การหลอกปั่นหัว [ 1] (อังกฤษ : gaslighting ) เป็นภาษาพูด หมายถึง การบิดเบือนความเป็นจริงของบุคคลอื่น เพื่อควบคุมหรือเอาเปรียบ โดยทำให้เหยื่อ สงสัย ใน ความคิด ความรู้สึก หรือ การรับรู้ ของตัวเอง[ 2] [ 3] คำนี้มาจากชื่อภาพยนตร์เรื่อง ตะเกียง (Gaslight) ในปี 1944 และเริ่มได้รับความนิยมในช่วงกลางทศวรรษ 2010 พจนานุกรม เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ (Merriam-Webster) อธิบายว่า Gaslighting หมายถึง การหลอกลวงความทรงจำ การรับรู้ความเป็นจริง หรือ ความมั่นคงทางจิต ของบุคคล[ 3] ตามรายงานของ วอชิงตันโพสต์ ปี 2022 คำนี้ได้กลายเป็น คำศัพท์ยอดนิยม ที่ใช้ผิดบ่อย ๆ โดยมักใช้เพื่ออธิบาย ความขัดแย้งทั่วไป แทนที่จะใช้ในบริบทที่ตรงกับความหมายดั้งเดิมของคำ [ 4]
ศัพทมูลวิทยา
ชาร์ลส โบเยอร์ , อิงกริด เบิร์กแมน และ โจเซฟ คอตเทน ในภาพยนตร์เรื่อง ตะเกียง (Gaslight) ปี ค.ศ. 1944
ต้นกำเนิดของคำนี้ มาจากละครเวทีระทึกขวัญของอังกฤษปี 1938 เรื่อง ตะเกียง (ต้นฉบับ) โดย แพทริค แฮมิลตัน ซึ่งต่อมาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อังกฤษเรื่อง ตะเกียง (1940) หลังจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถูกนำไปสร้างใหม่อีกครั้งในอเมริกา ในปี 1944 ใช้ชื่อเดิมว่า ตะเกียง (1944) โดยภาพยนตร์เรื่องหลังนี้เองที่กลายเป็นจุดอ้างอิงสำคัญของคำว่า Gaslighting ในปัจจุบัน[ 5] [ 6] [ 7] เรื่องราวในภาพยนตร์เกิดขึ้นในหมู่ชนชั้นสูงในลอนดอนใน สมัยวิกตอเรีย โดยเล่าถึงสามีผู้ดูเหมือนเป็นสุภาพบุรุษ ที่ใช้การโกหกและการบงการเพื่อแยกภรรยา ซึ่งเป็นทายาทมรดก ออกจากสังคม และโน้มน้าวให้เธอคิดว่าตัวเองป่วยทางจิต เพื่อที่จะขโมยทรัพย์สินของเธอ[ 8] สิ่งที่น่าสนใจคือคำว่า "Gaslighting" ความจริงแล้ว ไม่ได้ปรากฏอยู่ในบทภาพยนตร์ บทละคร หรือภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องเลย แต่ตัวละครผู้เป็นสามีในเรื่อง จะแอบหรี่ไฟและปรับให้แสงไฟภายในบ้านให้สว่างขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วยืนกรานกับภรรยาว่า เธอนั้นคิดไปเอง เพื่อทำให้ภรรยาสงสัยตัวเองว่า เธออาจจะสติไม่สมประกอบจริง ๆ[ 9]
คำว่า gaslighting ถูกใช้ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1950 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีรีส์ The Burns and Allen Show ส่วนการใช้ในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ ปรากฏครั้งแรกในคอลัมน์ของ มอรีน ดาวด์ เมื่อปี 1995[ 10] จากข้อมูลของ สมาคมจิตวิทยาสหรัฐอเมริกา ให้ความหมายของ gaslighting ในปี 2021 ว่า เดิมทีหมายถึง "การบงการที่รุนแรงมากจนทำให้เกิด ความเจ็บป่วยทางจิต หรือหรือเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการส่งตัวผู้ถูกกระทำให้เข้ารับการรักษาในสถาบันโรคจิต" [ 2] คำว่า "gaslighting" เคยเป็นศัพท์เฉพาะทางหรือไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก จนกระทั่งได้รับความนิยมในช่วงกลางทศวรรษ 2010 – หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์ส ใช้คำนี้เพียงเก้าครั้งใน 20 ปีถัดมา[ 10] – ปัจจุบันคำนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ[ 10] และมีความหมายกว้างขึ้น พจนานุกรมเมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ ให้คำจำกัดความว่า "การบงการทางจิตวิทยา เพื่อทำให้ใครสักคน สงสัยในการรับรู้ความเป็นจริงของตัวเอง จนนำไปสู่การ พึ่งพาผู้กระทำ "[ 3]
คำนี้ได้รับการยอมรับอย่างโดดเด่นหลายประการ สมาคมภาษาถิ่นอเมริกัน (American Dialect Society) ยกให้คำว่า gaslight เป็นคำใหม่ที่ "มีประโยชน์มากที่สุด" ของปี 2016[ 11] สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ยกให้ gaslighting อยู่ในรายชื่อคำศัพท์ใหม่ยอดนิยมประจำปี 2018[ 12]
ในแวดวงการช่วยเหลือตนเองและจิตวิทยาเบื้องต้น
