พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ประดิษฐาน ณ หัวทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี (วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ )
การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระมหากษัตริย์ไทย เพียงพระองค์เดียวในสมัยกรุงธนบุรี เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นเหตุการณ์ที่มีคำอธิบายหลายอย่าง ในหลักฐานร่วมสมัยส่วนใหญ่มักถือว่าพระองค์ทรงเสียพระสติ หรือสติฟั่นเฟือน จึงทรงถูกขบถ และสำเร็จโทษโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) อันเป็นการสิ้นสุดสมัยกรุงธนบุรี พร้อมกับการเริ่มต้นของราชวงศ์จักรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ตาม ยังปรากฏหลักฐานที่ชี้ว่าพระองค์สวรรคตด้วยสาเหตุอื่น
การถูกสำเร็จโทษเพราะเสียพระสติ
พระสถูปบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หน้าพระอุโบสถหลังเดิม วัดอินทารามวรวิหาร (วัดบางยี่เรือนอก หรือตามที่เรียกในพระราชพงศาวดารว่า วัดบางยี่เรือใต้) ภายหลังมีผู้ขนานนามพระสถูปนี้ว่า "พระเจดีย์กู้ชาติ" ร่วมกับพระสถูปอีกองค์หนึ่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งเชื่อกันว่าบรรจุพระบรมอัฐิของกรมหลวงบาทบริจา พระอัครมเหสีของพระองค์
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ ซึ่งไปราชการทัพเมืองเขมร และยกกำลังเข้าตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบข่าวการจลาจลในกรุงธนบุรี จึงได้รีบยกทัพกลับ ขณะนั้นเป็นเดือนเมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกซึ่งขณะนั้นไปทำศึกกับเขมร จึงกลับมายังกรุงธนบุรีถึงในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เห็นว่าความไม่สงบของบ้านเมืองเกิดจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระสติวิปลาส จึงให้นำไปสำเร็จโทษด้วยการตัดพระเศียร[ 1] ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ แล้วฝังพระบรมศพที่วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทารามวรวิหาร ) เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325[ 2] เสด็จสวรรคตขณะมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา สิริรวมครองราชย์ได้ 15 ปี และถือเป็นจุดสิ้นสุดของกรุงธนบุรี จากนั้นจึงได้สืบสวนความผิดของผู้ก่อกบฏ แล้วตัดสินให้นำพระยาสรรค์กับพวกไปประหารชีวิตในเวลาต่อมา[ 3]
การวิเคราะห์
สำหรับสาเหตุที่พระองค์เสียพระจริตนั้น มีหลักฐานได้อธิบายไว้หลายสาเหตุ สามารถจำแนกได้ดังนี้
สาเหตุของการเสียพระจริตนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามทัศนะของชนชั้นสูงต่างยุคสมัย[ 8] แต่ทั้งหมดนี่เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น เพราะแนวคิดในการพิสูจน์ความจริงนั้นได้ถูกละเลย[ 7]
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้อธิบายใน การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด (หรือ "ดุร้าย") ในสมัยปลายรัชกาลนั้น คงเป็นเพราะพระราชอำนาจที่เสื่อมลง[ 9] พระองค์ยังทรงประพฤติไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์อยุธยาแต่เดิมด้วย จนกลุ่มขุนนางอยุธยาแต่เดิมสูญเสียความศรัทธา และถูกมองว่าเสียสติ[ 10] ทั้งนี้ หลักฐานพงศาวดารซึ่งบันทึกอาการวิกลจริตของพระองค์ล้วนถูกเขียนขึ้นภายหลังการสวรรคตของพระองค์ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับข่าวการเสียสติของพระองค์[ 11] ในขณะที่จดหมายโหรร่วมสมัยได้บันทึกว่า พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นปกติจนถึง พ.ศ. 2324[ 12] การเสียสติของพระองค์จึงไม่ปรากฏในหลักฐานร่วมสมัย แต่บางฉบับก็บอกว่าเป็นวันเดียวกัน ซึ่งยังไม่มีใครทราบเป็นที่แน่ชัด
