (4%) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สูญเสียการได้ยิน และอัณฑะอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เป็นหมัน ได้ แต่พบได้น้อย[ 1] [ 6] ผู้ป่วยเพศหญิงอาจมีการอักเสบของรังไข่ แต่จะไม่ทำให้เป็นหมัน[ 4]
คางทูมเป็นโรคติดต่อ ที่ติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วในกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิด[ 7] โดยจะติดต่อผ่านทางฝอยละอองจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ หรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย[ 2] โรคนี้ติดต่อได้กับมนุษย์เท่านั้น[ 1] ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ 7 วันก่อน และ 8 วันหลังเริ่มมีอาการต่อมน้ำลายบวม[ 8] คนที่หายจากโรคนี้แล้วมักมีภูมิคุ้มกัน ไปตลอดชีวิต[ 1] การติดเชื้อซ้ำนั้นพบได้บ้างแต่ผู้ป่วยก็มักจะมีอาการเพียงเล็กน้อย[ 9] การวินิจฉัยส่วนใหญ่อาศัยจากการตรวจพบต่อมน้ำลายพาโรทิดบวม การตรวจยืนยันทำได้โดยการตรวจหาเชื้อไวรัสจากการป้ายสารคัดหลั่งจากรูเปิดของต่อมน้ำลายพาโรทิด[ 2] การตรวจหาสารแอนติบอดี ชนิดไอจีเอ็มในเลือดเป็นการตรวจที่ทำได้ง่ายกว่าแต่อาจให้ผลลบลวง ได้โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นคนที่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน[ 2]
การป้องกันทำได้โดยรับวัคซีนโรคคางทูม รวมสองครั้ง[ 1] ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีวัคซีน นี้ให้บริการเป็นวัคซีนมาตรฐานในโครงการระดับชาติ ส่วนใหญ่จะให้ร่วมกันกับวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และวัคซีนโรคหัด เป็นวัคซีนรวมสามโรค และอาจให้ร่วมกันกับวัคซีนโรคอีสุกอีใส อีก เป็นวัคซีนรวมสี่โรค [ 1] ประเทศที่มีอัตราการรับวัคซีนต่ำอาจมีรายงานผู้ป่วยในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มนี้หากเป็นโรคแล้วอาจมีผลการรักษาที่ออกมาไม่ดีได้[ 4] โรคนี้ยังไม่มีการรักษาจำเพาะ[ 1] การรักษาหลัก ๆ คือการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ใช้ยาแก้ปวด ลดไข้เช่นพาราเซตามอล [ 4] ในบางรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอาจได้ประโยชน์จากการรักษาด้วยอิมมูโนกลอบูลิน [ 4] รายที่มีภาวะแทรกซ้อนเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือตับอ่อนอักเสบอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน[ 7] [ 9] อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 10,000 ของผู้ป่วย[ 1]
ในแต่ละปีหากไม่มีการให้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 0.1-1% ของประชากร[ 1] ก่อนที่จะมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวางโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในผู้ป่วยเด็กทั่วโลก[ 1] การให้วัคซีนอย่างทั่วถึงทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคนี้ลดลงกว่า 90%[ 1] โรคคางทูมพบได้บ่อยกว่าในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอัตราการรับวัคซีนยังต่ำอยู่[ 5] อย่างไรก็ดียังมีการระบาด เป็นครั้ง ๆ แม้ในกลุ่มประชากรที่รับวัคซีนแล้ว[ 4] ซึ่งจะมีการระบาดขนาดใหญ่เกิดขึ้นประมาณทุก ๆ 2-5 ปี[ 1] โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กอายุ 5-9 ปี[ 1] หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับวัคซีนแล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุ 20 ปีต้น ๆ[ 4] ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรจะพบโรคนี้ได้ตลอดปี ส่วนประเทศนอกเขตนี้มักพบได้ในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ[ 1] มีการกล่าวถึงอาการต่อมน้ำลายพาโรทิดและอัณฑะบวมเจ็บไว้ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยแพทย์กรีกชื่อฮิปโปเครตีส [ 2] [ 10]
ประวัติศาสตร์
มนุษย์รู้จักโรคคางทูมมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการกล่าวถึงโรคนี้อยู่ในหนังสือ Of the Epidemic (ว่าด้วยโรคระบาด) เขียนโดยแพทย์กรีกฮิปโปเครตีส ตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล โดยได้กล่าวถึงโรคที่ทำให้มีการบวมและเจ็บที่ต่อมน้ำลายพาโรทิดและอัณฑะเอาไว้[ 2] [ 11] การบรรยายถึงโรคนี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1790 โดยรอเบิร์ต แฮมิลตัน แพทย์ชาวอังกฤษ (1721-1793) ได้เขียนไว้ใน Transaction of the Royal Society of Edinburgh [ 11] [ 12] นอกจากนี้ยังเป็นโรคที่มีบทบาทสำคัญมากโรคหนึ่งในกองทัพที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง[ 11] ในช่วงหนึ่งความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าโรคคางทูมเป็นโรคติดต่อต้องพบกับความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง จนถึง ค.ศ. 1934 เมื่อ คล็อด ดี. จอห์นสัน และเออร์เนสต์ วิลเลียม กูดปาสเจอร์ สามารถพิสูจน์ได้ว่าโรคคางทูมเป็นโรคติดต่อ โดยมีเชื้อก่อโรคเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถกรองออกมาได้[ 11]
อ้างอิง
↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 1.23 "Mumps virus vaccines" (PDF) . Weekly Epidemiological Record . 82 (7): 49–60. 16 กุมภาพันธ์ 2007. PMID 17304707 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 16 มีนาคม 2015.
↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 Atkinson, William (พฤษภาคม 2012). Mumps Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12th ed.). Public Health Foundation. pp. Chapter 14. ISBN 978-0-9832631-3-5 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 6 กรกฎาคม 2016.
↑ Davis NF, McGuire BB, Mahon JA, Smyth AE, O'Malley KJ, Fitzpatrick JM (April 2010). "The increasing incidence of mumps orchitis: a comprehensive review". BJU International . 105 (8): 1060–5. doi :10.1111/j.1464-410X.2009.09148.x . PMID 20070300 .
↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 Hviid A, Rubin S, Mühlemann K (March 2008). "Mumps". The Lancet . 371 (9616): 932–44. doi :10.1016/S0140-6736(08)60419-5 . PMID 18342688 .
↑ 5.0 5.1 Junghanss, Thomas (2013). Manson's tropical diseases (23rd ed.). Oxford: Elsevier/Saunders. p. 261. ISBN 978-0-7020-5306-1 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 13 พฤษภาคม 2016.
↑ 6.0 6.1 6.2 Bailey's head and neck surgery—otolaryngology . Johnson, Jonas T., Rosen, Clark A., Bailey, Byron J., 1934- (5th ed.). Philadelphia: Wolters Kluwer Health /Lippincott Williams & Wilkins. 2013. ISBN 9781609136024 . OCLC 863599053 .{{cite book }}
: CS1 maint: others (ลิงก์ )
↑ 7.0 7.1 Gupta, RK; Best, J; MacMahon, E (14 May 2005). "Mumps and the UK epidemic 2005" . BMJ (Clinical Research Ed.) . 330 (7500): 1132–5. doi :10.1136/bmj.330.7500.1132 . PMC 557899 . PMID 15891229 .
↑ Kutty PK, Kyaw MH, Dayan GH, Brady MT, Bocchini JA, Reef SE, Bellini WJ, Seward JF (15 June 2010). "Guidance for isolation precautions for mumps in the United States: a review of the scientific basis for policy change" . Clinical Infectious Diseases . 50 (12): 1619–28. doi :10.1086/652770 . PMID 20455692 .
↑ 9.0 9.1 Sen2008 SN (2008). "Mumps: a resurgent disease with protean manifestations" . Med J Aust . 189 (8): 456–9. PMID 18928441 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 25 ธันวาคม 2014.
↑ Hippocrates . "Of the Epidemics" . Wikisource .
↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 Samal, Siba K. (2011). The Biology of Paramyxoviruses . Horizon Scientific Press. p. 5. ISBN 978-1-904455-85-1 . สืบค้นเมื่อ 18 March 2019 .
↑ "Mumps" . World of Microbiology and Immunology, in Encyclopedia.com . 1 March 2019. สืบค้นเมื่อ 18 March 2019 .
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค ทรัพยากรภายนอก
Orofacial soft tissues – Soft tissues around the mouth
ไวรัสก่อมะเร็ง ดีเอ็นเอไวรัส :
ไวรัสตับอักเสบ บี (
มะเร็งเซลล์ตับ )
· ฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (
มะเร็งปากมดลูก ,
มะเร็งทวารหนัก ,
มะเร็งองคชาต ,
มะเร็งปากช่องคลอด ,
มะเร็งช่องคลอด ,
มะเร็งคอหอยส่วนบน )
· KSHV (
Kaposi's sarcoma )
· ไวรัส
เอ็ปสไตน์-บาร์ (
Nasopharyngeal carcinoma ,
Burkitt's lymphoma ,
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอด์จกิน ,
Follicular dendritic cell sarcoma ,
Extranodal NK/T-cell lymphoma, nasal type )
· MCPyV (
Merkel-cell carcinoma )
ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ โรคระบบประสาทส่วนกลาง จากไวรัส
โรคหัวใจร่วมหลอดเลือดอักเสบจากไวรัส โรคระบบหายใจจากไวรัส /โรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน /ปอดอักเสบจากไวรัส
โรคระบบทางเดินอาหารจากไวรัส
โรคระบบทางเดินปัสสาวะจากไวรัส