คำว่า Gaslighting ถูกนำมาใช้ในแวดวงการช่วยเหลือตนเอง และจิตวิทยาเบื้องต้น เพื่ออธิบายพลวัตที่อาจเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ส่วนตัว (ทั้งแบบคู่รักและพ่อแม่ลูก) รวมถึงความสัมพันธ์ในที่ทำงาน[ 13] การหลอกปั่นหัวเกี่ยวข้องกับบุคคลสองฝ่าย ได้แก่ ผู้กระทำ ที่พยายามเสนอเรื่องราวที่บิดเบือนความจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุม อีกฝ่าย และ "ผู้ถูกกระทำ" ผู้ที่พยายามรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้[ 14] [ 15] โดยทั่วไปการหลอกปั่นหัวจะประสบผลสำเร็จเฉพาะในกรณีที่มีความสัมพันธ์ที่อำนาจไม่เท่าเทียมกัน หรือในกรณีที่ผู้ถูกกระทำเคารพผู้กระทำต่อตัวผู้ถูกกระทำมาก่อน[ 16]
การหลอกปั่นหัวนั้นแตกต่างจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงตามปกติในความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ เราสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง การหลอกปั่นหัวกับความขัดแย้งทั่วไปได้จากลักษณะดังนี้:
การรับฟัง
ความขัดแย้งทั่วไป - ทั้งสองฝ่าย พยายามรับฟังและพิจารณาความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ
การหลอกปั่นหัว - มีเพียงฝ่ายเดียว ที่รับฟังและพิจารณาความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ
การยืนยัน
ความขัดแย้งทั่วไป - ทั้งสองฝ่ายอาจโต้แย้งกัน แต่ก็ยังเคารพซึ่งกันและกัน
การหลอกปั่นหัว - มีเพียงฝ่ายเดียว ที่ปฏิเสธการรับรู้ของอีกฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ ยืนยันว่าอีกฝ่ายผิด หรือบอกว่าปฏิกิริยาทางอารมณ์ของอีกฝ่ายนั้นไร้เหตุผลหรือผิดปกติ
คำว่า gaslighting มักใช้เพื่ออ้างถึงรูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน ไม่ใช่การโน้มน้าวใจเพียงครั้งเดียว แต่วิธีการโน้มน้าวใจเป็นลักษณะเด่นของพฤติกรรมการหลอกปั่นหัว[ 4] เมื่อเวลาผ่านไป ฝ่ายที่รับฟังอาจแสดงอาการที่มักเกี่ยวข้องกับโรควิตกกังวล ซึมเศร้า หรือ ความนับถือตนเอง ต่ำ หัวใจสำคัญ ของความแตกต่างระหว่าง การหลอกปั่นหัวกับความขัดแย้งทั่วไปในความสัมพันธ์ คือ การหลอกปั่นหัวเป็นการกระทำที่ ฝ่ายหนึ่ง จงใจบิดเบือนความรับรู้ของ อีกฝ่าย [ 16]
ในด้านจิตเวชและจิตวิทยา
คำว่า gaslighting (โดยอ้างอิงถึงพฤติกรรมที่อธิบายไว้ในหัวข้อจิตวิทยาเบื้องต้นข้างต้น) มักใช้ในงานวิชาการทางจิตวิทยาคลินิกเป็นครั้งคราว แต่สมาคมจิตวิทยาสหรัฐอเมริกายังถือว่าเป็นภาษาพูดอยู่[ 2] [ 17]
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา คำนี้ถูกนำมาใช้ในงานวิจัยทางจิตวิเคราะห์ เพื่ออธิบาย เจตนาเบื้องหลังที่ชัดเจนในการล้างสมอง [ 18]
ในปี 1969 บาร์ตัน (Barton) และ ไวต์เฮด (Whitehead) ได้รายงานกรณีศึกษาการหลอกปั่นหัว จำนวน 3 กรณี โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ใครก็ตามเข้ารับการรักษาโดยไม่สมัครใจ ในโรงพยาบาลจิตเวช โดยแรงจูงใจเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้คือ ความต้องการกำจัดญาติ หรือ แสวงหาผลประโยชน์ทางการเงิน รายละเอียดของกรณีศึกษามีดังนี้
1. ภรรยาคนหนึ่งพยายามใส่ร้ายสามีว่าเป็นคนรุนแรง เพื่อที่เธอจะได้หนีไปอยู่กับชู้[ 13] [ 19]
2. ภรรยาอีกคนหนึ่งกล่าวหาว่าสามีซึ่งเป็นเจ้าของผับนั้นติดสุราเรื้อรัง เพื่อทิ้งเขาและยึดกิจการ[ 13] [ 19]
3. และผู้จัดการบ้านพักคนชราที่ให้ยาระบายแก่ชาวบ้านก่อนส่งเธอไปโรงพยาบาลจิตเวช ภาวะสมองเสื่อม เล็กน้อย และมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ [ 13] [ 19]