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก่อรัฐประหาร
พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงผนวช ในวิหารสมเด็จพระเจ้าตากสิน วัดอินทารามวรวิหาร
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์ว่า การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงประกอบพระราชกรณียกิจแปลกไปจากพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทำให้พระองค์ทรงถูกมองว่าไม่เคารพต่อขนบธรรมเนียมดั้งเดิม[ 13] และถูกกลุ่มชนชั้นสูงต่อต้าน ข่าวลือการเสียพระสติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกแพร่ออกไปเพื่อสร้างประโยชน์ทางการเมืองให้กับกลุ่มผู้ต้องการโค่นล้มพระองค์จากพระราชอำนาจ[ 14] กลุ่มชนชั้นสูง (ไม่รวมราษฎรสามัญ) ได้รับความเดือดร้อนจากความประพฤติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[ 13] พระองค์ยังได้สร้างความไม่ประทับใจให้กับฝ่ายของพระองค์เองอีกด้วย[ 7] ท้ายที่สุดแล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ไม่สามารถรักษาพระราชอำนาจต่อไปได้ กลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางภายใต้การนำของพระยาจักรีจึงรัฐประหาร[ 15]
ในบทความ "ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี" เขียนโดยปรามินทร์ เครือทอง ได้ลำดับเหตุการณ์รัฐประหารไว้ว่า:
แผนรัฐประหารเริ่มขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2324 ระหว่างการปราบปรามจลาจลในเขมร สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทราบข่าวความไม่ปกติในกรุงธนบุรี จึงให้พระยาสุริยอภัยผู้หลานมาคอยฟังเหตุการณ์อยู่ที่เมืองนครราชสีมา[ 16] เวลาเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ลอบทำสัญญากับแม่ทัพญวน ฝ่ายแม่ทัพญวนก็ให้กองทัพญวน-เขมรนั้นล้อมกองทัพกรมขุนอินทรพิทักษ์ ไว้[ 17]
แรมเดือน 4 พ.ศ. 2325 ขุนแก้ว น้องพระยาสรรค์, นายบุนนาค นายบ้านในเขตกรุงเก่า และขุนสุระ นายทองเลกทองนอก ทั้งสามได้คิดก่อการปฏิวัติขึ้น โดยรวบรวมกำลังพลจำนวนหนึ่งไปสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ฝ่ายเจ้าเมืองอยุธยา พระอินทรอภัย หนีรอดมาได้ กราบบังคบทูลต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์จึงให้พระยาสรรค์ขึ้นไปปราบ แต่ภายหลังได้กลายเป็นแม่ทัพยกมาตีกรุงธนบุรี[ 18]
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2325 ทัพพระยาสรรค์ได้เข้าล้อมกำแพงพระนคร รบกับกองทัพซึ่งรักษาเมืองจนถึงเช้า ครั้นรุ่งเช้า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชบัญชาให้หยุดรบ พระยาสรรค์ ก็ถวายพระพรให้ผนวช[ 19] สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงออกผนวชเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2325 วันรุ่งขึ้น พระยาสรรค์ก็ออกว่าราชการชั่วคราว[ 2]
แต่มาภายหลัง พระยาสรรค์ได้ปล่อยตัวกรมขุนอนุรักษ์ สงครามมาช่วยกันรบป้องกันพระนครจากกองทัพพระยาสุริยอภัย[ 20] ทั้งสองทัพรบกันเมื่อราว 2-3 เมษายน พ.ศ. 2325 พระยาสรรค์และกรมอนุรักษ์สงครามแตกพ่ายไป[ 21] จนเมื่อถึงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็ยกทัพมาถึงกรุงธนบุรี[ 2]
ทรงสละราชบัลลังก์และออกผนวชที่นครศรีธรรมราช
นอกจากนี้ชาวไทยบางกลุ่มยังเชื่อว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้ถูกสำเร็จโทษ แต่ทรงจงใจสละราชบัลลังก์เพื่อจะได้มิต้องชำระเงินกู้จากจีน เมื่อทรงได้รับการปล่อยตัวอย่างลับ ๆ แล้วจึงเสด็จลงเรือสำเภาไปประทับที่วัดเขาขุนพนม จังหวัดนครศรีธรรมราช [ 22] โดยผนวชเป็นพระภิกษุและจำพรรษาอยู่ที่นั่นตราบจนเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2368 รวมพระชนมายุได้ 91 ปี 43 พรรษา[ 23] [ 24]
ส่วนบุคคลที่ถูกประหารชีวิตนั้น กล่าวกันว่าเป็นบุคคลที่มีใบหน้าบุคลิกลักษณะที่คล้ายพระองค์ มารับอาสาปลอมตัวแทนพระองค์ ซึ่งอาจเป็นพระญาติหรือมหาดเล็กใกล้ชิด [ 25]