ในปี 1977 ขณะที่งานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่เกี่ยวกับการหลอกปั่นหัวยังมีอยู่น้อยมาก ลุนด์และการ์ดิเนอร์ได้ตีได้ตีพิมพ์รายงานกรณีศึกษาของผู้หญิงสูงอายุท่านหนึ่ง ซึ่งถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชโดยไม่สมัครใจหลายครั้ง โดยอ้างเหตุผลว่าเธอมีอาการทางจิต แต่พนักงานของบ้านพักคนชราซึ่งเป็นผู้ส่งตัวเธอนั้น กลับรายงานว่าอาการของเธอมักจะหายไปเอง โดยที่ไม่ได้รับการรักษา หลังจากการสืบสวน เจ้าหน้าที่พบว่า อาการหวาดระแวง เกิดขึ้นจากการถูกผู้ดูแลที่บ้านพักคนชราหลอกปั่นหัว เนื่องจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ทราบว่าเธอกเคยมีอาการทางจิตมา 15 ปีก่อนหน้านั้น[ 19] บทความวิจัยเรื่อง Gaslighting: A Marital Syndrome (1988) ได้นำเสนอผลกระทบทางคลินิกที่เกิดขึ้นกับภรรยา หลังจากที่ปฏิกิริยาตอบโต้ของพวกเธอถูกสามีและนักบำบัดชายตีความผิดพลาด[ 20] ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ ค่านิยมและเทคนิคของนักบำบัด ก็สามารถส่งผลทั้งร้ายและดีต่อผู้รับบริการ (หรือส่งผลทางอ้อมต่อคนอื่น ๆ ในชีวิตของผู้รับบริการ) ได้เช่นกัน[ 21] [ 22] [ 23]
ในหนังสือของ ธีโอ แอล. ดอร์แพท (Theo L. Dorpat) เรื่อง Gaslighting, the Double Whammy, Interrogation and Other Methods of Covert Control in Psychotherapy and Analysis ที่ตีพิมพ์ในปี 1996 ได้แนะนำให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านจิตวิทยาใช้ทัศนคติและวิธีการแบบไม่ชี้นำ และเน้นความเท่าเทียมกัน [ 22] : 225 โดย "ปฏิบัติต่อผู้ป่วยในฐานะผู้ทำงานร่วมกันและเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน" [ 22] : 246 เขาเขียนว่า "นักบำบัดอาจมีส่วนทำให้ผู้รับบริการรู้สึกทุกข์หนักขึ้น โดยการตีความปฏิกิริยาตอบโต้ของ [เหยื่อ] ผิดพลาด.... พฤติกรรมการหลอกปั่นหัวของคู่สมรส อาจเป็นสิ่งที่นำไปสู่ อาการทางประสาท สำหรับ [เหยื่อ] และร้ายแรงที่สุดอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย"[ 22] นอกจากนี้ ดอร์แพทยังเตือนนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการใช้เทคนิคการซักถามและวิธีการควบคุมผู้ป่วยอย่างแอบซ่อนในระหว่างการทำจิตบำบัดและการวิเคราะห์ เนื่องจากวิธีการเหล่านี้อาจส่งผลต่อผู้ป่วยในเชิงบังคับโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะเคารพและช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริง[ 22] : 31–46
แม้ทั่วโลกจะตระหนักถึงอันตรายของการหลอกปั่นหัวมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับด้วยความกระตือรือร้นจากนักจิตวิทยาทุกคน บางคนออกมาแสดงความกังวลว่า การใช้คำนี้มากเกินไปอาจทำให้ความหมายของมันเบาบางลง และลดความรุนแรงของผลกระทบต่อสุขภาพจากการถูกกระทำเช่นนี้[ 12]
แรงจูงใจ
การหลอกปั่นหัวเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ควบคุมสถานการณ์ ยับยั้งความขัดแย้ง ลดความวิตกกังวล และสร้างความรู้สึกควบคุมให้กับผู้กระทำได้ แต่กลยุทธ์นี้กลับมักจะถูกใช้เพื่อบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและทำลายความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย[ 16] บางกรณีมีการใช้กลยุทธ์นี้เพื่อหลอกปั่นหัวคู่รักของตน เพื่อปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดกับอีกฝ่าย[ 24]
เป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ได้
การหลอกปั่นหัวเป็นลักษณะนิสัยที่เรียนรู้ได้ ผู้ที่ชอบปั่นเปรียบเหมือนผู้ที่ชอบเรียนรู้จากการสังเกต พวกเขาอาจเคยเห็นคนอื่นหลอกปั่นหัว เคยถูกหลอกปั่นหัวมาก่อน หรือค้นพบวิธีการนี้เอง และสังเกตว่ามันได้ผล ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อการควบคุมตนเอง หรือการควบคุมผู้อื่น ก็ตาม[ 16] งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า การหลอกปั่นหัวมักเกิดขึ้นบ่อยในคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่มีบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสม[ 25] เช่น บุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยทางจิตเวชระยะสั้น มีโรคซึมเศร้า โรคจากการใช้สารเสพติด (เช่น โรคพิษสุราเรื้อรัง ) ความผิดปกติทางอารมณ์ (เช่น โรคอารมณ์สองขั้ว ) โรควิตกกังวล (เช่น ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ ) และโรคผิดปกติทางบุคลิกภาพ (เช่น บุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง บุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง) เป็นอาทิ รวมถึงโรคพัฒนาการทางประสาท (เช่น โรคสมาธิสั้น ) หรืออาจเป็นการมีหลายโรคพร้อมกัน บุคคลเหล่านี้มักมีแนวโน้ม และมีความสามารถในการโน้มน้าวให้ผู้อื่นสงสัยความคิดเห็นของตัวเอง[ 26]
การฟื้นฟู
การปลีกตัวออกจากสถานการณ์ที่ใช้อำนาจในการหลอกปั่นหัวนั้นอาจเป็นเรื่องยาก
ผู้ที่ชอบหลอกปั่นหัว ต้องพัฒนาสติสัมปชัญญะทางอารมณ์ และการควบคุมตัวเอง (self-regulation) ให้มากขึ้น [ 16] หรือ;
ผู้ถูกหลอกปั่นหัว ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ต้องพึ่งพาการยืนยันความจริงจากผู้อื่น และต้องสร้างความพึ่งพาตัวเอง รวมถึงความมั่นใจในการกำหนดความจริงของตัวเอง[ 27] [ 16]
การใช้คำอย่างแพร่หลาย
คำว่า "gaslighting" มักถูกใช้อย่างไม่ถูกต้อง โดยใช้เรียกแทนความขัดแย้งหรือการเห็นต่างกันทั่วไป[ 4] [ 17] [ 28] ดร.โรบิน สเติร์น ผู้ร่วมก่อตั้ง สถาบันเยลเพื่อความฉลาดทางอารมณ์ (Yale Center for Emotional Intelligence) ให้ความเห็นว่า "คำว่า 'หลอกปั่นหัว' มักถูกใช้กล่าวโทษผู้อื่น ในกรณีที่อีกฝ่ายอาจจะยืนยันในความคิดเห็นของตัวเองอย่างหนักแน่น หรือพยายามโน้มน้าวเรา ซึ่งนั่นไม่ใช่ความหมายที่แท้จริงของการหลอกปั่นหัว" [ 17]
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตบางท่านกังวลว่า การใช้คำว่า "หลอกปั่นหัว" อย่างแพร่หลายเกินไป ทำให้ความหมายที่แท้จริงของมันเจือจาง และอาจส่งผลต่อการระบุรูปแบบการละเมิดประเภทใดประเภทหนึ่งที่ตรงตามนิยามดั้งเดิมได้ยากขึ้น[ 12] [ 4] [ 28]
ในทางการแพทย์
"การหลอกปั่นหัวทางการแพทย์" เป็นคำที่ไม่เป็นทางการ[ 29] ใช้เรียกรูปแบบที่ผู้ป่วยถูกบุคลากรทางการแพทย์ปฏิเสธหรือลดความสำคัญของอาการป่วยจริง ส่งผลให้การวินิจฉัยโรคผิดพลาด ผู้หญิงและคนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ มีโอกาสประสบปัญหานี้มากกว่า[ 30] [ 31] [ 32]
ในทางการเมือง
การหลอกปั่นหัวมักได้ผล เมื่อผู้หลอกปั่นหัวมีอำนาจเหนือกว่า[ 33]
ในหนังสือเรื่อง State of Confusion: Political Manipulation and the Assault on the American Mind ที่ตีพิมพ์ในปี 2008 ผู้เขียนยืนยันว่าความแพร่หลายของการจุดประกายไฟในการเมืองอเมริกันเริ่มต้นขึ้นในยุคของการสื่อสารสมัยใหม่: [ 34]
"การกล่าวว่าการหลอกปั่นหัวเริ่มต้นโดย...กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ยังคงอยู่ ไม่เพียงแค่ผิดเท่านั้น แต่ยังมองข้ามประเด็นสำคัญอีกด้วย การหลอกปั่นหัวเกิดขึ้นโดยตรงจากการผสมผสานเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่ การตลาด และการโฆษณา เข้ากับวิธีการโฆษณาชวนเชื่อแบบเดิม เทคนิคเหล่านี้ รอคอย ให้คนที่ทะเยอทะยานและมีบุคลิกภาพทางจิตใจเหมาะสมนำไปใช้"
คำว่า "หลอกปั่นหัว" ถูกนำไปใช้เพื่ออธิบายพฤติกรรมของนักการเมืองและบุคคลสื่อมวลชน ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ของแนวคิดทางการเมือง [ 34] ตัวอย่างเช่น:
สื่อมวลชนอเมริกันใช้คำว่า "หลอกปั่นหัว" วิจารณ์การกระทำของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 และตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[ 35] [ 36]
คำว่า "หลอกปั่นหัว" ถูกนำไปใช้เพื่ออธิบายเทคนิคการใช้จิตวิทยา เบียดเบียนที่รัฐบาลเยอรมนีตะวันออก ใช้กับประชาชน ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 เทคนิคเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการทำลายขวัญและกำลังใจ ฝ่ายตรงข้าม ของชตาซี (หน่วยงานความมั่นคงของรัฐ) ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำให้ความสามารถของผู้คนที่เป็นศัตรูเชิงลบ (ไม่ถูกต้องทางการเมืองหรือกบฏ) เป็นอัมพาตในการดำเนินการโดยไม่ต้องกักขังพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการประณามจากนานาชาติ . [ 37]
ในวัฒนธรรมประชานิยม
หนึ่งในการใช้คำว่า "หลอกปั่นหัว" ในละครโทรทัศน์ยุคแรก ๆ คือในซีรีส์ The Burns and Allen Show ชื่อตอนว่า "Gracie Buying Boat for George" ออกอากาศในปี 1952[ 38]
คำว่า "หลอกปั่นหัว" ถูกใช้ในซีรีส์ Car 54, Where Are You? ตอน "What Happened to Thursday?" ออกอากาศในปี 1962[ 38]
ในซีรีส์ The Six Million Dollar Man ฤดูกาลที่ 2 ตอน "The Seven Million Dollar Man" ออกอากาศในปี 1974 สตีฟ ออสติน กล่าวหา ออสการ์ โกลด์แมน , รูดี้ เวลส์ และพยาบาล คาร์ลา ปีเตอร์สัน ว่ากำลัง "หลอกปั่นหัว" เขา หลังจากทั้งสามคนพยายามโน้มน้าวเขาว่าเหตุการณ์ที่เขาเห็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
ในปี 1994 ตัวละคร รอซ ดอยล์ ใช้คำว่า "หลอกปั่นหัว" ในซีรีส์ซิทคอม อเมริกัน Frasier ตอน "Fortysomething"[ 39]
ในบทสัมภาษณ์ปี 2000 นักแต่งเพลงวง Steely Dan อธิบายว่าเนื้อเพลง "Gaslighting Abbie" ในอัลบั้ม Two Against Nature ได้แรงบันดาลใจมาจากคำว่า "gaslighting" ซึ่งพวกเขาได้ยินมาในนครนิวยอร์ก และเชื่อว่ามีที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง Gaslight ปี 1944 เนื้อเพลงสื่อถึง "การควบคุมความคิด" หรือ "การเล่นกับหัว" ของใครบางคน[ 40]
ในช่วงปี 2014–2016 ละครวิทยุ The Archers ของ บีบีซี เรดิโอ 4 ออกอากาศเนื้อเรื่องยาวสองปี เกี่ยวกับเฮเลน ผู้หญิงที่ถูกสามีอย่างร็อบ ซึ่งเป็นคนชอบรังแกและชอบควบคุม[ 41] ใช้กลยุทธ์การบังคับควบคุมอย่างช้า ๆ หลอกปั่นหัวเธอ ละครเรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ฟัง และจุดประกายให้เกิดการพูดคุยระดับชาติเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในครอบครัว[ 42]
ในภาพยนตร์เรื่อง The Girl on the Train ออกฉายปี 2016 เรเชล ตัวละครเอก มีอาการซึมเศร้ารุนแรงและติดสุรา เนื้อเรื่องดำเนินไปเกี่ยวกับอาการเมาจนความจำเสื่อมของเรเชล ขณะที่สามีของเธอยืนยันตลอดเวลาว่าเธอทำเรื่องแย่ ๆ ที่เธอไม่ได้ทำจริง ๆ[ 43]
ในปี 2017 คำว่า "หลอกปั่นหัว" ถูกนำไปใช้กล่าวถึงกรณีที่ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ใช้มาตรการรุนแรง เพื่อทำให้ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อทางเพศของเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง นักข่าวที่สืบสวนเรื่องราวของพวกเธอ และประชาชนทั่วไป[ 44]
ในปี 2018 ละครโทรทัศน์เรื่อง Days of Our Lives ของช่อง NBC มีเนื้อเรื่องยาวหลายเดือน เกี่ยวกับการแก้แค้นและความพยายามอย่างเป็นระบบของกาบิ ที่จะทำให้อบิเกล เพื่อนสนิทของเธอ ถูกส่งไปรับการรักษาที่สถาบันสุขภาพจิต ในที่สุด กาบิ ก็สารภาพกับแอ๊บบิเกลอย่างสะใจ ถึงสิ่งที่เธอทำกับเพื่อนคนนี้และเหตุผลที่เธอทำ[ 45]
ในปี 2019 รายการวิเคราะห์ข่าว Anderson Cooper 360° ของ CNN ออกอากาศเนื้อหาเกี่ยวกับคำโกหกของนักการเมือง เป็นเวลา 24 ตอน โดยใช้ชื่อหัวข้อว่า "Keeping Them Honest: We'll Leave The Gaslight on for You, Part __" (ทำให้พวกเขาซื่อสัตย์: เราจะเปิดไฟหลอกปั่นหัวคุณไว้ให้ ตอนที่ __)[ 16]
ในปี 2020 วงดนตรีคันทรี The Chicks ออกเพลงชื่อ "Gaslighter" เนื้อหาเกี่ยวกับสามีที่ชอบหลอกปั่นหัวภรรยา[ 46]
ในปี 2022 มินิซีรีส์ Gaslit ทางช่อง Starz นำแสดงโดย จูเลีย โรเบิตส์ และฌอน เพนน์ ใช้คำว่า "Gaslighting" เป็นชื่อเรื่อง เพื่อสื่อถึงธีมของการหลอกลวง และการใช้ อำนาจในทางที่ผิด ซึ่งเป็นเบื้องหลังของ เรื่องอื้อฉาววอเตอร์เกต ที่นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของ ริชาร์ด นิกสัน ในที่สุด