แต่ความเชื่อในเรื่องดังกล่าว มาจากเรื่องสั้น อิงประวัติศาสตร์ "ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน " ของหลวงวิจิตรวาทการ โดยเขียนถึงที่มาของเรื่องดังกล่าวไว้ตอนต้นของเรื่องว่า เกิดขึ้นระหว่างที่เขาทำงานเป็นบรรณารักษ์ อยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ ได้ประมาณ 6 เดือน และเกิดเหตุการณ์ลึกลับที่หอเอกสารเก่าเกี่ยวกับช่วงปลายรัชกาลของพระเจ้ากรุงธนบุรี จนทำให้ยามเฝ้าหอสมุดลาออกจากงานหลายคน ท่านตัดสินใจมานอนเฝ้าที่หอสมุดด้วยตนเองเพื่อพิสูจน์ความจริง และคืนหนึ่งท่านก็ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งลึกลับ ให้เขียนเรื่องสั้นนี้ขึ้นด้วยลายมือของตัวเอง ตามคำบอกเล่าของสิ่งลึกลับนั้น[ 26]
อ้างอิง
↑ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา , กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2548, หน้า 230
↑ 2.0 2.1 2.2 มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย . กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2554. 264 หน้า. หน้า 183-186. ISBN 978-616-7308-25-8
↑ สมชาย พุ่มสอาด, เบื้องหลังกบฏพระยาสรรค์, ศิลปวัฒนธรรม , ปีที่ 4 ฉบับที่ 6, เมษายน 2526 หน้า 8-15
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 96.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 399.
↑ ปาลเลกัวซ์, มงเซเญอร์, เล่าเรื่องกรุงสยาม , พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2552, หน้า 369
↑ 7.0 7.1 7.2 นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 400.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 399-400.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 392.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 394.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 395.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 396.
↑ 13.0 13.1 นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 398.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 397.
↑ นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 401.
↑ ปรามินทร์ เครือทอง. หน้า 84.
↑ ปรามินทร์ เครือทอง. หน้า 86.
↑ ปรามินทร์ เครือทอง. หน้า 87.
↑ ปรามินทร์ เครือทอง. หน้า 88.
↑ ปรามินทร์ เครือทอง. หน้า 88-89.
↑ ปรามินทร์ เครือทอง. หน้า 89.
↑ ทศยศ กระหม่อมแก้ว. พระเจ้าตากฯ สิ้นพระชนม์ที่เมืองนคร . กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ร่วมด้วยช่วยกัน, 2550. 176 หน้า. ISBN 978-974-7303-62-9
↑ Taksin, Encyclopædia Britannica 2001 "...Some historians believe that Taksin was secretly spirited away from Thon Buri in 1782 and lived in a mountain retreat in southern Thailand until 1825."
↑ David K. Wyatt. Thailand: A Short History . Yale University Press. p. 145. ISBN 0300035829 . ; Siamese/Thai history and culture-Part 4 เก็บถาวร 2007-08-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน "...another tradition has it that a substitute was put to death in his place and that Taksin was sent secretly to it palace near Nakhon Si Thammarat, where he lived until 1825."
↑ สุทัสสา อ่อนค้อม. ความหลงในสงสาร . กรุงเทพฯ : หอรัตนชัยการพิมพ์, 2555 . 552 หน้า. ISBN 978-611-550-001-7
↑ ชำแหละตำนานนอกพงศาวดารหลัง พระเจ้าตาก “หนีตาย” หรือ “หนีหนี้” สู่เมืองนครฯ ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2553 สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2564
บรรณานุกรม
ดูเพิ่ม