ในปี 2022 พจนานุกรม Merriam-Webster ประกาศให้ "gaslighting" เป็นคำแห่งปี เนื่องจากช่องทางและเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำให้เข้าใจผิดเพิ่มมากขึ้น และคำนี้กลายเป็นคำที่ใช้ทั่วไปสำหรับการรับรู้ถึงการหลอกลวง [ 47]
หนังสือ The Gospel of Afranius ผลงานสรรเสริญจากรัสเซียที่ไม่นับถือศาสนา ซึ่งเผยแพร่เองครั้งแรกในปี 1995 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 2022 เสนอแนวคิดที่ว่า การหลอกปั่นหัวด้วยแรงจูงใจทางการเมือง เป็นต้นกำเนิดของความเชื่อพื้นฐานของคริสเตียนในเรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซู [ 48]
อ้างอิง
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมศัพท์นิเทศศาสตร์ร่วมสมัย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, 2566, หน้า 78.
↑ 2.0 2.1 2.2 "APA Dictionary of Psychology" . APA.org . American Psychological Association. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2021. สืบค้นเมื่อ 7 July 2021 .
↑ 3.0 3.1 3.2 "Definition of gaslight (Entry 2 of 2)" . Merriam Webster . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2021. สืบค้นเมื่อ 7 July 2021 .
↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 Haupt, Angela (15 April 2022). "How to recognize gaslighting and respond to it" . The Washington Post . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2022. สืบค้นเมื่อ 21 April 2022 .
↑ "Gaslight" . Oxford English Dictionary . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 October 2021. สืบค้นเมื่อ 25 October 2021 . Etymology: from the title of George Cukor's 1944 film Gaslight
↑ Hoberman, J (21 August 2019). "Why 'Gaslight' Hasn't Lost Its Glow" . The New York Times . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2019. สืบค้นเมื่อ 23 August 2019 . The verb 'to gaslight,' voted by the American Dialect Society in 2016 as the word most useful/likely to succeed, and defined as “to psychologically manipulate a person into questioning their own sanity,” derives from MGM’s 1944 movie, directed by George Cukor.
↑ Wilkinson, Alissa (21 January 2017). "What is gaslighting? The 1944 film Gaslight is the best explainer" . Vox . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 21 January 2017 . to understand gaslighting is to go to the source. George Cukor’s Gaslight. The term 'gaslighting' comes from the movie.
↑ Thomas, Laura (2018). "Gaslight and gaslighting" . The Lancet. Psychiatry . 5 (2): 117–118. doi :10.1016/S2215-0366(18)30024-5 . PMID 29413137 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 November 2022. สืบค้นเมื่อ 1 February 2018 .
↑ Sweet, Paige L. "How Gaslighting Manipulates Reality" . Scientific American . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 September 2022. สืบค้นเมื่อ 30 May 2022 .
↑ 10.0 10.1 10.2 Yagoda, Ben (12 January 2017). "How Old Is 'Gaslighting'?" . The Chronicle of Higher Education . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 August 2019. สืบค้นเมื่อ 2 June 2017 .
↑ Metcalf, Allan. "2016 Word of the Year" (PDF) . American Dialect Society. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2021. สืบค้นเมื่อ 6 January 2017 . most useful word of the year
↑ 12.0 12.1 12.2 "Word of the Year 2018: Shortlist" . Oxford University Press. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 December 2019. สืบค้นเมื่อ 15 November 2018 .
↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 "Gaslighting at Work—and What to Do About It" . Harvard Business Review . 2021. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 December 2021. สืบค้นเมื่อ 14 December 2021 . อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ ":3" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
↑ DiGiulio, Sarah (13 July 2018). "What is gaslighting? And how do you know if it's happening to you?" . NBC News . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 December 2021. สืบค้นเมื่อ 13 July 2018 .
↑ Sarkis, Stephanie (2018). Gaslighting: Recognize Manipulative and Emotionally Abusive People – and Break Free . Da Capo Press. ISBN 978-0-7382-8466-8 . OCLC 1023486127 .
↑ 16.0 16.1 16.2 16.3 16.4 16.5 16.6 Stern PhD, Robin (19 December 2018). "I've counseled hundreds of victims of gaslighting. Here's how to spot if you're being gaslighted. Gaslighting, explained" . Vox . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 December 2018. สืบค้นเมื่อ 3 January 2019 .
↑ 17.0 17.1 17.2 Holland, Brenna (2 September 2021). "For Those Who Experience Gaslighting, the Widespread Misuse of the Word Is Damaging" . Well + Good . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2021. สืบค้นเมื่อ 2 September 2021 .
↑ Shengold, Leonard L. (1979). "Child Abuse and Deprivation: Soul Murder" . Journal of the American Psychoanalytic Association . 27 (3): 542. doi :10.1177/000306517902700302 . PMID 512287 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2023. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023 . Weinshel, in a series of unpublished papers, designates a conscious intent to brainwash as 'gaslighting.'
↑ 19.0 19.1 19.2 19.3 Lund, C. A.; Gardiner, A .Q. (1977). "The Gaslight Phenomenon: An Institutional Variant". British Journal of Psychiatry . 131 (5): 533–34. doi :10.1192/bjp.131.5.533 . PMID 588872 .
↑ Gass PhD, Gertrude Zemon; Nichols EdD, William C. (18 March 1988). "Gaslighting: A marital syndrome" . Contemp Family Therapy . 8 : 3–16. doi :10.1007/BF00922429 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 October 2021. สืบค้นเมื่อ 24 August 2021 .
↑ Barlow, D. H. (January 2010). "Special section on negative effects from psychological treatments". American Psychologist . 65 (1): 13–49. doi :10.1037/a0015643 . PMID 20063906 .
↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 Dorpat, Theodore L. (1996). Gaslighting, the Double Whammy, Interrogation, and Other Methods of Covert Control in Psychotherapy and Psychoanalysis . Northvale, New Jersey: Jason Aronson . ISBN 978-1-56821-828-1 . OCLC 34548677 . สืบค้นเมื่อ 24 April 2021 . อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Dorpat1996" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
↑ Basseches, Michael (April 1997). "A developmental perspective on psychotherapy process, psychotherapists' expertise, and 'meaning-making conflict' within therapeutic relationships: part II". Journal of Adult Development . 4 (2): 85–106. doi :10.1007/BF02510083 . Basseches coined the term "theoretical abuse" as a parallel to "sexual abuse" in psychotherapy.
↑ Jacobson, Neil S.; Gottman, John M. (1998). When Men Batter Women: New Insights into Ending Abusive Relationships . Simon and Schuster. pp. 129 –132. ISBN 978-0-684-81447-6 . สืบค้นเมื่อ 6 January 2014 .
↑ Miano, Paola; Bellomare, Martina; Genova, Vincenzo Giuseppe (2 September 2021). "Personality correlates of gaslighting behaviours in young adults" . Journal of Sexual Aggression . 27 (3): 285–298. doi :10.1080/13552600.2020.1850893 . ISSN 1355-2600 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2024. สืบค้นเมื่อ 19 February 2022 .
↑ Stout, Martha (14 March 2006). The Sociopath Next Door . Random House Digital. pp. 94–95. ISBN 978-0-7679-1582-3 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2024. สืบค้นเมื่อ 6 January 2014 .
↑ Nelson, Hilde L. (March 2001). Damaged identities, narrative repair . Cornell University Press. pp. 31–32. ISBN 978-0-8014-8740-8 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2024. สืบค้นเมื่อ 6 January 2014 .
↑ 28.0 28.1 Ellen, Barbara (6 July 2019). "In accusing all creeps of gaslighting, we dishonour the real victims" . The Guardian . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2019. สืบค้นเมื่อ 6 July 2019 .
↑ Vargas, Theresa (2 April 2022). "Women are sharing their 'medical gaslighting' stories. Now what?" . The Washington Post . Washington, D.C. ISSN 0190-8286 . OCLC 1330888409 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 5 October 2022 .
↑ Newman-Toker, David E.; Moy, Ernest; Valente, Ernest; Coffey, Rosanna; Hines, Anika L. (June 2014). "Missed diagnosis of stroke in the emergency department: a cross-sectional analysis of a large population-based sample" . Diagnosis (Berlin, Germany) . 1 (2): 155–166. doi :10.1515/dx-2013-0038 . ISSN 2194-8011 . PMC 5361750 . PMID 28344918 .
↑ Hamberg, Katarina; Risberg, Gunilla; Johansson, Eva E.; Westman, Göran (September 2002). "Gender bias in physicians' management of neck pain: a study of the answers in a Swedish national examination" . Journal of Women's Health & Gender-Based Medicine . 11 (7): 653–666. doi :10.1089/152460902760360595 . ISSN 1524-6094 . PMID 12396897 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2023. สืบค้นเมื่อ 17 March 2023 .
↑ Bleicken, Benjamin; Hahner, Stefanie; Ventz, Manfred; Quinkler, Marcus (June 2010). "Delayed diagnosis of adrenal insufficiency is common: a cross-sectional study in 216 patients" . The American Journal of the Medical Sciences . 339 (6): 525–531. doi :10.1097/MAJ.0b013e3181db6b7a . ISSN 1538-2990 . PMID 20400889 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2023. สืบค้นเมื่อ 17 March 2023 .
↑ Simon, George (8 November 2011). "Gaslighting as a Manipulation Tactic: What It Is, Who Does It, and Why" . CounsellingResource.com: Psychology, Therapy & Mental Health Resources . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2024. สืบค้นเมื่อ 13 April 2018 .
↑ 34.0 34.1 Welch, Bryant (2008). State of Confusion: Political Manipulation and the Assault on the American Mind . New York: Thomas Dunne Books, St. Martin's Press. ISBN 978-0-312-37306-1 . OCLC 181601311 .
↑ Ghitis, Frida. "Donald Trump is 'gaslighting' all of us" . CNN . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2021. สืบค้นเมื่อ 16 February 2017 .
↑ Gibson, Caitlin (27 January 2017). "What we talk about when we talk about Donald Trump and 'gaslighting' " . The Washington Post . ISSN 0190-8286 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 October 2020. สืบค้นเมื่อ 29 January 2017 .
↑ Carol Anne Constabile-Heming & Valentina Glajar & Alison Lewis (2021). "Citizen informants, glitches in the system, and the limits of collaboration: Eastern experiences in the cold war era". ใน Andreas Marklund & Laura Skouvig (บ.ก.). Histories of Surveillance from Antiquity to the Digital Era: The Eyes and Ears of Power . Routledge.
↑ 38.0 38.1 Chetwynd, Josh (2017). Totally Scripted: Idioms, Words, and Quotes From Hollywood to Broadway That Have Changed the English Language . Lyons Press.
↑ " 'Frasier': Fortysomething" . 1994. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2022. สืบค้นเมื่อ 15 September 2022 .
↑ Sakamoto, John (29 February 2000). "The Steely Dan Q&A" . The Steely Dan Reader . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2021. สืบค้นเมื่อ February 28, 2015 . Sakamoto: What does the title of the first track, 'Gaslighting Abbie,' mean? Fagen: ..the term 'to gaslight' comes from the film Gaslight .... So it’s really a certain kind of mind fucking, or messing with somebody’s head by.... Becker: That's sort of the rich old tradition of gaslighting which we were invoking.
↑ Haider, Arwa. "A cultural history of gaslighting" . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2020. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019 .
↑ Watts, Jay (5 April 2016). "The Archers domestic abuse is classic 'gaslighting' – very real, little understood" . The Guardian . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 22 April 2017 .
↑ Yahr, Emily (10 October 2016). " 'The Girl on the Train': Let's discuss that twisted ending" . The Washington Post . ISSN 0190-8286 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 November 2020. สืบค้นเมื่อ 13 April 2018 .
↑ Shendruk, Amanda; Ossola, Alexandra (11 September 2019). "The memo from Harvey Weinstein's lawyer is a roadmap for how accused predators stay in power" . Quartz . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 September 2019. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019 .
↑ " 'Days of Our Lives': Will Gabi Hernandez Face Any Consequences for Her Actions?" . 17 November 2018. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 26 January 2019 .
↑ Crone, Madeline (6 March 2020). "Behind the Song: Dixie Chicks, 'Gaslighter' " . American Songwriter . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 December 2022. สืบค้นเมื่อ 12 December 2022 .
↑ "Word of the Year 2022" . www.merriam-webster.com . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2022. สืบค้นเมื่อ 29 November 2022 .
↑ Mina, Mikhail (20 April 1998). "In Retrospect" . Nature . 392 (6679): 884. Bibcode :1998Natur.392..884M . doi :10.1038/31855 . ISSN 1476-4687 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2023. สืบค้นเมื่อ 6 July 2023 .
การชักจูงทางบวก การชักจูงทางลบ การชักจูงรูปแบบอื่น หัวข้อที่เกี่ยวข้อง